ปีใหม่นี้มาเลิกตั้งเป้าหมายกันเถอะ!

20151231_NoGoals

สมัยหนุ่มๆ เมื่อถึงช่วงเวลาปีใหม่ ผมมักอดไม่ได้ที่จะมานั่งเขียนเป้าหมายให้ชีวิต

เป็นเป้าหมายแบบ SMART goals ตามตำราฝรั่งเสียด้วย คือ Specific, Measurable, Achievable, Relevant, และ Time-bound เช่น

จะมีเงินเก็บ xxx บาท ภายในปี xxx
จะมี Six Pack ภายในสิ้นปี
จะเพิ่มน้ำหนัก 2 กิโลภายในสามเดือน
จะมีแฟนที่หน้าตาอย่างนั้น-นิสัยอย่างนี้ภายในสิ้นปี
ฯลฯ

และสิ่งที่มักจะเจอคือเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 80% ไม่เป็นไปตามนั้น

แล้วผมก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง ว่าพยายามไม่พอ ไม่มีวินัยพอ หน้าตาไม่ดีพอ ฯลฯ

พอปีใหม่วนกลับมา ก็มานั่งตั้งเป้าหมายกันใหม่!

—–

พี่โน๊ส อุดมเคยพูดไว้ในเดี่ยว 9 ว่า รู้มั้ยว่าสาเหตุอันดับหนึ่งของการหย่าร้างคืออะไร?

คำตอบคือการแต่งงานครับ!

ฉันใดฉันนั้น สาเหตุอันดับหนึ่งของความล้มเหลว ก็คือการตั้งเป้าหมาย!

พระอาทิตย์ไม่มีเป้าหมาย พระอาทิตย์จึงไม่เคยล้มเหลว

แมวไม่มีเป้าหมาย แมวจึงไม่เคยล้มเหลว

ดอกไม้ไม่มีเป้าหมาย ดอกไม้จึงไม่เคยล้มเหลว

จะว่าไปแล้ว มีแต่มนุษย์เรานี่แหละ ที่มีเป้าหมายและมีล้มเหลว

—–

นอกจากล้มเหลวแล้ว เป้าหมายยังทำให้เรามีความสุขน้อยลงอีกด้วย

เพราะทุกๆ วัน เราจะเห็น “ช่องว่าง” ระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน กับเป้าหมายของเราเสมอ

ถ้าช่องว่างนั้น “แคบลง” เรื่อยๆ ก็ดีไป เพราะนั่นแสดงว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นอีกนิด

แต่โดยมากแล้ว ช่องว่างนั้นมักจะใหญ่เท่าเดิมหรือใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ จนถึงจุดๆ หนึ่งเราทนมองช่องว่างนั้นไม่ไหว ก็เลยทำเป็นลืมมันไปซะเลย (ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่)

และสำหรับคนส่วนน้อยที่ช่องว่างเล็กลงเรื่อยๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา

เพราะกว่าที่เขาจะ “แฮปปี้” จริงๆ ก็ต่อเมื่อเขาเดินทางถึงเป้าหมายแล้วเท่านั้น

เช่นบางคนตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลภายในสามเดือน พยายามอดทนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามเป้า แต่สุดท้ายลดได้ “แค่” 5 กิโล ก็มองว่าตัวเองล้มเหลวแล้ว ทั้งๆ ที่จริงๆ เขาควรจะรู้สึกดีกับตัวเองที่ลดน้ำหนักได้ตั้งขนาดนั้น

ไม่มีใครรู้อนาคต สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามใจ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย

การกระทำของเราบวกกับเหตุปัจจัยภายนอก อาจส่งผลลัพธ์ได้เป็นร้อยแบบ แต่พอเรามีเป้าหมายตายตัว นั่นหมายความว่าเราจะพอใจกับผลลัพธ์เพียงหนึ่งแบบเท่านั้น ส่วนอีก 99 แบบที่เหลือถือว่าเป็นเรื่องไม่น่าพอใจ

ทำไมคนเราถึงปิดโอกาสที่จะมีความสุขกันขนาดนี้?

