นี่คือสิ่งสำคัญ

20150430_MessiMoreImportantThanWinning

There are more important things in life than winning or losing a game.
– Lionel Messi

—–

ตอนผมเข้ามาทำงานที่รอยเตอร์ใหม่ๆ (สมัยยังไม่ได้ควบรวมกับทอมสัน) รอยเตอร์ซอฟต์แวร์มีพนักงานแค่ร้อยกว่าคน

ทุกๆ คนนั่งอยู่ด้วยกันที่ชั้น 23 ของอาคารอื้อจื่อเหลียง

ก่อนแปดโมงครึ่ง พักเที่ยง และหลังห้าโมงครึ่ง จะมีเสียงที่พวกเราคุ้นเคยกันดี

เป็นเสียงลูกปิงปองเด้งไปเด้งมา

เรามีโต๊ะปิงปองตรงบริเวณหน้าห้องน้ำชาย คนที่มาเล่นส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็มีผู้หญิงมาเล่นด้วยเช่นกัน

ช่วงที่เข้ามาใหม่ๆ ผมยังไม่รู้จักใคร เลยใช้ชีวิตแบบหงิมๆ นิดนึง

จนวันนึง หลังจากผมทำงานอย่างหงิมๆ มาหนึ่งสัปดาห์ ผมเดินไปดูเขาเล่นปิงปองใจเราก็อยากเล่นแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก

พี่คนนึงชื่อพี่เต่าซึ่งเพิ่งตีปิงปองจบเกม ได้เอ่ย “ประโยคเปลี่ยนชีวิต” กับผม

“เล่นมั้ย?” (แล้วพี่เต่าก็ยื่นไม้ปิงปองมาให้)

ผมถือว่ามันเป็นประโยคเปลี่ยนชีวิตสำหรับผมที่รอยเตอร์ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับคนนอกทีม และคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน

มันเป็นสัญญาณว่าผมกำลังจะมีเพื่อนเป็นครั้งแรก

นับจากวันนั้น ผมรู้จักคนมากขึ้นผ่านโต๊ะปิงปองตัวนี้ และความหงิมๆ เหงาๆ ก็ค่อยๆ มลายหายไป

ต้องขอบคุณพี่เต่าในวันนั้นจริงๆ ครับ

—–

ช่วงนั้นยังไม่มีรถใต้ดิน ผมเลยต้องขับรถโตโยต้ารุ่นโดราเอมอน (ไม่ใช่มือสอง แต่เป็นมือสี่หรือมือห้า) มาทำงานทุกเช้า ออกจากบ้านตอนหกโมงสิบห้า จอดรถที่สวนลุมไนท์บาร์ซ่า แล้วเดินมาถึงออฟฟิศเจ็ดโมงครึ่ง

กินข้าวเสร็จแล้วก็ตีปิงปองหรือดูคนอื่นเล่นปิงปองจนถึงแปดโมงครึ่งจึงเริ่มทำงาน พักเที่ยงไม่ค่อยได้เล่นเพราะคิวเยอะ แต่ตอนเย็นก็ตีปิงปองจนถึงสองทุ่ม เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอรถติดตอนกลับบ้าน

ผมตีปิงปองด้วยความสุข ไม่ว่าจะตีกับคนที่เก่งหรืออ่อนแค่ไหน

ยกเว้นหนึ่งคนครับ ขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน

พี่คนนี้เขาชอบเสิร์ฟลูกยากๆ ซึ่งผมรับทีไรมันก็เด้งออกนอกโต๊ะทุกที ถึงจะพยายาม “เฉือน” ไม้เพื่อแก้ แต่ก็รับเสียเกินกว่าครึ่ง

ปิงปองเราจะเล่นกันว่าใครได้ห้าแต้มก่อนชนะ ยกเว้นว่าถ้าขึ้นนำ 3-0 ก็ถือว่าชนะไปเลย ไม่ต้องเล่นถึงห้าเกม

ผมเจอกับพี่คนนี้ทีไร เค้าก็ใช้ลูกเสิร์ฟไม้ตายกับผมทุกครั้ง

และผมก็จะแพ้ 3-0 เกือบทุกครั้ง แล้วก็ต้องกลับไปรอคิวใหม่อีกเป็นสิบนาที

ผมน่ะไม่สนุกแน่ๆ แต่ก็อดมีคำถามในใจไม่ได้ว่า เขาเล่นชนะอย่างนี้แล้วมันสนุกตรงไหน?

