นิทานแอปเปิ้ล

20150731_Apple

วันนีัวันศุกร์ มาฟังนิทานกันอีกซักเรื่องนะครับ

คุณแม่เดินเข้ามาหาของกินในครัว เห็นลูกสาวตัวน้อยยืนถือแอปเปิ้ลอยู่สองลูก จึงย่อตัวลงแล้วเอ่ยถามว่า

“คนดีของแม่ แม่ขอแอปเปิ้ลลูกนึงได้มั้ยคะ”

เด็กน้อยมองหน้าแม่แว้บหนึ่ง ก่อนจะกัดแอปเปิ้ลในมือซ้ายหนึ่งคำ และหันไปกัดแอปเปิ้ลในมือขวาอีกหนึ่งคำ

คุณแม่หน้าชา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะอ้าปาก ลูกสาวก็ยื่นแอปเปิ้ลในมือซ้ายมาให้

“ลูกนี้หวานกว่า ของคุณแม่ค่ะ ส่วนอีกลูกนึงเดี๋ยวหนูกินเอง”

—–

หมายเหตุ: เรื่องนี้อ่านเจอครั้งแรกผ่านการแชร์ในไลน์ (ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยแล้ว) และมาเจออีกครั้งใน Quora แต่ยังหาต้นทางไม่ได้ครับ  ที่เอามาเขียนตรงนี้ผมดัดแปลงจาก Quora นิดหน่อยเพื่อให้อ่านได้คล่องขึ้นครับ

นิ้วที่ 11

20150730_11Inch

“..แต่ละคนสะสมมานานไม่ใช่น้อยๆ นะ
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ที่จะมาฟังธรรม
ขนาดนี้ เหลืออยู่นิดเดียวเอง ปฏิบัติธรรม
ให้สมควรแก่ธรรมเท่านั้นเอง เหลือแต่..
ทำเอาเอง มีสติรู้กายรู้ใจไป

อย่าคิดมากนะ แล้วก็อย่าไปเพ่งเอา
คิดมากฟุ้งซ่าน กับเพ่งมากแล้วก็นิ่ง
เกินไป มันจะช้า รู้ซื่อๆ ไป
พวกเราถ้าเทียบเป็นไม้บรรทัดนะ
เราเดินมาถึงนิ้วที่ ๑๑ แล้ว
เมื่อไรมันจะได้ครบ ๑๒ นิ้ว ก็ไม่รู้…”

– หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

—–
วันนี้วันพระ

เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ วันที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วได้นั่งสมาธิ

พอนั่งสมาธิเสร็จ แฟนที่เพิ่งแชร์บล็อกเรื่องมาริโอของผมเมื่อคืนเสร็จก็บอกว่า สิงห์ Sqweez Animal เสียแล้วนะ 

ผมใจหายแว้บเลย

เพราะเพิ่งเดินสวนกับเขาที่งานหมั้นของเพื่อนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง

คุณสิงห์ เป็นลูกชายของคุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าว ซึ่งผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ

ผมไม่ได้รู้จักกับคุณสิงห์เป็นการส่วนตัว รู้แต่เพียงว่าน้องๆ ในวงดนตรีที่บริษัท (กิ่ง ส้ม ปิ๊ก) ก็กรี๊ดกันอยู่พอดู และผมเองก็เคยรับหน้าที่ร้องเพลงคำบางคำ ตอนที่วงของเราเล่นเพลงนี้ด้วย

—–

เคยเล่าให้ฟังว่าตอนเช้าระหว่างขับรถไปทำงาน ผมมักจะฟัง CD หลวงพ่อปราโมทย์

หลวงพ่อปราโมทย์เคยเป็นฆราวาสอยู่ถึง 48 ปีก่อนจะได้บวช ท่านจึงรู้เรื่องทางโลกเป็นอย่างดี ทำให้การฟังธรรมของหลวงพ่อเพลิดเพลินและเข้าใจง่าย เข้าถึงคนกรุงและคนรุ่นใหม่ได้ไม่ยาก

อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ท่านดังขึ้นมา ก็คือความสามารถในการอ่านวาระจิตของคนที่ท่านสนทนาอยู่ได้

ไม่ใช่อ่านว่าคิดอะไรอยู่นะครับ แต่อ่านว่าตอนนี้จิตเรากำลังฟุ้งซ่านอยู่ ตอนนี้จิตกำลังตั้งมั่นอยู่ ฯลฯ

แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดน่าจะทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดัง ก็คือการทำให้คนจำนวนมากหันมาสนใจเรื่องการภาวนาในชีวิตประจำวัน

เพราะมันง่ายกว่าที่คิดจริงๆ

เมื่อคืนอ่านเจอคำสอนของท่านก็เกิดมีกำลังใจขึ้นมา

“”แต่ละคนสะสมมานานไม่ใช่น้อยๆ นะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ที่จะมาฟังธรรม ขนาดนี้ เหลืออยู่นิดเดียวเอง”

ถ้าภพภูมิมีจริง และการที่เราเวียนวนเกิดมานับชาติไม่ถ้วนเป็นเรื่องจริง การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถือว่าเรา “มาได้ไกลมาก” อย่างที่หลวงพ่อว่าจริงๆ นั่นแหละ

“พวกเราถ้าเทียบเป็นไม้บรรทัดนะ เราเดินมาถึงนิ้วที่ ๑๑ แล้ว เมื่อไรมันจะได้ครบ ๑๒ นิ้ว ก็ไม่รู้”

ประโยคนี้ทำให้คิดได้ว่า เราอาจจะมาถึงใกล้เป้าหมายมากกว่าที่เราคิดไว้

คำถามคือ เราจะใช้โอกาสอันมีค่านี้เพื่อที่จะเดินไปถึงนิ้วที่ 12 หรือจะเดินถอยหลัง?

—–

เค้าบอกว่ายุคนี้คือยุคที่กรรมติดจรวด

ใครทำอะไรไม่ดีไว้ กรรมจะตามทันโดยที่ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

แต่บางที กรรมดีก็อาจติดจรวดได้เหมือนกัน

ถ้าเป็นสมัยก่อน หลวงพ่อเทศน์ คนที่ได้ฟังก็คงมีไม่กี่สิบกี่ร้อยคน

แต่การมาของอินเตอร์เน็ต ทำให้เราสามารถดาวน์โหลดธรรมะบรรยายของหลวงพ่อจากที่ไหนก็ได้ในโลก และทำให้มีคนได้ฟังธรรมเป็นพัน เป็นหมื่น หรืออาจเป็นแสนคน

เทคโนโลยีทำให้ผลของกรรมดีและกรรมชั่วของเราทบเท่าทวีคูณได้

ถ้าเราอยู่นิ้วที่ 11 กันจริงๆ ก็ไม่มียุคไหนที่จะง่ายสู่การเดินไปสู่นิ้วที่ 12 เท่ายุคนี้อีกแล้ว เพราะเพียงแค่กระดิกนิ้วไม่กี่ที เราก็ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว

ในทางกลับกัน ก็ไม่มียุคไหนที่จะเดินถอยหลังกลับไปสู่นิ้วที่ 1 ได้เท่ายุคนี้อีกแล้วเช่นกัน เพราะวัฒนธรรมการเสพติดมือถือและแทบเบล็ต ทำให้เราตกอยู่ใน “ความหลง” ได้มากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา

เมื่อหลงก็ไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ ก็ยากที่จะไปสู่สุคติ

ถ้าใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดมันก็จะพาเราไปสู่นิ้วที่ 12 ได้ในอนาคตอันไม่ไกลเกินไปนัก

แต่ถ้าใช้มันเพียงเพื่อเสพเรื่องราวนอกตัว เรียกร้องความสนใจ ลุ้นยอดไลค์ เราก็คงเป็นแค่ไก่ที่ได้พลอย

การจากไปของสิงห์ Sqweez Animal ช่วยย้ำเตือนสติอีกครั้งว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

วันนี้ วันพระ เรามาใช้เวลาและชีวิตให้เป็นประโยชน์กันนะครับ

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ขอบคุณข้อมูลจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช | Facebook Group ,  วิมุตติ, Spring News

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ทางลัดที่ดีที่สุด

20150729_BestShortcut

The shortcut that’s sure to work, every time:

Take the long way.

Do the hard work, consistently and with generosity and transparency.

And then you won’t waste time doing it over.