—–

ไม่ใช่ว่าเป้าหมายเป็นสิ่งไม่จำเป็นนะครับ ผมว่าเป้าหมายแบบ SMART Goals นั้นสำคัญมากสำหรับโลกธุรกิจ

แต่สำหรับโลกภายในหรือชีวิตส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าการมีเป้าหมายที่วัดผลได้คือทางเลือกเดียวสำหรับการมีชีวิตที่ดี

เมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมลองใช้ชีวิตแบบขอนไม้ลอยน้ำดู แล้วก็ได้พบว่า เฮ้ย มันก็โอเคนี่หว่า

แทนที่จะมีเป้าหมาย เดี๋ยวนี้ blogger หลายๆ คนจึงเริ่มเชียร์ให้เลิกตั้งเป้าหมายกันได้แล้ว

เช่น James Clear บอกว่า ให้สร้างระบบดีกว่าตั้งเป้าหมาย

เช่น แทนที่จะตั้งเป้าว่าจะวิ่งมาราธอนภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงก่อนสิ้นปี ก็ให้สร้างระบบแบบแผนที่จะช่วยให้เราได้ซ้อมวิ่งทุกวัน

หรือแทนที่จะตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักให้ได้สิบกิโล ก็จงสร้างระบบที่จะช่วยให้เราได้กินแต่ของที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพทุกวัน

บล็อกเกอร์อีกคนอย่าง James Altucher ก็บอกว่าเขาไม่มีเป้าหมาย แต่เขามี Themes

ถ้าธีมหนังคือแก่นของหนังเรื่องนั้นๆ ธีมชีวิตในความหมายของเจมส์อัลทูเช่อร์ ก็คือแนวทางหรือวิธีปฏิบัติที่เขาจะทำทุกวัน

ธีมของเจมส์ ก็คือออกกำลังกายเป็นประจำด้วยการเดินวันละ 20 นาที พักผ่อนให้เพียงพอด้วยการนอนคืนละ 8 ชั่วโมง ใช้สมองทุกวันเพื่อคิดเรื่องสร้างสรรค์ สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกับเพื่อนๆ และทำหน้าที่เป็นพ่อและสามีที่ดี

ธีมของเจมส์มีแค่นี้เองครับ

ไม่มีเป้าหมาย แต่มีความหมาย

ไม่มีวัดผลเป็นตัวเลข แต่วัดได้ด้วยความรู้สึก

ไม่มีสำเร็จหรือล้มเหลว มีแต่เพียงว่าวันนี้เราได้ใช้ชีวิตสอดคล้องกับชีวิตในแบบที่เราอยากให้เป็นรึยัง

เมื่อเราสร้างระบบและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ตรงกับใจเรา เราจะมีความสุขได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ “สำเร็จ” ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

——

ขอบคุณข้อมูลจาก
๋James Clear: Forget About Setting Goals. Focus on This Instead.
James Altucher: Ask Altucher Ep. 45 “How do you set and track goals?”

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ทุกคนคือศิลปิน

20151227_Artists

ทุกคนมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว

“ศิลปิน” ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นจิตกรหรือนักดนตรี

และไม่ใช่ศิลปินในความหมายไทยๆ ว่าติสต์แตกเอาแต่ใจ

ในนิยามของ Seth Godin (เซ็ธ โกแดง) ทุกๆ คนในโลกนี้สามารถเป็นศิลปินได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอาชีพอะไร

เพราะศิลปินคือผู้สร้างศิลปะ

และศิลปะในความหมายของเซ็ธมีองค์ประกอบสามอย่าง สร้างด้วยมือมนุษย์ (made by human) สร้างผลกระทบ (have an impact on others) และเป็นของขวัญให้แก่โลกใบนี้ (gift & generosity)

และในความรู้สึกของผม การสร้างศิลปะควรจะมีความเป็นต้นฉบับหรือความแปลกใหม่อยู่ในงานชิ้นนั้น (Originality) ด้วย

ดังนั้น ถ้าคุณวาดภาพด้วยการก๊อปปี้ของคนอื่นมา คุณก็ไม่ใช่ศิลปิน

ถ้าคุณแต่งเพลงขึ้นมาซักเพลง แต่ไม่เคยร้องให้ใครฟัง คุณก็ไม่ใช่ศิลปิน เพราะงานของคุณไม่ได้สร้างผลกระทบให้ใคร

แต่ถ้าคุณได้ร้องเพลงนั้นให้คนอื่นฟัง แม้ว่าคุณหรือเขาจะคิดว่ามันไม่เพราะก็ตาม คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินแล้ว เพราะงานของคุณได้สร้างผลกระทบ (แม้จะแค่คนเดียว) และเป็นของขวัญให้กับคนๆ นั้นแล้ว

หรือถ้าคุณสร้างไฟล์ Excel ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น และส่งให้เพื่อนร่วมงานได้ใช้ คุณก็เป็นศิลปินเช่นกัน

หรือถ้าคุณเป็นหัวหน้าทีม และลองผิดลองถูกจนสามารถหาวิธีกระตุ้นลูกน้องให้ทุ่มเทกับงานได้ คุณก็เป็นศิลปิน

หรือถ้าคุณเป็นผู้บริหารระดับสูงที่นำพาบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจได้ คุณก็เป็นศิลปิน

หรือถ้าคุณเป็นพ่อบ้านที่ช่วยจัดบ้านจนเรียบร้อยน่าอยู่ คุณก็เป็นศิลปินอีกเช่นกัน

หรือถ้าคุณเป็นแม่ที่รู้วิธีกล่อมลูกให้หลับ และแชร์วิธีนั้นลงใน Youtube คุณก็คือศิลปิน

แล้วการเป็นศิลปินมันดีตรงไหน?