ปิงปองมันสนุกกันตรงที่เราได้โต้กันไปมา ชิงไหวชิงพริบ ได้บ้างเสียบ้างไม่ใช่หรือ?

เวลาผมเจอคู่ปรับที่อ่อนกว่า ถ้าผมจะเสิร์ฟท่าไม้ตายและชนะ 3-0 ผมก็ทำได้ แต่ผมไม่ทำเพราะมองว่ามันเป็นการเสียมารยาทกับคนที่เขาอุตส่าห์รอคิวมาตั้งนาน

บางคนอาจจะเถียงว่า ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ็บใจนักก็ไปฝึกให้เก่งขึ้นสิ ไม่ใช่มาบ่นกระปอดกระแปด

แต่นั่นเป็นวิธีการมองโลกแค่แบบหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผมว่าไม่ได้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์

ผมไม่ได้มาตีปิงปองเพื่อจะไปโอลิมปิก

ผมมาตีปิงปองเพื่อที่จะทีเพื่อนมากขึ้นต่างหาก

สำหรับผม เล่นกีฬามันต้องมีแพ้มีชนะ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าผลลัพธ์ คือ moments ที่เกิดขึ้นระหว่างเกม

#ชีวิตก็เช่นกัน

—–

แปลกดีนะครับ ผมไม่ได้ตีปิงปองที่ชั้น 23 มาเป็นสิบปีแล้ว แต่ยังจำเรื่องของพี่สองคนนี้ได้แม่นยำ

คนแรกเอ่ยปากชวนเราเล่นปิงปองแบบไม่คิดอะไร และคงไม่คิดว่าคำชักชวนของเขาจะทำให้ผมรู้สึกเป็นบุญคุณมาจนถึงทุกวันนี้

อีกคนมุ่งแต่จะเอาชนะด้วยการเสิร์ฟลูกยากๆ ผมก็จะยังจำมาจนวันนี้เหมือนกัน

จากนี้ไป คงต้องเตือนตัวเองเสมอว่า

หากมีโอกาสแสดงน้ำใจกับใคร ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็ทำไปเถิด เพราะมันอาจจะเปลี่ยนชีวิตเขาก็ได้

และระวังอย่าแสดงความไร้น้ำใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระแค่ไหน เพราะเขาคนนั้นอาจจะจำฝังใจจนผ่านไปสิบปีแล้วเขายังแอบเอาเรามานินทาให้สาธารณชนฟัง

—–

Credits

Wikipedia: Lionel Messi 

Google Images: รถโตโยต้าโดราเอม่อน

เด็กเค้ามีภูมิคุ้มกัน

20150429_BirdThongchai

“เราจนมาก แต่เป็นช่วงชีวิตที่อบอุ่นที่สุดและมีความสุขที่สุด เป็นการมีชีวิตที่จริงที่สุด”

– ธงไชย แมคอินไตย์ (พูดถึงวัยเด็ก)

a day เล่ม 176 April 2015

—–

เมื่อเช้านี้มาถึงออฟฟิศ ก่อนขึ้นลิฟต์เดินผ่านร้านนายอินทร์เลยเหลือบไปเห็นปก a day เล่มใหม่แล้วก็ตรงปรี่เข้าไปคว้าทันที

ผมรอเล่มนี้มาหลายสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่ตอนได้อ่านบทบรรณาธิการ a day ฉบับที่แล้วที่พี่ก้อง ทรงกลด บางยี่ขันเล่าว่า เล่มถัดไปจะเป็นเรื่องของธงไชย แมคอินไตย์

