เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมเคยอ่านสัมภาษณ์ชาวบ้านคนหนึ่งที่ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจ
เขาบอกว่า สมัยก่อนตอนที่จนกว่านี้ ชีวิตเขาง่ายกว่านี้มาก เพราะด้วยข้อจำกัดทางการเงิน ทำให้เขาและครอบครัวไม่มีทางเลือกมากนัก กับข้าวก็กินอยู่ไม่กี่อย่าง โรงเรียนก็เรียนโรงเรียนแถวบ้าน เดินทางไปไหนก็ใช้จักรยาน
แค่พอเขาเริ่มฐานะดีขึ้นมา คราวนี้ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะซื้ออะไรกินดี จะส่งลูกเรียนโรงเรียนไหนดี จะซื้อรถยี่ห้ออะไรใช้ดี
กลายเป็นว่า ฐานะดีขึ้น ทางเลือกเยอะขึ้น แต่ชีวิตก็วุ่นวายขึ้นด้วย
—–
สมัยเด็กๆ ที่บ้านผมจะดูละครแค่ช่อง 7 กับช่อง 5 เท่านั้น (ช่อง 3 ไม่ชัด ส่วนช่อง 9 กับ 11 ไม่ดูอยู่แล้ว)
ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขดี
มาสมัยนี้ แค่เคเบิลทีวีก็มีให้เลือกไม่รู้ตั้งกี่ช่องแล้ว ไหนจะมี Digital TV อะไรอีกมากมายก่ายกอง
แต่ลองถามตัวเองดูนะครับว่า ช่องทีวีที่มากขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ทำให้ประสบการณ์การดูทีวีของเราดีขึ้นซักกี่มากน้อย?
—–
ในหนังสือเรื่อง The Art of Thinking Clearly ของ Rolf Dobelli มีตอนหนึ่งพูดถึงเรื่อง The Paradox of Choice หรือความย้อนแย้งของทางเลือก
Dobelli บอกว่า ยิ่งเรามีทางเลือกมากขึ้นเท่าไหร่ เราอาจยิ่งมีความสุขน้อยลงเท่านั้น
Dobelli อ้างอิงถึงหนังสือเรื่อง The Paradox of Choice – Why More is Less ของ Barry Schwartz ที่กล่าวถึงสามเหตุผลที่ทางเลือกที่มากขึ้นทำให้เราสุขน้อยลง
เหตุผลข้อแรก ยิ่งทางเลือกมากขึ้น โอกาสที่เราจะ “เป็นอัมพาตภายใน” (inner paralysis) หรือการตัดสินใจไม่ถูก ก็จะยิ่งมากตาม
เคยมีคนทำการทดลองในซูเปอร์มาร์เก็ตโดยเอาเยลลี่ตัวอย่าง 24 รส ไปให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาชิมเท่าไหร่ก็ได้ แล้วก็สามารถเลือกซื้อได้ในราคาพิเศษอีกด้วย
วันถัดมา ก็ทดลองอย่างเดียวกัน แต่ลดจำนวนรสชาติเยลลี่จาก 24 เหลือเพียง 6 รส
ผลปรากฏว่า ยอดขายวันที่สองดีกว่าวันแรกสิบเท่าครับ
ผู้ทดลองยังได้ลองเปลี่ยนสินค้าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เยลลี่ และก็ได้ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน
—–
เหตุผลข้อที่สอง ยิ่งทางเลือกมากขึ้น เราก็ยิ่งมีสิทธิ์ตัดสินใจได้แย่ลงด้วย
สมมติว่าเราลองไปถามคนหนุ่มสาวดูว่า เวลาจะคบหากับใคร คุณจะดูอะไรบ้าง คำตอบที่ได้ก็มักจะเป็นเรื่องทัศนคติที่เข้ากัน มีจิตใจที่ดี ฉลาด ทำงานเก่ง และหน้าตาดี
ซึ่งในสมัยก่อน เวลาผู้ชายจะเลือกคบสาวคนไหน ก็มักจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่อยู๋ในเมืองเดียวกับเขาไม่กี่สิบคนที่รู้จักกันมานานพอที่จะเห็นนิสัยใจคอของกันและกันพอสมควร
แต่มาสมัยนี้ การมาของอินเตอร์เน็ตและโอกาสคนรู้จักคนอย่างไม่อั้น ทำให้เรามีทางเลือกมากมายจนไม่หวาดไม่ไหว และเพราะทางเลือกที่มากมายนี่เอง ที่มักทำให้เวลาผู้ชายดูผู้หญิง มักจะลดเกณฑ์ลงเหลือแค่เรื่องเดียว นั่นคือเรื่องหน้าตา ซึ่งแน่นอนย่อมก่อให้เกิดปัญหาตามมา
—–
เหตุผลข้อที่สาม ยิ่งทางเลือกมากขึ้น โอกาสที่เราจะไม่พอใจกับการตัดสินใจของเรายิ่งมีมากขึ้นด้วย
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าช้อยส์ที่คุณเลือกคือช้อยส์ที่ดีที่สุดแล้ว ในเมื่อม้นมีอีกตั้ง 200 ช้อยส์ให้เลือก?
คำตอบก็คือ คุณไม่มีทางรู้ได้เลย และไอ้ความรู้สึกว่าช้อยส์ที่เราไม่ได้เลือกอาจจะดีกว่านี่เอง ที่จะกลับมาหลอกหลอนให้เราไม่มีความสุขกับชอยส์ที่เราได้เลือกแล้ว
—–
แล้วเราจะเอาตัวรอดจากปัญหา Paradox of Choice ได้อย่างไร
ผู้เขียนหนังสือแนะนำว่า ก่อนที่จะดูว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง ให้ทำการบ้านมาก่อนเลยว่าเราจะใช้เกณฑ์อะไรในการเลือก เขียนมันลงกระดาษ และใช้เกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัด (ไม่อย่างนั้นเราก็จะเตลิดเพลิดเพลินไปกับช้อยส์ที่มากมาย)
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือต้องยอมรับว่าเราไม่มีทางที่จะได้ perfect choice อยู่แล้ว เราจึงต้องหัดเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับช้อยส์ที่เราได้เลือกแล้ว และอย่าไปกังวลหรือเสียดายช้อยส์ที่เราไม่ได้เลือกครับ
—–
ผมว่าความเข้าใจเรื่อง Paradox of Choice จะช่วยให้เราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างรอบตัวเรา เช่นทำไมโปรดักท์ของ Apple ถึงไม่มีรุ่นให้เลือกมากนัก หรือทำไมคนที่ “สวยเลือกได้” หลายต่อหลายคนถึงลงเอยกับคนที่ขี้เหร่ (กว่าเราซะอีก) ครับ
—–
ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก The Art of Thinking Clearly ของ Rolf Dobelli
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”