ผมจะบอกทางลัดที่จะเวิร์คทุกครั้งชัวร์ๆ

ไปทางอ้อมซะ

จงมุ่งมั่นทำงานยาก ด้วยความสม่ำเสมอ และด้วยใจที่เอื้อเฟื้อและซื่อสัตย์

แล้วคุณจะได้ไม่ต้องกลับไปทำเรื่องเดิมซ้ำอีกให้เสียเวลา

– Seth Godin

—–

ใครที่อายุเกิน 30 ปี น่าจะเกิดทันยุคเกมมาริโอรุ่งเรือง

พ่อกับแม่ซื้อเครื่องแฟมิคอมพร้อมตลับเกมมาริโอให้ผมเป็นครั้งแรกตอนผมอยู่ป.3

สมัยนั้นเครื่องแฟมิคอมเพิ่งเข้ามาใหม่ ราคาจึงแพงมาก เฉพาะค่าเครื่องก็ 5500 บาทแล้ว ส่วนตลับเกมมาริโอก็ราคา 550 บาท รวมแล้ว 6050 บาท

เงินหกพันบาทในปี 2531 นั้นถือว่าเยอะมากๆ สำหรับผม เพราะตอนเรียนป.1 ถึงป.3 ผมได้ค่าขนมแค่วันละ 3 บาทเอง

ที่พ่อกับแม่มีเงินซื้อให้ เพราะเพิ่งได้เงินก้อนจากการไปช่วยนักการเมืองหน้าใหม่ในโคราชหาเสียงจนได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.สมัยแรก

น่าจะเป็นของขวัญวัยเด็กชิ้นใหญ่สุดที่ผมเคยได้รับแล้ว (ทั้งในแง่ตัวเงินและในแง่ความรู้สึก – ถึงยังจำราคาของมาได้จนถึงทุกวันนี้)

กลับมาเรื่องมาริโอต่อ

ในเกมนี้ พระเอกที่ชื่อมาริโอคือช่างซ่อมท่อในนครเห็ด แต่เมื่อเจ้าหญิงพีชถูกราชาคุปปะจับตัวไป มาริโอจึงได้รับมอบหมายให้ไปช่วยเจ้าหญิง

ระหว่างทางมาริโอต้องเจออุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกที่เดินไปเดินไปเดินมา เต่าบกและเต่าบินได้ ดอกไม้พิษ ดอกไม้พ่นไฟและปืนใหญ่ ไหนจะต้องระวังเหวที่ตกลงไปแล้วจะตาย (และต้องกลับมาเริ่มใหม่) แถมการเล่นให้จบแต่ละฉากก็มีเวลาจำกัดอีกด้วย ถ้าไม่ได้กระโดดรูดเสาธงหน้าปราสาทภายในเวลาที่กำหนดก็ต้องตายอีกเช่นกัน

ข้อดีก็คือคือ ในบางฉากจะมี “ท่อวาร์ป” ซ่อนอยู่ เมื่อเราลงท่อนี้ไปแล้ว เราจะสามารถไปสู่จุดหนึ่งของฉากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลาได้ไม่น้อยแล้ว เรายังไม่ต้องไปเสี่ยงชีวิตกับอุปสรรคต่างๆ ตามรายทางอีกด้วย

—–

วันนี้ผมหา “ประกายไฟ” ที่จะมาเขียนบล็อก ด้วยการอ่าน a day bulletin ฉบับเก่าๆ ที่พี่เจค (พี่ที่ออฟฟิศที่ออกไปแล้ว) ทิ้งไว้ให้

เปิดไปเจอฉบับที่สัมภาษณ์ อ้อม สุนิสา โอปอลล์ ปาณิสรา เอกกี้ เอกชัย และ เผือก พงศธร พิธีกรรายการ 4 มติ

มีช่วงตอนหนึ่งที่ทั้งสี่คนพูดถึงเด็กไทยในยุคนี้ ที่เพิ่งจบออกมา แต่อยากได้เงินเดือนดีๆ ตำแหน่งดีๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ บางคนอยากรวยเร็วๆ โดยไม่ต้องออกแรงเยอะ

ประโยคหนึ่งที่คุณอ้อมให้สัมภาษณ์ก็คือ “ความสำเร็จมันอาจจะมีทางลัด แต่ไม่ได้ลัดสั้นขนาดนั้น ในขณะที่มีทางลัด มันก็ต้องไปทางยาวก่อน”

มันเลยทำให้ผมนึกถึงคำของ Seth Godin ที่ว่า The shortcut that’s sure to work, every time: Take the long way.