ดีตรงที่เราได้ใช้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์มาสรรสร้างงาน ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของธุรกิจ

แทนที่จะทำให้งานมันเสร็จๆ ไป หากเราเลือกที่จะใช้ศักยภาพของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสร้างผลงานให้ออกมาดีที่สุดที่่เราทำได้  เราก็จะสนุกและรู้สึกดีกับตัวเอง

เรามีความสุข คนอื่นก็แฮปปี้ที่ได้เสพงานของเรา

เป็นหนูถีบจักรมาเยอะแล้ว ลองมาเป็นศิลปินกันดีกว่าครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

แผนการนั้นไร้ค่า

20151227_PlansAreNothing

“Plans are nothing; planning is everything.”

“แผนการนั้นไร้ค่า แต่การวางแผนนั้นขาดไม่ได้”

Dwight D. Eisenhower

—–

เคยถามตัวเองมั้ยว่า จะวางแผนไปทำไม ในเมื่อบ่อยครั้ง แผนที่วางไว้มันไม่ได้เป็นไปตามแผน

เรากะจะทำงานชิ้นนั้นชิ้นนี้ภายในวันนั้นวันนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็มักจะมีงานชิ้นอื่นมาแทรกตลอด

โปรเจ็คบางอย่างตั้งใจว่าสามเดือนจะเสร็จ แต่กว่าจะจบงานก็ปาเข้าไปหกเดือน

พอวางแผนแล้วไม่ค่อยเป็นไปตามแผน เราก็อาจจะพาลไม่อยากวางแผนไปดื้อๆ เพราะไม่อยากรู้สึกแย่กับการที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นไปดั่งใจ

เช่นนั้นแล้ว เหตุใด Eisenhower อดีตประธานาธิบดีของอเมริกาถึงบอกว่าการวางแผนนั้นเป็น everything เลยทีเดียว?

เพราะการวางแผนนั้นจะบังคับให้เราต้องคิดถึงโปรเจ็คนั้นๆ อย่างละเอียด ว่าจะมีงานอะไรบ้าง ต้องมีใครช่วยบ้าง จะเจอปัญหาอะไรบ้าง และจะใช้เวลาแค่ไหน

โดยมากแล้วหัวข้อสุดท้ายเรื่องระยะเวลาที่จะใช้ เรามักจะคาดการณ์ผิดพลาดอย่างน้อย 50% เสมอ

แต่สามหัวข้อแรกที่ว่าจะต้องทำงานอะไรบ้าง ต้องให้ใครช่วยบ้าง และอาจจะเจอปัญหาอะไรบ้างนั้น เป็นเรื่องที่เราพลาดไม่เยอะเท่า

ดังนั้นการวางแผนจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เราเตรียมตัวอย่างรอบคอบและพร้อมรับมือก้บปัญหาที่จะเกิดขึ้น

แต่เมื่อมีแผนแล้ว ก็อย่าไป “คาดคั้น” กับมันเกินไปว่าจะต้องเป็นไปตามแผนเสียทุกอย่า

เพราะโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา และไม่มีใครรู้อนาคต

จะให้ดี เราควรมีแผนไว้รองรับไว้เลยว่า ถ้าโปรเจ็คของเราล่าช้า เราจะทำยังไงต่อ

เท่านี้ การวางแผนก็จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

ทำไมผู้บริหารถึงโต๊ะสะอาด?

20151227_CleanDesk

เคยรู้สึกเหมือนผมรึเปล่าว่า ทำไมโต๊ะผู้บริหารระดับสูงหลายท่านถึงสะอาดเรียบร้อย?

ยิ่งเมื่อเทียบกับโต๊ะทำงานของเราหรือของเพื่อนๆ ในทีม ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล?

1. เพราะเขาเป็นผู้บริหาร โต๊ะจึงสะอาด หรือ

2. เพราะโต๊ะสะอาด เขาถึงได้เติบโตจนเป็นผู้บริหาร

ฝากไปคิดเล่นๆ นะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณภาพจาก Wikimedia

 

เจริญภาวนาระหว่างเลี้ยงลูก

20151226_BhavanaWithBaby

 

วันนี้ปรายฝนอายุครบสองเดือนแล้วครับ!

