วันนี้วันพระ มาคุยกันเรื่องธรรมะกันซักวันนะครับ
ขอเขียนเป็นแนวถามเอง-ตอบเอง โดยใช้ความรู้และความรู้สึกของตัวเองล้วนๆ ดังนั้น ผมจึงขอให้อ่านอย่างมีวิจารณญาณและมีเมตตานะครับ
Q: ธรรมะคืออะไร?
A: ตามความเข้าใจของผม ธรรมะก็คือการศึกษาธรรมชาติของกายและใจเราเอง
Q: ศึกษาเพื่ออะไร?
A: ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า แท้จริงแล้วธรรมชาติของกายและใจเรานั้นถูกความทุกข์เสียดแทงตลอดเวลา ไม่น่ายึดถือไว้เลย
Q: จะมีแต่ความทุกข์ได้อย่างไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าเดี๋ยวมันก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง อย่างตอนกินข้าวอิ่ม หรือตอนถ่ายท้อง หรือตอนมีความรักก็มีความสุขดีนี่?
A: ผู้รู้บอกว่า ถ้าเข้าใจถ่องแท้ จะเห็นเลยว่ามีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย แต่เพราะว่าเห็นว่ามีทั้งสุขและทุกข์นี่แหละ เราถึงต้องกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Q: แล้วเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันไม่ดีตรงไหน?
A: ไม่ดีตรงที่เกิดเราอาจจะไม่ได้โชคดีได้มาเกิดในสุคติภูมิก็ได้ การไปเกิดในทุคติภูมินี่ชีวิตแย่กว่าเป็นมนุษย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
Q: แล้วคุณรู้ได้ไงว่าสังสารวัฏมีอยู่จริง?
A: ไม่รู้ แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่น่าจะโกหกเรานะ
Q: ท่านคงไม่โกหกหรอก แต่คำสอนที่สืบทอดกันมาอาจจะมีการดัดแปลงเพิ่มเติมพระไตรปิฎกให้เรื่องราวพิสดารเกินเหตุก็ได้นี่?
A: ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเรื่องราวใดเป็นเรื่องโกหก อย่างน้อยก็น่าจะมีคนที่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วออกมาให้ข้อมูลคัดค้านบ้าง แต่เท่าที่ผมเห็น พระหลายๆ องค์ก็ออกมายืนยันถึงความมีอยู่จริงของภพภูมิอื่นๆ
Q: แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะมีอยู่จริงอยู่ดีนี่?
A: วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองยังไงล่ะ เพราะแม้สุดท้ายแล้ว สังสารวัฏจะไม่มีอยู่จริง แต่การมีธรรมะอยู่ในใจก็จะทำให้เราใช้ชีวิตนี้ได้อย่างมีความสุขแล้ว
Q: กลับมาที่เรื่องศึกษาธรรมะ ทำยังไงถึงจะดูออกว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์?
A: ก็ด้วยการฝึกสติปัฎฐานสี่ หรือที่เราเรียกกันว่าวิปัสสนา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ไม่มีในศาสนาอื่น
Q: สติปัฏฐานสี่คืออะไร ทำไม่ชื่อมันฟังดูยากจัง?
A: ชื่อมันฟังดูยากไปอย่างนั้นเอง แต่ถ้าลองแตกคำดูดีๆ มันก็คือการฝึกสติด้วยการใช้ฐานใดฐานหนึ่งในสี่ฐานคือกาย เวทนา จิต ธรรม
– กายานุปัสสนาก็คือการฝึกสติโดยใช้กายเป็นฐาน เช่นยืน เดิน นั่ง นอนก็คอยรู้คอยดูกายไปเรื่อยๆ
– เวทนานุปัสสนา (อ่านว่า “เว ทะ นา”) คือการใช้ความรู้สึกเป็นฐาน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทางใจเช่นสุขหรือทุกข์ก็รู้ หรือความรู้สึกทางกายอย่างเย็น ร้อน คัน ปวด จั๊กจี้ อึดอัด
– จิตตานุปัสสนาคือการใช้ความคิดเป็นฐาน เช่นโลภก็รู้ โกรธก็รู้ กำลังคิดมากก็รู้ กำลังน้อยใจก็รู้
– ธัมมานุปัสสนาคือการพิจารณาธรรมทั้งหลายเช่น นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔ ฯลฯ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร แต่ขอบอกว่ามันแอดว๊านซ์ไป เท่าที่ผมรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าแล้วยังไม่เคยมีใครใช้ธัมมานุปัสสนาจนบรรลุได้
Q: แล้วสติปัฏฐานสี่นี่เราต้องทำทั้งสี่อย่างเลยรึเปล่า?
A: ไม่จำเป็น ถ้าเปรียบนิพพานเป็นห้องๆ หนึ่ง กายาฯ เวทนาฯ จิตตาฯ ธัมมาฯ ก็เป็นเหมือนประตูสี่บานที่เปิดเข้าสู่ห้องเดียวกัน
Q: แล้วหลักการใหญ่ๆ ของวิปัสสนาคืออะไร?
A: เท่าที่ผมจับใจความได้มีดังนี้
– รู้เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นในกายในใจเรา (การเพ่งไฟหรือเพ่งกษิณจึงไม่ใช่วิปัสสนา)
– รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ใช่โกรธเมื่อชั่วโมงที่แล้วเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้
– รู้อย่างเป็นกลาง คือรู้แล้วไม่ตัดสินว่าสภาวนะดีหรือไม่ดี เพราะถ้าเราไม่เป็นกลางเมื่อไหร่ ใจเราจะเริ่มทำงานใจเราจะเริ่มคิด และเมื่อคิดเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้เมื่อนั้น
Q: เป้าหมายของวิปัสสนาคืออะไร?