ผมเพิ่งพลิกอ่าน a day เล่มนี้ไปได้ไม่กี่หน้า แต่ก็เพียงพอจะบอกได้ว่าเป็นเล่มที่ทุกคนควรซื้อมาเก็บเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันได้ร้อยเรียงชีวิตซุปเปอร์สตาร์คนเดียวของเมืองไทยไว้อย่างละเอียดละออละมุนละไมราวกับวรรณกรรมชั้นดี

—–

ชีวิตของพี่เบิร์ด ธงไชยนี่จะว่าไปโคตรเหมือนละครเลย มีพี่น้องสิบคน โตมาในสลัม ที่บ้านไม่มีไฟใช้ ต้องจุดตะเกียงพายุ ต้องหาเงินด้วยการพับถุงขาย ขายเรียงเบอร์ หรือแม้กระทั่งเย็บงอบ

แต่พี่เบิร์ดกลับบอกว่าชีวิตช่วงนั้นมีความสุขมาก

“เวลาผ่านมาก็พบว่าการที่เราหมกมุ่นวุ่นวายอยู่ในความคิดบวกๆ ของตัวเองได้มาจากป๋ากับแม่ เขาไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเราจนเลย บ้านเราไม่มีทีวี ป๋ากับแม่จูงเราไปที่อื่น ทางโน้นมีดนตรี มีลิเกลำตัด บ้านเรามีกีต้าร์เก่าๆ มาเล่นดนตรีร้องเพลงกัน ป๋ากับแม่เล่าเรื่องราวให้ฟังว่าตอนเขารักกันเป็นยังไง ตอนสงครามเป็นยังไง เราก็นั่งฟังกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารวยที่สุดเลยนะ เราไม่เห็นคุณค่าของเงินเลย รวยมาก”

—–

สมัยเด็กๆ ผมอยู่ที่หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ถ.กรุงเทพกรีฑา อยู่ซอย 23 ซึ่งเป็นซอยท้ายสุดของโครงการ

ทาวน์เฮาส์สองชั้น แต่อยู่กันเก้าคน มีพ่อ แม่ ผม รอง น้าแดง หญิง ชาย ยายปุก และน้าหวาน

ผมจำได้ว่าอาหารสุดโปรดของผมคือคอหมูย่าง ซึ่งนานน๊านนน จะได้กินซะที เพราะราคาก็แพงอยู่สำหรับฐานะครอบครัวในตอนนั้น น้าแดงจะซื้อมาจากมอเตอร์ไซค์รถเข็นในตลาดตรงอู่รถเมล์สาย 93 เสร็จแล้วก็เอามาเทใส่จาน นั่งล้อมวงกันกินบนพื้นครัว

มีแค่ข้าวเปล่า คอหมูย่าง และน้ำจิ้มแจ่ว แค่นี้ก็โคตรฟินแล้ว

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมกินคอหมูย่างมาไม่รู้กี่ร้อยจาน ก็ยังไม่เคยเจอจานไหนที่อร่อยสู้คอหมูย่างเจ้านั้นได้เลย

—–

ถึงเด็กชายธงไชยจะมีความสุขมาก แต่ผมเดาว่าพ่อแม่ของเด็กชายธงไชยก็คงเครียดและทุกข์พอสมควรกับสภาพชีวิตที่กระเบียดกระเสียร เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกให้ลูกๆ เห็นเท่านั้นเอง

คนในวัยผมที่กำลังจะเป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงกำลังขยันทำงาน เพื่อจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ ครอบครัวจะได้ไม่ลำบาก ลูกๆ จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่กันอย่างมีกินมีใช้

แต่เรากำลังคิดมากเกินไปรึเปล่า?