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการมีลูกคือผมสวดมนต์-นั่งสมาธิน้อยลงไปมาก

จากที่เคยทำเกือบทุกคืน ตอนนี้แทบไม่ได้ทำเลย

หนึ่งเพราะถ้าสวดมนต์เสียงจะดัง อาจจะไปปลุกลูกที่กำลังหลับอยู่

หรือถ้าลูกไม่หลับ เขาก็กำลังร้องไห้อยู่ จะให้ผมมานั่งสวดมนต์ก็อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะควรต้องไปช่วยอุ้มลูกก่อน

แต่เหตุผลสำคัญกว่าเรื่องเสียงดัง คือกว่าจะได้เข้านอนผมก็แทบไม่มีแรงเหลือให้นั่งสมาธิ-สวดมนต์แล้ว

พูดก็พูดเถอะ แค่จะเขียนบล็อกให้ได้ซักตอนบางทีต้องรอถึงตีหนึ่งตีสอง เขียนไปพิมพ์ผิดไป เขียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ดังนั้นพอเขียนบล็อกเสร็จหัวถึงหมอนก็น๊อค สวดมนต์ยังพอได้บ้างแต่นั่งสมาธินี่แทบจะลืมไปได้เลย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ใช่ว่ามีลูกแล้วจะเจริญภาวนาไม่ได้เลย เพราะผมก็ค้นพบหลากหลายวิธีที่เราสามารถภาวนาระหว่างดูแลลูกได้ เลยอยากเอามาแชร์ให้ฟัง เผื่อคุณพ่อคุณแม่ (หรือคนที่กำลังจะเป็น) ท่านใดสนใจจะได้เอาไปประยุกต์ใช้ได้บ้างครับ

1. ดูกาย ลูกผมติดมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (หลายที่ก็บอกว่าให้ติดมือดีกว่าติดเปลนะครับ) ดังนั้นทานนมเสร็จแล้วผมหรือแฟนต้องอุ้มลูกพาเดินไปจนกว่าเขาจะหลับ ผมเองก็เลยอาศัยจังหวะนี้เดินอุ้มลูกไปพร้อมกับการเดินจงกรม คือมีสติคอยรู้ก้าวแต่ละก้าวที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอนครับ

2. ดูเวทนา (อ่านว่าเว-ทะ-นะ) หรือคือการดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ร่างกายและจิตใจ เวลาอุ้มลูกย่อมรู้สึกปวดแขนก็ดูความปวดนั้นไป หรือเวลาอาบน้ำแล้วลูกร้องไห้จ้า ก็ฟังเสียง 100 เดซิเบลของลูกไปด้วยใจเป็นกลาง ไม่ไปให้คุณค่าเสียงร้องไห้ของลูกว่าหนวกหูหรือน่าสงสาร

3. ดูจิต อันนี้จะได้ดูหลายทีเลยทีเดียว ตอนอุ้มลูกเดิน ก็จะเกิดความเมื่อยและความง่วงจนเราอยากจะวางลูกลงเต็มแก่ การรู้ทันความรู้สึกอยากวางลูกลงนี่แหละคือการดูจิต เวลาวางลูกลงแล้วลูกรู้สึกตัวร้องไห้จ้า ใจเราก็จะห่อเหี่ยวทันที เราก็ตามรู้ทันความห่อเหี่ยวของใจนั้นก่อนจะอุ้มลูกขึ้นมาเดินทั่วหัองจนหลับใหม่

พอวางลูกลงเป็นครั้งที่สองดันรู้สึกตัวอีก คราวนี้ใจไม่ห่อเหี่ยวแต่เปลี่ยนเป็นโกรธแทนแล้ว เพราะเมื่อยก็เมื่อย ง่วงก็ง่วง ทำไมไม่ยอมนอนซักทีฮะ! รู้มั้ยว่าพรุ่งนี้พ่อต้องไปทำงาน นี่หน้าก็โทรมจะแย่แล้ว ฯลฯ ความคิดด้านลบทั้งหลายที่ประเดประดังเข้ามาในใจตอนนี้ ถ้าเรารู้ตัวเราว่ากำลังโมโหอยู่ ก็ถือว่าเรากำลังภาวนาด้วยการดูจิตนั่นเอง

ด้วยความที่ช่วงนี้นอนน้อยและไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ ก็เลยรู้สึกว่าตัวเอง “พร่อง” ในด้านนี้ไปไม่ใช่น้อย แต่ก็หวังว่าหลังจากลูกสาวอายุครบสามเดือน-หกเดือนและเริ่มนอนเป็นเวลามากกว่านี้ ผมจะสามารถกลับมาสวดมนต์-นั่งสมาธิได้เหมือนเดิมครับ

—-

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ภาพจากกล้องมือถือผู้เขียน ถ่ายเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2558