A: ให้เห็นถึงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
Q: ศัพท์ยากอีกแล้ว
A: อนิจจังคือเห็นความเปลี่ยนแปลง เช่นเมื่อกี้ยังอารมณ์ดีอยู่ ตอนนี้อารมณ์เสียแล้ว
ทุกขังคือเห็นสภาะวะบีบคั้นที่อยู่ในกายในใจเราเสมอมา เช่นนั่งอยู่ซักพักเริ่มเมื่อยนั่นก็คือทุกข์อย่างหนึ่ง
ส่วนอนัตตาคือให้เห็นว่าสภาวะต่างๆ ไม่ใช่ตัวเราหรือของๆ เรา เช่นเวลาเรานั่งแล้วปวดขา ให้เห็นว่าขากับอาการปวดนั้นอยู่คนละส่วน ขาก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความปวดก็เป็นเวทนาหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในขา หรือที่เขาเรียกกันเท่ๆ ว่า “แยกรูป-แยกนาม” นั่นแหละ
หรือเวลาเราโกรธ จริงๆ แล้วตัวเราไม่ได้โกรธ แต่ความโกรธต่างหากที่เป็นสภาวะแปลกปลอมที่แทรกซ้อนเข้ามา เป็นแค่แขกที่มาเยี่ยมใจเรา ซักพักเดี๋ยวเขาก็ไป
Q: เห็นไตรลักษณ์แล้วยังไงต่อ?
A: ก็ไม่ยังไงต่อ ได้แต่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งเรา “เข้าใจ” จริงๆ ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดติด เพราะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถูกความทุกข์เสียดแทงตลอดเวลา และยึดเอามาเป็นของเราไม่ได้ซักอย่าง
Q: แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามาถูกทางแล้ว?
A: น่าจะมีสองขั้นตอน คือศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจหลักใหญ่ใจความ จากนั้นก็พิจารณาโดยใช้ common sense เปรียบเทียบดูว่าผลลัพธ์ที่ได้มามันใกล้เคียงกับที่พระพุทธเจ้าสอนรึเปล่า
Q: ผลลัพธ์เช่นอะไรบ้าง?
A: เราเห็นกิเลสตัวเองบ่อยขึ้นไหม? เรามีสติบ่อยขึ้นรึเปล่า? ตอนโกรธเรารู้ตัวรึเปล่า? เรามีใจที่เป็นกลางกับสิ่งต่างๆ ที่มากขึ้นรึเปล่า? ถ้าคำตอบคือใช่ก็แสดงว่าเราน่าจะยังมาถูกทางอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรฟังควรอ่านธรรมะจากผู้รู้ด้วย
Q: ถ้าอยากศึกษาเรื่องพวกนี้ควรไปหาอ่านจากที่ไหน?
A: ที่ผมรู้จักและอยากแนะนำมีอยู่สามที่คือ dungtrin.com ของดังตฤณ thaidhamma.net ของอาจารย์โกเอ็นก้า และ dhamma.com ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
Q: แต่ละวันก็ยุ่งจะแย่อยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติ?
A: ถ้าคุณก็มีเวลาอ่านบทความนี้มาถึงบรรทัดนี้ ก็แสดงว่าคุณมีเวลาปฏิบัติแล้วล่ะ
Q: อย่ามาพูดให้รู้สึกผิดได้มั้ย ถามดีๆ ก็ตอบดีๆ สิ
A: สำหรับคนเมืองอย่างเรา วิธีที่ง่ายสุดคือปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี่แหละ เช่นเวลาแปรงฟันก็รู้สึกถึงฟันที่กำลังถูกแปรงถูไถ เวลาอาบน้ำก็รู้สึกถึงความรู้สึกเย็นๆ เวลาน้ำกระทบร่างกาย เวลากินข้าวก็รู้สึกถึงรสชาติอาหาร เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าก็ให้ลองดูร่างกายของตัวเองที่มันเคลื่อนไหว ตอนขึ้นลิฟต์แทนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา ก็ลองสังเกตลมหายใจของตัวเองดู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนเข้านอนก็ควรจะสวดมนต์และนั่งสมาธิซักหน่อยเพื่อให้ใจได้ผ่อนคลายและหลับสบายนะ
Q: แต่ชีวิตเรายุ่งมากเลยนะ หาเวลามาปฏิบัติไม่ได้เลย
A: ยิ่งยุ่งจนไม่มีเวลาแปลว่ายิ่งต้องปฏิบัติเลยล่ะ และคำถามก็คือ เรายุ่งเพราะอะไร? ยุ่งเพราะเรากำลังใช้ชีวิตตามเป้าหมายบางอย่างอยู่ใช่หรือไม่? เช่นอยากจะมีแฟนสวยๆ อยากจะได้เลื่อนตำแหน่ง อยากจะมีเงินเก็บเท่านั้นเท่านี้?
คุณพศิน อินทรวงค์ เคยเขียนไว้ในบทความชื่อ 10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนักว่า
ตลอดกาลเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย
วันนี้วันพระ ขอให้ธรรมะคุ้มครองใจเรานะครับ
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (กดไลค์แล้วเลือก See First หรือ Get Notifications ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”
ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com