เรื่องราวหรือสภาพต่างๆ ที่เราคิดว่า “แย่” สำหรับเรานั้น เด็กๆ เขาอาจจะบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะมองว่ามันเป็นเรื่องแย่ก็ได้

ครับ ผมกำลังจะบอกว่า เด็กๆ อาจจะมี “ภูมิคุ้มกันความทุกข์” สูงกว่าผู้ใหญ่

เพราะเด็กๆ ยังไม่รู้อะไร

ส่วนผู้ใหญ่ก็รู้เยอะเกินไป

ผมยังสงสัยอยู่ว่า พี่เบิร์ดจะรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กของเขาจะสมบูรณ์กว่านี้รึเปล่า ถ้าเด็กชายธงไชยได้ใช้ชีวิตในบ้านหลังโตๆ มีทีวี มีตู้เย็น

ผมว่าไม่

เผลอๆ ถ้าพ่อแม่พี่เบิร์ดเขารวยกว่านี้ เมืองไทยอาจจะไม่มีซุปเปอร์สตาร์ชื่อธงไชย แมคอินไตย์เลยก็ได้

แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!

—–

ผมว่าความต้องการพื้นฐานของเด็กมันมีไม่มากนักหรอก

แค่ท้องอิ่ม ได้เล่น และได้ใช้เวลากับคนที่เขารัก แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บเงินเพื่อสร้างมันอยู่ อาจจะเป็นแค่ nice to have

ถ้าให้เด็กเลือกระหว่างกินอาหารไฮโซคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ กับนั่งล้อมวงกินคอหมูย่างจิ้มแจ่วที่ท้ายครัว

ผมว่าเด็กส่วนใหญ่จะเลือกอย่างหลังนะครับ

—–

Credits: นิตยสาร a day เล่ม 176 ปกเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์  เมษายน 2558

ยังมีหวัง

20150428_EndlessHope
Some see a hopeless end while others see an endless hope

บางคนมองเห็นจุดจบที่สิ้นหวัง บางคนมีความหวังไม่รู้จบ

– Unknown

——

บางทีเมล์สองฉบับก็มีพลังมากกว่าที่คิด

เมื่อวานนี้ผมส่งเมล์หาเพื่อนพนักงานทอมสันรอยเตอร์ว่าเราจะรับบริจาคเงินให้กับเนปาล ใครสนใจให้ลงชื่อและแจ้งยอดที่คิดจะบริจาคไว้ได้เลย (ผมใช้ surveymonkey.com ในการเก็บข้อมูล)

ตอนเย็นๆ ผมเช็คยอด ได้มาเกิน 70,000 บาทแล้ว เลยโพสต์บนวอลล์ Facebook ของผม เผื่อคนอื่นนอกบริษัทจะร่วมด้วย โดยตั้งเป้าว่าน่าจะได้ถึง 100,000 บาท

เมื่อเช้านี้มาถึงออฟฟิศ มีคนลงชื่อไว้ 96 คนและยอดบริจาครวม 95,000 บาทแล้ว!

ผมเลยส่งเมล์ฉบับที่สองออกไป ว่าวันนี้เราจะปิดรับเงินบริจาคแล้วนะ

สุดท้ายวันนี้ผมได้ผู้บริจาค 315 คน มีทั้งคนที่บริจาค 100 บาท ถึงคนที่บริจาค 5000 บาท

ผมเปิดโต๊ะรับบริจาคช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสาม มีคนถือเงินสดมาบริจาคถึง 265,300 บาท

ส่วนเพื่อนที่เคยทำงานที่ทอมสันรอยเตอร์อีก 8 คนก็โอนเงินมาให้อีก 18,000  หลังจากได้อ่านโพสต์ใน FB ของผม

สรุปเราจึงได้รับเงินบริจาครวม 283,300 บาท!

และเมื่อได้เงินสมทบทุนจาก Thomson Reuters Matching Gifts แล้วก็จะได้เงินเกินครึ่งล้านเพื่อมอบให้สภากาชาดไทยไปช่วยเหลือเนปาลต่อไป

ดีใจและภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทยครับ

—–

ทราบมั้ยครับว่าโปรแกรม LINE ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น?