เป็นอะไรที่ท้าทายสามัญสำนึก แต่ก็น่าคิด

—–

ไม่ใช่เรื่องผิดที่เด็กสมัยนี้จะคิดอย่างนี้ เพราะเขาโตมากับสภาพแวดล้อมที่เน้นเรื่องทางลัดและการเห็นผลอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเราเจอคนรุ่นใหม่ที่ยึดถือคุณค่าคนละชุดกับเรา เราก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ว่า มันจะเวิร์คจริงๆ เหรอ

เพราะถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหน วิถีชีวิตและอาชีพของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่หลักการบางอย่างก็ยังใช้ได้อยู่

ลองนึกถึงคนที่เราชื่นชมและถือเป็นคนต้นแบบของเรา (Idol) แล้วดูซิว่าเขามีคุณสมบัติเหล่านี้หรือไม่?

ทำงานหนัก ไม่ยอมแพ้ รักษาคำพูด รู้ลึกรู้จริง มีน้ำใจ อ่อนน้อมถ่อมตน

เหล่านี้น่าจะเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้คนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเกิดในยุคใดสมัยใด

มองไปรอบตัวตอนนี้ คิดว่าเด็กรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ฝึกฝนตัวเองจนมีคุณสมบัติเหล่านี้มั้ย?

—–

ผมเชื่อว่าคนที่เคยเล่นเกมมาริโอ เลือกจะไปทางปกติ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉากนี้มีท่อวาร์ปอยู่ตรงไหน

การเล่นเกมมาริโอโดยไม่ใช่ท่อวาร์ปนั้น ย่อมหมายความเราต้องเจอภยันตรายต่างๆ

แต่เราก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่มีเฉพาะในทางสายนี้ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นเห็ดที่ทำให้ตัวโตขึ้นสองเท่า เห็ดที่ทำให้เราพ่นไฟได้ หรือดาวที่ทำให้เป็นอมตะ

แถมศัตรูบางตัวยังเปิดโอกาสให้เรา “อัพเลเวล” เพิ่มจำนวนชีวิตให้เราแบบไม่อั้น

ซึ่งประสบการณ์ดีๆ เหล่านี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยเลยหากเรามัวแต่ใช้ท่อวาร์ป

ที่สำคัญ ถ้าเราไม่ได้ “ผ่านสนามรบ” มาอย่างช่ำชอง

เมื่อถึงฉากสุดท้ายที่ต้องเจอตัวบอสอย่างราชาคุปปะ เราจะเอาทักษะที่ไหนมาสู้กับมัน?

และถึงจะฟลุ้คชนะบอส และได้เจ้าหญิงคืนมาจริงๆ เจ้าหญิงจะรักคนที่ใช้ท่อวาร์ปมาตลอดเกมอย่างเราหรือเปล่า?

สุดท้ายแล้วชีวิตมันก็คือเกมอย่างหนึ่ง และ “เจ้าหญิงพีช” ของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป

เพราะความสนุกของเกมมาริโอไม่ใช่การได้จูบเจ้าหญิงตอนอวสานเพียงอย่างเดียว

ความสนุกจริงๆ เกิดขึ้นจากการได้ลองผิดลองถูก ได้ชนะ ได้แพ้ ได้พลาด ได้เริ่มต้นใหม่ และได้พัฒนาตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า-ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชัยชนะที่ได้มาด้วยการลงมือทำอย่างสุดความสามารถ น่าจะมีความหมายมากกว่าชัยชนะที่ไม่ต้องลงแรงอะไร

และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเกมนี่แหละ ที่จะหล่อหลอมให้เราเป็นมาริโอที่คู่ควรกับเจ้าหญิงอย่างแท้จริง


ขอบคุณภาพจาก Amit Agarwal | Flickr

ขอบคุณข้อมูลจาก Seth Godin blog และ a day bulletin เล่ม 346 

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือ Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนที่ผม publish ตอนใหม่ครับ)

ชีวิตคือการทดลอง

20150728_LastTimeFirstTime

When was the last time you tried something for the first time?

นานแค่ไหนแล้วที่คุณได้ลองทำอะไรเป็นครั้งแรก?

– Unknown

—–

เคยรู้สึกว่าชีวิตจำเจ น่าเบื่อบ้างมั้ยครับ?

