สมัยหนุ่มๆ เมื่อถึงช่วงเวลาปีใหม่ ผมมักอดไม่ได้ที่จะมานั่งเขียนเป้าหมายให้ชีวิต
เป็นเป้าหมายแบบ SMART goals ตามตำราฝรั่งเสียด้วย คือ Specific, Measurable, Achievable, Relevant, และ Time-bound เช่น
จะมีเงินเก็บ xxx บาท ภายในปี xxx
จะมี Six Pack ภายในสิ้นปี
จะเพิ่มน้ำหนัก 2 กิโลภายในสามเดือน
จะมีแฟนที่หน้าตาอย่างนั้น-นิสัยอย่างนี้ภายในสิ้นปี
ฯลฯ
และสิ่งที่มักจะเจอคือเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 80% ไม่เป็นไปตามนั้น
แล้วผมก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง ว่าพยายามไม่พอ ไม่มีวินัยพอ หน้าตาไม่ดีพอ ฯลฯ
พอปีใหม่วนกลับมา ก็มานั่งตั้งเป้าหมายกันใหม่!
—–
พี่โน๊ส อุดมเคยพูดไว้ในเดี่ยว 9 ว่า รู้มั้ยว่าสาเหตุอันดับหนึ่งของการหย่าร้างคืออะไร?
คำตอบคือการแต่งงานครับ!
ฉันใดฉันนั้น สาเหตุอันดับหนึ่งของความล้มเหลว ก็คือการตั้งเป้าหมาย!
พระอาทิตย์ไม่มีเป้าหมาย พระอาทิตย์จึงไม่เคยล้มเหลว
แมวไม่มีเป้าหมาย แมวจึงไม่เคยล้มเหลว
ดอกไม้ไม่มีเป้าหมาย ดอกไม้จึงไม่เคยล้มเหลว
จะว่าไปแล้ว มีแต่มนุษย์เรานี่แหละ ที่มีเป้าหมายและมีล้มเหลว
—–
นอกจากล้มเหลวแล้ว เป้าหมายยังทำให้เรามีความสุขน้อยลงอีกด้วย
เพราะทุกๆ วัน เราจะเห็น “ช่องว่าง” ระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน กับเป้าหมายของเราเสมอ
ถ้าช่องว่างนั้น “แคบลง” เรื่อยๆ ก็ดีไป เพราะนั่นแสดงว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นอีกนิด
แต่โดยมากแล้ว ช่องว่างนั้นมักจะใหญ่เท่าเดิมหรือใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ จนถึงจุดๆ หนึ่งเราทนมองช่องว่างนั้นไม่ไหว ก็เลยทำเป็นลืมมันไปซะเลย (ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่)
และสำหรับคนส่วนน้อยที่ช่องว่างเล็กลงเรื่อยๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา
เพราะกว่าที่เขาจะ “แฮปปี้” จริงๆ ก็ต่อเมื่อเขาเดินทางถึงเป้าหมายแล้วเท่านั้น
เช่นบางคนตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลภายในสามเดือน พยายามอดทนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามเป้า แต่สุดท้ายลดได้ “แค่” 5 กิโล ก็มองว่าตัวเองล้มเหลวแล้ว ทั้งๆ ที่จริงๆ เขาควรจะรู้สึกดีกับตัวเองที่ลดน้ำหนักได้ตั้งขนาดนั้น
ไม่มีใครรู้อนาคต สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามใจ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
การกระทำของเราบวกกับเหตุปัจจัยภายนอก อาจส่งผลลัพธ์ได้เป็นร้อยแบบ แต่พอเรามีเป้าหมายตายตัว นั่นหมายความว่าเราจะพอใจกับผลลัพธ์เพียงหนึ่งแบบเท่านั้น ส่วนอีก 99 แบบที่เหลือถือว่าเป็นเรื่องไม่น่าพอใจ
ทำไมคนเราถึงปิดโอกาสที่จะมีความสุขกันขนาดนี้?
—–
ไม่ใช่ว่าเป้าหมายเป็นสิ่งไม่จำเป็นนะครับ ผมว่าเป้าหมายแบบ SMART Goals นั้นสำคัญมากสำหรับโลกธุรกิจ
แต่สำหรับโลกภายในหรือชีวิตส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าการมีเป้าหมายที่วัดผลได้คือทางเลือกเดียวสำหรับการมีชีวิตที่ดี
เมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมลองใช้ชีวิตแบบขอนไม้ลอยน้ำดู แล้วก็ได้พบว่า เฮ้ย มันก็โอเคนี่หว่า
แทนที่จะมีเป้าหมาย เดี๋ยวนี้ blogger หลายๆ คนจึงเริ่มเชียร์ให้เลิกตั้งเป้าหมายกันได้แล้ว
เช่น James Clear บอกว่า ให้สร้างระบบดีกว่าตั้งเป้าหมาย
เช่น แทนที่จะตั้งเป้าว่าจะวิ่งมาราธอนภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงก่อนสิ้นปี ก็ให้สร้างระบบแบบแผนที่จะช่วยให้เราได้ซ้อมวิ่งทุกวัน
หรือแทนที่จะตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักให้ได้สิบกิโล ก็จงสร้างระบบที่จะช่วยให้เราได้กินแต่ของที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพทุกวัน
บล็อกเกอร์อีกคนอย่าง James Altucher ก็บอกว่าเขาไม่มีเป้าหมาย แต่เขามี Themes
ถ้าธีมหนังคือแก่นของหนังเรื่องนั้นๆ ธีมชีวิตในความหมายของเจมส์อัลทูเช่อร์ ก็คือแนวทางหรือวิธีปฏิบัติที่เขาจะทำทุกวัน
ธีมของเจมส์ ก็คือออกกำลังกายเป็นประจำด้วยการเดินวันละ 20 นาที พักผ่อนให้เพียงพอด้วยการนอนคืนละ 8 ชั่วโมง ใช้สมองทุกวันเพื่อคิดเรื่องสร้างสรรค์ สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกับเพื่อนๆ และทำหน้าที่เป็นพ่อและสามีที่ดี
ธีมของเจมส์มีแค่นี้เองครับ
ไม่มีเป้าหมาย แต่มีความหมาย
ไม่มีวัดผลเป็นตัวเลข แต่วัดได้ด้วยความรู้สึก
ไม่มีสำเร็จหรือล้มเหลว มีแต่เพียงว่าวันนี้เราได้ใช้ชีวิตสอดคล้องกับชีวิตในแบบที่เราอยากให้เป็นรึยัง
เมื่อเราสร้างระบบและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ตรงกับใจเรา เราจะมีความสุขได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ “สำเร็จ” ครับ
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
——
ขอบคุณข้อมูลจาก
๋James Clear: Forget About Setting Goals. Focus on This Instead.
James Altucher: Ask Altucher Ep. 45 “How do you set and track goals?”
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com