และล่าสุด Facebook ก็ออก feature ใหม่ชื่อ Safety Check เพื่อให้ Facebook users ที่อยู่ในเนปาลสามารถส่งข่าวบอกญาติพี่น้องได้ว่า ตอนนี้เขาปลอดภัยแล้วนะ

โศกนาฎกรรมอาจนำพาความปวดร้าวมาให้

แต่มันก็นำพาแสงสว่างมาด้วยเช่นกันครับ

คิดถึงเนปาล

20150427_ThinkOfNepal

วันเสาร์ที่ผ่านมาเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริคเตอร์ที่ประเทศเนปาล

ภาพของซากปรักหักพัง ใบหน้าที่ปวดร้าวของคนเจ็บและญาติของคนตาย คือสิ่งที่ผ่านสายตาเราตลอดสามวันที่ผ่านมา

ผมเลยอยากจดบันทึกสิ่งที่ไหลผ่านเข้ามายังความคิดของผมดังนี้ครับ

1. สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า

ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นแค่สังเวชนียสถานแห่งเดียวที่ไม่ได้อยู่ในอินเดีย แต่อยู่ในประเทศเนปาล ผมเปิด Google Maps ดูแล้ว ห่างจากเมืองหลวงกาฐมาณฑุประมาณ 250 กิโลเมตร (จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่เมือง Gorkha)

เท่าที่อ่านข่าว บริเวณรอบๆ กาฐมาณฑุ มีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อายุหลายร้อยปีพังทลายไปไม่น้อย ก็อดคิดไม่ได้ว่าสังเวชนียสถานแห่งนี้จะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน

 2015-04-27_141209

2. มนุษย์คนแรกที่ปีนเขาเอเวอเรสต์

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำมานานแล้วคือการไปเบสแค้มป์ ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นในการเดินขึ้นเขา Everest เห็นเพื่อนชื่อซุปปี้เคยไปกับภรรยาและเพื่อนๆ มาเขาบอกว่าสวยน่าดู

รู้มั้ยครับว่าคนที่พิชิตเอเวอเรสต์คนแรกเป็นชาวนิวซีแลนด์

พอดีผมเคยเรียนที่นี่ เลยรู้จักเขาดีผ่านธนบัตร 5 ดอลล่าร์ เขาชื่อ Sir Edmund Hillary ครับ

Nz5d (1)

3. คนไทยที่ติดอยู่เนปาล

อ่านข่าวบางกอกโพสต์วันนี้ จึงโล่งอกว่านักศึกษาไทย 6 คนที่ขาดการติดต่อไป ตอนนี้ยืนยันมาแล้วว่าปลอดภัยดี แต่ก็เจอข่าวเศร้าว่า “หมออีฟ” แพทย์ที่ทำงานอยู่ในแคมป์ที่เชิงเขาเอเวอเรสต์ เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว แม้จะยังไม่คอนเฟิร์มก็แล้วแต่ ผมถือวิสาสะเข้าไปดูที่ FB ของเขา ก็ยังไม่มีการรายงานอะไรเพิ่มเติม ก็ขอภาวนาให้มีปาฏิหาริย์ครับ

4. สิ่งที่เราทำได้ทางกายภาพ

ผมเคยเขียนไปแล้วว่าความสงสารไม่ได้ช่วยอะไร

เช้าวันนี้ สิ่งแรกที่ผมทำคือส่งเมล์หาเพื่อนพนักงานทอมสันรอยเตอร์ ว่าวันอังคารนี้เราจะเปิดรับบริจาคเงินเพื่อนำเข้าสภากาชาดไทยนะ

ตอนนี้มีคนแจ้งความประสงค์บริจาคเงินมาเกิน 70,000 บาทแล้ว กำลังลุ้นอยู่ว่าจะได้ถึงหนึ่งแสนบาทรึเปล่า