แพทเทิร์นชีวิตของผมวันจันทร์ถึงศุกร์คือ

ตื่นขึ้นมา แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถ ปั่นจักรยาน ทำงาน พักเที่ยง ทำงาน ไปออกกำลังกาย เขียนบล็อก ไปรับแฟน ขับรถกลับบ้าน อาบน้ำ นอนเล่นเฟซ สวดมนต์ เข้านอน

การทำอะไรเป็นกิจวัตร ในแง่ดีก็คือมันช่วยประหยัดพลังสมองไปเยอะ ไม่ต้องมามัวคิดมากหรือกังวลว่าสิ่งที่เราทำไปมันถูกต้องหรือไม่ เพราะมันได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามันเวิร์ค

แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันอาจจะทำให้เราใช้ชีวิตแบบไม่มีสติเท่าไหร่ เพราะเราจะทำทุกอย่างเป็นโหมด auto-pilot หมดแล้ว ลองนึกภาพตอนเราแปรงฟัน ใส่รองเท้า หรือขับรถก็จะเห็นว่าเราทำมันโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

อีกข้อเสียหนึ่งของการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ทุกวันมันก็คือ มันออกจะน่าเบื่อเหมือนกันนะ!

When was the last time you tried something for the first time?

เวลาผมอ่านประโยคนี้ คำตอบแรกที่แว่บเข้ามาในหัวคือกิจกรรม Deep Canyon ที่ผมไปเล่นที่นิวซีแลนด์เมื่อตอนปลายปีที่แล้ว (ซึ่งผมเคยพูดถึงในบล็อกตอนเจ็บปวดแต่งดงาม) มันคือกิจกรรมที่ต้องกระโดดจากหน้าผา ไต่เชือก สไลด์ตัวลงโขดหิน ซึ่งทั้งแพง ทั้งโหด  ทั้งมัน แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึง

ถ้ามองย้อนถอยกลับไปอีกก็คือการไปทดลองใช้ชีวิตแบบคนตาบอดที่ Dialogue in the Dark http://pantip.com/topic/30496041 ที่จามจุรีสแควร์เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว (ค่าเข้าชม 90 บาทเท่านั้น ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ)

การได้ลองทำอะไรใหม่ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้นแล้ว ยังช่วยพัฒนาสมองอีกด้วย เพราะเมื่อเราต้องทำสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย นิวรอน (neurons) ในสมองของเราก็จะสร้างการเชื่อมโยง (connection) ใหม่ๆ ทำให้สมองของเราเหมือนได้ออกกำลังกาย

การลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องไปโดดหน้าผาหรือใช้ชีวิตแบบคนตาบอดก็ได้นะครับ อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราทำอยู่ประจำ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนนิดหน่อยก็อาจจะช่วยให้เรา “ทำลายแพทเทิร์น” เดิมๆ ได้แล้ว เช่น

ลองใช้ keyboard shortcut แทนที่จะใช้เมาส์คลิ้ก
ลองใส่ถุงเท้าก่อนใส่กางเกงขายาว
ลองแปรงฟันหลังจากกินข้าวเช้า (แทนที่จะแปรงก่อนกินเพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าอย่ากลืนน้ำลายบูด)
ลองใช้ไหมขัดฟันก่อนที่จะแปรงฟัน (แต่ก่อนผมจะขัดทีหลัง)
ลองกินน้ำเสาวรส+อาโวคาโด (แต่ก่อนผมไม่เคยคิดจะกินน้ำอโวคาโดเลย)
ลองหยิบหนังสือหมวดที่เราไม่เคยคิดจะอ่านขึ้นมาดู
ลองใช้เส้นทางใหม่ในการเดินทางไปทำงาน

ผมเชื่อว่าชีวิตคือการทดลอง

ถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ แบบเดิมตลอด มันก็อาจจะไม่มีความเสี่ยงอะไร แต่นั่นก็หมายความว่าเราตัดโอกาสที่จะได้เจอสิ่งที่ดีกว่าด้วย

พวกเราส่วนใหญ่น่าจะไม่อยากแก่ และอยากคงความหนุ่มความสาวไว้นานๆ

ผมเชื่อว่าการได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ (หรือทำเรื่องเดิมๆ ด้วยวิธีใหม่ๆ) อาจจะช่วยได้

เพราะมันจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและคอยเตือนให้เรามีใจที่เปิดกว้าง ซึ่งเป็นคุณลักษณะของเด็กทุกๆ คน