นอกจากนี้เงินทุกบาทที่เราระดมมาได้ ทางทอมสันรอยเตอร์จะช่วยสมทบให้อีกเท่าตัว (เจ๋งป่ะล่ะ)

5. อีกหนึ่งสิ่งที่เราทำได้

สวดมนต์ – นั่งสมาธิ – แผ่เมตตา – และอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ประสบภัย ดวงวิญญาณที่เสียชีวิต และหน่วยกู้ภัยที่กำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ที่เนปาล ขณะที่เรา นั่งชิลล์ๆ อยู่ในห้องนอน

ผมเชื่อว่าคำสวดภาวนาของเราจะไม่สูญเปล่า ไม่ว่าเราจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนาก็ตามที

ภัยธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกศาสนา ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่ควรแบ่งแยกด้วยเช่นกัน

—–

ช่วงนี้ภัยพิบัติดูเหมือนจะเกิดถี่ขึ้นนะครับ เพื่อความไม่ประมาท เราเองก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อม

เพราะถ้าเราไม่หลอกตัวเองก็ย่อมจะรู้แล้วว่า เหตุการณ์ที่เราเห็นในทีวีและโทรศัพท์ ก็สามารถเกิดกับเราได้เช่นกัน

ชีวิตที่เราเลือกได้

20150426_LifeVacaation

“Instead of wondering when your next vacation is, maybe you should set up a life you don’t need to escape from.”

แทนที่จะคิดถึงการหยุดยาวครั้งถัดไป คุณน่าจะลองออกแบบชีวิตที่คุณไม่ต้อง “หนี” ไปไหนดูนะ

– Seth Godin

—–

ผมไม่แน่ใจว่ามีใครเคยสำรวจมั้ยว่า สัดส่วนของคนที่รู้สึก “ห่อเหี่ยว” ในเช้าวันจันทร์ นับเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยทำงาน

คนเราใช้เวลาเกิน 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการทำงาน ถ้างานที่เราทำนำแต่ความทุกข์มาให้ ก็เหมือนชีวิตของเราสั้นลงไป 25 ปีแล้ว

ถ้าย้อนกลับไป 20-30 ปีก่อน ทางเลือกของคนที่ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง คือตั้งใจเรียนให้จบปริญญา แล้วเข้ารับราชการหรือทำงานบริษัทเอกชน ยากมากที่จะมีคนออกมาทำธุรกิจส่วนตัวแล้วประสบความสำเร็จ เพราะ “กำแพง” มีมากมายเหลือเกิน

แต่ในยุคนี้ ทางเลือกมีมากมายจริงๆ กำแพงถูกทลายลงด้วยอินเตอร์เน็ท

และเราก็มีทรัพยากรทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมีในการทำสิ่งที่เรารักเราชอบอยู่แล้ว

ไม่ว่าคุณอยากจะเรียนเรื่องอะไร คุณแค่เข้า Youtube / Coursera ก็จะมีคอร์สฟรีๆ ให้เรียน

ถ้าอยากเรียนภาษาแบบเอาไปใช้งานได้จริง ก็ลองโหลด Duolingo มาเล่นดู

ถ้าอยากหาคอนเน็คชั่นหรือเพื่อนที่สนใจด้านเดียวกัน ก็เข้าไปหาได้ใน Meetup

อุปสรรคใหญ่ๆ ที่ผมเห็น ก็คือ “ของเล่น” อย่าง Facebook / Line และละครหลังข่าวที่ขโมยเวลาเราไปจนไม่เหลือเวลา/แรงที่จะมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ

ถ้าชีวิตที่เรามีอยู่ตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์เรา ก็อาจจำเป็นต้องดูละคร และเล่น social media ให้น้อยลง ซึ่งน่าจะทำให้เราได้เวลาคืนมาอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง หรือ 30 ชั่วโมงต่อเดือน และ 365 ชั่วโมงต่อปี

มากเพียงพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงดีๆ ให้กับวิถีชีวิตของเราได้ครับ