คำถามเดิม -> คำตอบเดิม

คำถามใหม่ -> คำตอบใหม่

ขอให้สนุกกับการทดลองนะครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ใช้ชีวิตแบบขอนไม้ลอยน้ำ

20150727_Driftwood

เมื่อปี 2555 เป็นปีที่ผมไม่ตั้งเป้าหมายอะไรให้ชีวิตเลย

เพราะได้บอกกับตัวเองว่า จะลองใช้ชีวิตแบบขอนไม้ลอยน้ำดู

ไอเดียแปลกๆ นี้ได้มาจากการอ่านหนังสือ The Buddha Said ของ Osho ครับ

เนื้อหาตอนหนึ่งมีว่า

“Those who are following the Way should behave like a piece of timber which is drifting along a stream.  If the log is neither held by the banks, nor seized by men, nor obstructed by the gods, nor kept in the whirlpool, nor itself goes to decay, I assure you that this log will finally reach the ocean.”

แปลง่ายๆ ว่าถ้าเราจะปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ ก็จงใช้ชีวิตเหมือนขอนไม้ที่ลอยตามน้ำ ถ้าขอนไม้นั้นไม่ไปเกยฝั่ง หรือถูกมนุษย์หรือเทวดาเก็บไป หรือตกอยู่ในน้ำวน หรือเน่าในเสียก่อน ขอนไม้นั้นก็จะไปถึงมหาสมุทรอย่างแน่นอน

(ใครเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษสามารถอ่านฉบับเต็มๆ ได้ที่นี่)

ที่ผมอยากลองใช้ชีวิตแบบ “ขอนไม้ลอยน้ำ” เพราะรู้สึกว่ามันแปลกใหม่และแตกต่างจากวิธีการ “ตั้งเป้าหมายให้ชัด แล้วลงมือทำอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จ” อย่างสิ้นเชิง

ตั้งเป้าแล้วทำสำเร็จก็เคยมาแล้ว ทำไม่สำเร็จก็เคยมาแล้ว ลองไม่มีเป้าหมายดูบ้างจะเป็นไร

เหนื่อยหนักเพราะ “ไว้ใจตัวเอง” มาเยอะแล้ว ลอง “ไว้ใจชีวิต” ดูบ้างจะเป็นไร

ขอนไม้ที่ลอยน้ำนั้น ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ขัดขืน ไม่ขัดขวาง สายน้ำจะพามันไปทางไหนก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ด้วยความเชื่อมั่นว่า  ยังไงๆ กระแสน้ำนี้มันก็ต้องพาเราไปสู่มหาสมุทรอยู่แล้ว

แต่การใช้ชีวิตแบบขอนไม้ลอยน้ำ ไม่ใช่การงอมืองอเท้า ไม่ทำมาหากินนะครับ

ผมก็ยังทำตามหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง เพียงแต่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องทำสิ่งนี้ให้ได้ภายในสามเดือน หรือจะต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก่อนสิ้นปี

และเพราะไม่มีเป้าหมายนี่เอง จึงสามารถรับมือกับอะไรๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้โดยแทบไม่มีความเครียดอยู่เลย

ขอนไม้ลอยน้ำนั้นจะไปถึงมหาสมุทรได้ก็ต่อเมื่อมันไม่ไปติดอยู่กับอุปสรรคต่างๆ ระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นความขี้เกียจ ความหมกมุ่น ความโลภ-โกรธ-หลง ซึ่งถ้าเราไปติดกับเรื่องเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นขอนไม้เกยตื้นหรือขอนไม้เน่าในไปเสียก่อน

แต่ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน ไม่เบียดเบียนใคร และ “ยอมจำนน” ต่อกระแสน้ำแห่งชีวิตที่พัดพาเราไป

เราอาจจะพบว่า วิธีการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็สามารถนำเราไปถึงจุดหมายที่ดีได้เช่นกันครับ

ป.ล. ช่วงนั้นผมเข้าสู่การเรียนเทอมที่สามของการเรียนปริญญาโทที่นิด้า และนั่นเป็นเทอมแรกที่ผมได้ A ทุกวิชา!

ป.ล.2 คำว่าโสดาบัน (ระดับแรกของอริยบุคคล) แปลว่าผู้เข้าถึง “กระแส” ธรรม และถ้าประคองตัวให้อยู่ในกระแสไปเรื่อยๆ ไม่ไปเกยตื้นที่ไหนเสียก่อน ก็จะไปถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง

—–

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings