30 ประโยคสุดจี๊ดจากพี่อ้อย Club Friday

เมื่อวานนี้ทาง LINE MAN Wongnai ได้เชิญพี่อ้อย Club Friday มา WeShare เนื่องในเดือนแห่งความรัก

เราเคยเชิญพี่อ้อยมา WeShare แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2018 มารอบนี้พี่อ้อยก็ยังท็อปฟอร์มเหมือนเดิม พูดสดๆ 1.5 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีสไลด์ ไม่ต้องมีโน๊ต ประโยคต่างๆ พรั่งพรูออกมา ทั้งให้ข้อคิด ทั้งแทงใจดำ ผมกับน้องๆ ทีม People จดตามแทบไม่ทัน

นี่คือ 30 ประโยคที่ผมชอบเป็นพิเศษครับ

คนอกหัก / คนโสด

  1. บางคนงานก็หนัก รักก็แย่
  2. รับรู้ไม่ได้แปลว่ารับรักเสมอไป
  3. ทำดีได้ดี แต่ไม่ได้หัวใจนะคะลูก
  4. บางทีเราไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ต้องการคำปลอบเฉยๆ
  5. วันที่เราอ่อนแออย่าเพิ่งรีบเข้มแข็ง เดี๋ยวแผลจะใหญ่กว่าเดิม
  6. จะรักใครมากแค่ไหน รักตัวเองให้ได้ครึ่งนึงที่รักเขาเราก็รอดแล้ว
  7. เวลาเขาตอบว่า “เลือกไม่ได้” แปลว่าเขาเลือกแล้ว นั่นคือเขาไม่ได้เลือกเรา คำตอบมีมาตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้ให้ความหวัง แต่เรายังพร้อมที่จะหลอกตัวเองต่อไป
  8. เราไม่ได้มีความสุขกับความโสดหรอก เพียงแต่คนที่เข้ามาไม่ได้ทำให้เราชอบเขามากพอที่จะสละความสุขจากความโสด

คนมีคู่

  1. เรามักจะงี่เง่ากับคนที่เราให้ความสำคัญ
  2. เรามักจะแสดงความคิดเห็น แม้ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ
  3. รักกันไม่ใช่แค่ต้องเชื่อใจกัน รักกันต้องทำตัวให้น่าเชื่อใจด้วย
  4. ความเชื่อใจ สร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก แถมลำบากจะเรียกคืน
  5. อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆ ยังไงก็สวย แต่อยู่ด้วยอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  6. ความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งปกติ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ – แม้แต่ตัวเราเอง
  7. รักทางไกลวันนี้ง่ายกว่าเดิมเยอะ กดปุ่มนึงก็เจอกันแล้ว
  8. ความไกลไม่ได้ทำให้ใจห่าง แต่ทำให้คนที่ไม่ได้รักกันเท่าไหร่แสดงออกกันมากขึ้น
  9. อย่ามัวแต่มองจอจนไม่รอเจอหน้ากัน
  10. มีอะไรคุยกัน ไม่สำคัญเท่ามีอะไรฟังกันหรือเปล่า
  11. อย่ามัวแต่มองข้างหน้าจนลืมมองคนข้างๆ วันหนึ่งความสำเร็จจะอ้างว้างถ้าไม่มีคนข้างๆ ฉลองด้วย

คนมีอดีต

  1. อย่าเอาอดีตมากรีดปัจจุบัน
  2. ความระแวงจะเป็นแรงผลักให้คนอื่นดูน่ารักมากกว่าเรา
  3. ตื่นมาอีกวัน เราก็ห่างอดีตไปอีกวัน ไม่อยากมีปัจจุบันดีดี เลยไปจบอยู่กับอดีตแย่ๆ

คนอื่น

  1. แฟนเก่ากลับมาทัก ไม่ได้แปลว่าเขากลับมารักซะหน่อย
  2. ตอนเป็นแฟนกันยังคาดหวังไม่ได้ เป็นแฟนเก่าจะไปหวังให้เค้าขอโทษเหรอ
  3. ปากอยู่ที่เขา ใจอยู่ที่เรา อย่าให้ปากใครสูงค่าจนทำร้ายหัวใจเราได้
  4. คนที่เราไม่ชอบมักจะอยู่ที่หางตาของเราเสมอ
  5. อย่าทำตัวเองเป็นกล้องวงจรปิดตามติดชีวิตคนที่เราไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็แค่แยกย้าย

คนไม่ยอมแพ้

  1. ยิ้มของเราต่อชีวิตคนอื่นได้
  2. เราต้องมีความสุขให้ได้ตามเงื่อนไขที่มี
  3. สู้ทีละวัน รอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน


ติดตาม Anontawong’s Musings ตามช่องทางที่สะดวก >> https://linktr.ee/anontawong

38 ข้อคิดดีๆ จากท้อฟฟี่ แบรดชอว์

38 ข้อคิดดีๆ จากท้อฟฟี่ แบรดชอว์

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง LINE MAN Wongnai ได้รับเกียรติจากคุณท้อฟฟี่ แบรดชอว์มาบรรยายในหัวข้อ เรื่องเล็ก น้อยนิด มหาศาล

จัด WeShare มาหลายสิบครั้ง ครั้งนี่น่าจะเป็น WeShare ที่มีความ personal มากที่สุด

นี่คือข้อคิดบางส่วนที่ได้จากคุณท้อฟครับ

  1. ตอนจบปริญญาตรีใหม่ๆ เคยไปสัมภาษณ์งานกับกิจการโรงแรมแห่งหนึ่ง ต้องนั่งรอ 6 ชั่วโมง พอสัมภาษณ์เสร็จแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่อยากทำงานที่นี่ เพราะตลอด 6 ชั่วโมงที่นั่งรอ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำซักแก้วหนึ่งมาให้ดื่มทั้งๆ ที่บริษัทอยู่ในธุรกิจบริการ เราอยากอยู่ในองค์กรที่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ เพราะเราเองก็อยากเป็นคนแบบนั้น
  1. หลังจากเรียนจบโท ผมสมัครงานกับ Ogilvy ได้สัมภาษณ์กับ “พี่อิ๋ว” ที่เป็น MD ประทับใจมาก เพราะพี่อิ๋วเล่าให้ฟังด้วยว่าที่นี่เขาทำงานกันยังไง ตอนนั้นคิดในใจว่าต่อให้ไม่ได้งานที่นี่ ก็จะขอกลับมาสมัครใหม่ เพราะรู้เลยว่าที่นี่คือ “โอลิมปิก”
  1. ผมแนะนำตัวเองกับพี่อิ๋วว่า “ผมเป็นนักทำให้คนตกหลุมรักภายใน 7 วินาที” เพราะมีงานวิจัยที่บอกว่า 7 วินาทีแรกที่เราเจอกันนั้นจะสร้างภาพประทับอยู่ในใจว่าเราเป็นคนแบบไหน พี่อิ๋วจึงถามต่อว่า “งั้นท้อฟทำให้พี่ตกหลุมรักภายใน 7 วินาทีหน่อยสิ”
  1. (สำหรับพี่อิ๋ว ผมขอสองนาทีนะครับ) ในปี 1995 มีหนังชื่อ Evita ซึ่งกำลัง cast ตัวนักแสดงนำ มีทั้ง Meryl Streep, Michelle Pfifer และนักแสดงหญิงขั้นเทพอีกหลายคน แต่คนที่ได้บท Evita ไปกลับเป็น Madonna ซึ่งเป็น bad girl ในวงการ และเคยได้รางวัลนักแสดงยอดแย่มาแล้ว (Golden Raspberry Awards)
  1. สิ่งที่มาดอนน่าทำ คือเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเองหา Alan Parker ที่เป็นผู้กำกับ แล้วขอร้องว่าเลือกฉันเถอะ แล้วฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ปาร์คเกอร์สัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงเลือกมาดอนน่า และสุดท้ายเธอก็คว้ารางวัล Golden Globe นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม
  1. ผมรู้ว่าพี่อิ๋วมีช้อยส์ที่ดีกว่าผม ประสบการณ์มากกว่า เก่งกว่า ผมเพิ่งจบโทมา ไม่เคยทำ agency มาก่อน แต่ผมมี passion และความตั้งใจ ผมจะพิสูจน์ตัวเองว่าพี่เลือกคนไม่ผิด
  1. สุดท้ายผมก็ได้งานที่ Ogilvy จริงๆ เมื่อได้เข้ามาทำงาน จึงถามพี่อิ๋วว่าทำไมถึงเลือกท้อฟ พี่อิ๋วตอบว่า พี่เลือกท้อฟตั้งแต่ 7 วิแรก
  1. 7 seconds = lifetime เราต้องทำให้ 7 วินาทีนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา มันคือการต่อโปรที่เคยเป็นแค่ 7 วินาที ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ ลองคิดว่าถ้าเราใช้ทั้งชีวิตสร้าง 7 วินาทีแห่งความประทับใจอยู่ตลอด ทิศทางชีวิตเราจะเป็นอย่างไร
  1. สมัยทำงานอยู่บริษัทเก่า การทำ content ยังเป็นเรื่องใหม่ ผมเลยเดินไปขอหัวหน้าว่าอยากทำ content หัวหน้าก็อนุญาตว่าพอขึ้นปีใหม่จะให้ทำ ผมก็เฝ้ารอวันที่จะได้ทำงานใหม่ แถมมกราคมยังเป็นเดือนเกิดของผมด้วย เมื่อเดือนมกราคมมาถึง หัวหน้าก็ประกาศในที่ประชุมว่าจากนี้ไปท้อฟฟี่จะไม่ทำ AE แล้วนะ เพราะท้อฟฟี่ทำงานไม่ได้ แล้วเขาก็หัวเราะ แล้วทั้งห้องก็หัวเราะตามอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก
  1. Moment ที่แย่ที่สุดคือตอนโดนเชิญออกไปเป่าเค้กแล้วร้อง Happy Birthday to You เดินออกมาจากห้องประชุมแล้วรู้สึกไม่อยากมาทำงานอีกเลย ยังดีที่เพื่อนๆ พี่มาให้กำลังใจ
  1. ผมมีสองทางเลือก เชื่อว่าทำไม่ได้จริงๆ หรือออกมาลุยเอง ผมเลือกอย่างหลัง เลยเป็นจุดกำเนิดของเพจ ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
  1. มนุษย์ทำงานทุกคนน่าจะมีช่วงเวลาของการเกลียดวันจันทร์ และเราเองก็รู้ดีว่าเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในองค์กรนั้นมันเป็นยังไง อยากจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึก I hate my job ให้กลายเป็น I love my job เพราะถ้าที่ทำงานแย่ เราจะส่งต่อพลังลบให้กับคนที่บ้านด้วย แต่ถ้างานมีความสุข เราจะส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับเพื่อนและคนรอบตัว จึงเป็นที่มาของคอลัมน์ Game On, Bitch ใน The Standard
  1. มีคนทัก ส่งคำถามและฟีดแบ็คมามากมาย ครั้งหนึ่งที่ประทับใจคือมีคนเขียนมาบอกว่า “ผมอยากเป็นหัวหน้าที่ดี ที่ผ่านมาผมทำให้ลูกน้องไม่มีความสุขในที่ทำงาน ผมใช้ความโกรธในที่ทำงาน” ไม่นึกว่าข้อเขียนของเราจะมีผลงอกงามออกมาขนาดนี้ และที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าคือมันกลับมาเยียวยาตัวเราด้วย เพราะคนที่เราให้คำปรึกษาเขาตอบกลับมาว่า “ผมจะไปขอโทษลูกน้อง”
  1. เคยได้คุยกับคนทำงาน Call Center ที่ SCB อยากรู้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟทุกวัน เขาตอบว่า “พี่ครับ วันนึงผมรับสายประมาณ 70-90 สาย เดือนหนึ่งถ้าผมคิดว่ามีคนด่าผม 2,000 ครั้ง ผมจะไม่อยากมาทำงานเลย แต่พอคิดว่าจะมีอาชีพไหนที่จะมีโอกาสได้ช่วยคนเดือนละ 2,000 คน ความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไปเลย”
  1. ฮารุโกะ มิทสึ เป็นคนญี่ปุ่นที่ไปเติบโตเมืองจีนเลยพูดญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ เมื่อกลับมาอยู่ญี่ปุ่น เลยเลือกทำงานที่ไม่ต้องพูดญี่ปุ่นมากนัก นั่นก็คือการเป็นพนักงานทำความสะอาดที่สนามบิน Haneda วันหนึ่งหัวหน้าส่งฮารุโกะไปประกวดทำความสะอาดระดับประเทศ ปรากฎว่าเธอได้ที่ 2 ฮารุโกะเสียใจมาก หัวหน้าเลยบอกว่า “ที่เธอแพ้เพราะเธอตั้งใจเกินไป พอตั้งใจมากเกิน เธอจะหลงลืมสิ่งหนึ่ง นั่นคือการสนใจลูกค้า ลืมที่จะมีรอยยิ้มให้คนที่ผ่านไปผ่านมา” พอปีต่อมาเธอเข้าประกวดอีกครั้ง และคราวนี้เธอได้ที่หนึ่ง
  1. ก่อนทำความสะอาดคุณฮารุโกะจะจินตนาการว่ามีเด็กเล็กๆ เล่นอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ถ้าเด็กคนนั้นเอามือโดนพื้นแล้วมาโดนปากจะทำยังไง ซึ่งเพิ่มความตั้งใจของเธอที่จะทำงานให้ดี เธอประดิษฐ์แปรงเล็กๆ ขึ้นมาเอง เพื่อจะได้ถูเข้าไปในซอกที่เล็กที่สุดแม้กระทั่งรูเครื่องเป่ามือ เพื่อจะให้มันแห้งจริงๆ แล้วจะได้ไม่มีกลิ่นอับ จะได้ไม่ต้องใช้น้ำยาที่กลิ่นแรง
  1. เธอเชื่อว่าถ้าห้องน้ำสะอาด ลูกค้าจะเกรงใจเอง และเธอมักจะให้รางวัลตัวเองด้วยการไปแอบในมุมห้องน้ำแล้วสังเกตสีหน้าเวลาลูกค้าเปิดประตูเข้ามา
  1. ตอนนี้ฮารูโกะมีลูกน้อง 500 กว่าคน และสนามบิน Haneda ก็ได้รางวัลสนามบินที่สะอาดที่สุดในโลก 7 ปีซ้อน
  1. เราทำงานแบบไหนจะสะท้อนว่าเรามีเป้าหมายแบบไหน ถ้ามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เราจะใส่ใจเบอร์นี้ 
  1. ใน Sunderland มีสะพานที่คนเดินไปฆ่าตัวตายเยอะมาก ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Page Hunter ซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าตัดสินใจทำเรื่องเล็กๆ ด้วยการเขียนข้อความให้กำลังใจด้วยลายมือไปแขวนอยู่ตามสะพาน แขวนทุกวันจนทำให้อัตราการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  1. ไม่ต้องเป็นหัวใจ เป็นหัวไหล่ก็พอ – เวลาเพื่อนมาปรึกษา เราจะรู้สึกว่า ทำไมเขาโง่อย่างนี้ แล้วเราก็แนะนำไป แล้วเขาก็ไม่ทำ การที่เราพยายามจะให้เขาเป็นแบบที่เราอยากให้เป็น มันก็เป็นการตัดสินเขาเหมือนกัน
  1. ผมเชื่อว่าถ้าเขามีสติ เขาจะมองเห็นทางออกเองได้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนคนเอาหน้าชนกำแพง หน้าที่ของเราคือเป็นไหล่ให้เขา ไม่ต้องไปตัดสินอะไรทั้งสิ้น เพราะถ้าเขามาหาเรา แสดงว่าเขาอยากแก้ปัญหา หน้าที่ของเราคือทำให้เขามองเห็นมุมอื่นๆ เมื่อรู้ตัวว่ามีความหมายเขาจะลุกขึ้นเดินได้เอง
  1. ชายเชื้อสายอินเดียคนหนึ่งเคยไปสัมภาษณ์งานที่ Microsoft ก่อนจบการสัมภาษณ์เขาโดนถามว่า “ถ้าเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินร้องไห้อยู่กลางถนน คุณจะทำอะไร?” เขาจึงตอบไปว่า “ผมจะโทรบอก 911 ครับ” สุดท้ายเขาได้งานที่นี่ แต่คนที่สัมภาษณ์เขามาบอกภายหลังว่า “สิ่งหนึ่งที่คุณต้องพัฒนาคือความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เวลาเห็นเด็กร้องไห้ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือเข้าไปกอดเขาให้หายร้องไห้ก่อน แล้วค่อยโทร 911” นี่คือบทเรียนที่ Satya Nadella, CEO Microsoft คนปัจจุบันจำไม่เคยลืม
  1. เวลาเจอคนร้องไห้ เราจะรีบหาทางออกบางอย่าง ด้วยการเอาประสบการณ์ของเราไปทาบเขา แม้จะเริ่มต้นด้วยความตั้งใจที่ดี ถ้าเราบอกเขาว่าต้องทำอะไร มันอาจจะเป็นการดันเขาออกไปเช่นกัน เพราะเขาอาจจะคิดว่าไม่มีใครเข้าใจฉันเลย หรือเรื่องแค่นี้ทำไมฉันคิดเองไม่ได้ 
  1. ปีที่แล้วผมได้รับมอบหมายให้เขียนหนังสือประวัติของอากงด้วยการไปสัมภาษณ์คนในครอบครัว แล้วก็ได้พบว่าความทรงจำแต่ละอย่างเกี่ยวกับอากงเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนั้น น้องสาวของอากงบอกว่า “เฮียมักจะประดิษฐ์ของเล่นให้น้อง ซ่อมเสื้อผ้าให้”  พ่อผมบอกว่า “เวลาไม่มีแอร์ เตี่ยจะขึ้นไปฉีดน้ำบนหลังคา”  ลูกพี่ลูกน้องบอกว่า “น้องลิดาชอบไปเล่นกับอากง เล่นทำอาหาร ไปเสิร์ฟให้อากง แล้วอากงก็จะทำท่ากินแล้วอร่อยมาก” 
  1. ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์พี่เบิร์ด ธงไชย หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ พี่เบิร์ดบอกว่า ถ้าท้อฟฟี่มีความสุขอย่าลืมไปบอกพ่อแม่นะ ท่านจะได้รู้ว่าเรานึกถึงท่านเวลาเรามีความสุข แล้วพี่เบิร์ดก็ให้ผม video call หาคุณพ่อคุณแม่กัน ชมผมให้แม่ฟัง และร้องเพลงให้คุณพ่อฟัง
  1. พี่เบิร์ดเชื่อว่าเราสามารถสร้าง “moment ดอกไม้บาน” ได้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ แต่ว่ามันจะยิ่งใหญ่อยู่ในใจได้ยาวนาน
  1. เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผมเป็นคนบ้าทำงานมาก ทำงานข้ามวันข้ามคืน กลัวว่าถ้าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จพ่อแม่จะไม่ภูมิใจในตัวเรา – ศุกร์ 12 สิงหา 2554 ถ้าเป็นปีอื่นๆ จะกลับไปอยู่กับแม่ แต่ผมเลือกใช้วันนั้นทำงาน พอตื่นมาตอนเช้า รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอก เลยขับรถไปหาหมอ หมอตรวจแล้วแจ้งว่าหัวใจห้องหนึ่งของผมกำลังจะหยุดเต้น ต้องทำบอลลูนเดี๋ยวนี้
  1. ผมโทรไปหาคุณพ่อซึ่งอยู่ต่างจังหวัดกับคุณแม่ที่เพชรบูรณ์ พ่อกับแม่เป็นหมออยู่แล้ว เลยยกโทรศัพท์ให้หมอได้คุยกันเองก่อน พอคุยเสร็จ พ่อก็ขอคุยกับผม แล้วบอกว่า “ลูกรัก ไม่ต้องกลัว เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่” ผมคิดในใจว่าที่ผ่านมาเราบ้างานมากเลย และนี่คือคำพูดของคนที่เราละเลย
  1. หลังจากทำบอลลูนเสร็จ พี่ชายซึ่งเรียนหมอก็เดินร้องไห้มาหา บอกผมว่าการผ่าตัดเมื่อกี้ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องผ่าตัดบายพาสทันที มีความเป็นไปได้สี่ทางคือ 1.รอดปลอดภัย 2.อัมพาต 3.อัมพฤกษ์ และ 4.เสียชีวิต
  1. ก่อนผ่าตัด ได้โทรคุยกับแม่อีกครั้ง แม่บอกว่า “หนูไม่ต้องกลัว เมื่อลูกตื่นขึ้นมา ลูกจะเห็นป๊ากับแม่อยู่ข้างๆ” และภาพแรกที่ได้เห็นตอนตื่นมา คือแม่มาอยู่ข้างเตียงจริงๆ คอยป้อนน้ำป้อนข้าวให้ 
  1. พี่ชายบอกว่า เส้นเลือดที่ทำได้บายพาสอยู่ได้ 30 ปี เสร็จแล้วอาจจะต้องมาผ่าตัดใหม่ เหตุการณ์นี้เกิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว แสดงว่าผมยังเหลือเวลาอีกแค่ 20 ปีเท่านั้น พอเรารู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือไม่มาก วิธีการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป
  1. “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้” แค่ใส่ “นี้” เข้าไปมันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมด เพราะเราจะมีเหลืออีกกี่เดี๋ยว ทุกเรื่องเล็กๆ จึงเป็นเรื่องใหญ่ ทุกเรื่องที่เราทำเป็นเรื่องสำคัญหมด ถ้ามีเวลาเหลือแค่ 20 ปี ก็อยากจะทำให้ 20 ปีนั้นโคตรดีที่สุดในชีวิต
  1. Martin Luther King  เคยกล่าวไว้ว่า “If you cannot do great things, do small things in a great way” คุณอยากทำอะไรเล็กๆ ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก น้อยนิด มหาศาลบ้าง
  1. ถาม:เหตุการณ์หัวหน้าที่เคยบอกในที่ประชุมว่าเราจะเปลี่ยนงานเพราะเราทำไม่ได้ ถ้าเป็นคุณท้อฟฟี่ตอนนี้จะกลับไปบอกตัวเองในตอนนั้นยังไง?

ตอบ: ทุกอย่างเป็นครูของเราได้หมด เขาลงทุนมาเป็นตัวอย่างแย่ๆ ให้เราแล้ว เราจึงควรขอบคุณเขา เพราะถ้าวันหนึ่งเราโตไปเป็นคนที่เราเคยเกลียด อันนั้นจะน่าเสียใจมาก เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ เราทำได้แค่ปัจจุบัน ทุกครั้งที่เราได้ช่วยใคร เรากำลังไปหยุดคนที่กำลังจะกลายเป็น bad boss ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ดีต่อหัวใจมากกว่าการคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

  1. ถาม: อะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง

ตอบ: อยากเปิดคอร์ส storytelling โดยจะลองทำ pilot เพื่อเก็บฟีดแบ็คก่อน

  1. ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจออกจาก Ogilvy เพราะรู้สึกว่าชีวิต secure มากขึ้น ผมคิดว่าเราต้องมีนามสกุลเป็นของตัวเอง อย่าไปพึ่งนามสกุลที่เป็นชื่อบริษัท เพราะคนเขาอาจจะคิดว่าเราเก่งเพียงเพราะเราอยู่บริษัทนี้รึเปล่า
  1. ในหนึ่งปีเราควรมีหนึ่งโปรเจคที่เราไม่เคยทำมาก่อนเลย ผมเคยไปเรียนมวยไทย ซึ่งไม่เข้ากันเลยกับตัวเอง ทั้งเจ็บ ทั้งร้อน แล้วก็ได้พบว่าแค่เปลี่ยนสนามเราก็ไม่ใช่ที่หนึ่งแล้ว มันทำให้เรารู้ว่ายังมีคนเก่งกว่าเราอีกเยอะ มันทำให้เราไม่กร่าง มันทำให้เรารู้จักชื่นชมคนอื่น

19 ข้อคิดจากรวิศ หาญอุตสาหะ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง LINE MAN Wongnai ได้รับเกียรติจาก “พี่แท็ป” รวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของศรีจันทร์และเจ้าของเพจ Mission to The Moon มาเป็นวิทยากร

นี่คือส่วนหนึ่งจากการบรรยายของพี่แท็ปครับ

  1. นอกจาก hard skills และ soft skills แล้ว เรายังต้องพัฒนา meta skills อย่าง growth mindset, comfort with change และ self-direction ด้วย
  2. เรามักจะนึกว่า AI จะมาทำงานแทนคนแก่ แต่จริงๆ แล้ว 40% ของงานที่จะถูก AI และ Automation มาทดแทนนั้นเป็นงานของคนวัย 18-34 ปี
  3. ภายในปี 2025 AI อาจจจะทำงานมากกว่าคนในหลาย industry และเรตการนำ AI มาใช้จะเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ เพราะเมื่อรัฐ reskill คนไม่ทัน ทางเลือกสุดท้ายก็คือการบล็อคด้วยกฎหมาย
  4. งานของเราจะถูก disrupt หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานเป็นหุ่นยนต์รึเปล่า ถ้านายสั่งมาแค่ไหนก็ทำแค่นั้น แสดงว่าเราก็อาจจะถูกแย่งงานได้
  5. ในปีที่ผ่านมา Top 10 courses ที่มีคนลงเรียนมากที่สุดใน Coursera มีวิชา Mindfulness ติดอยู่ในอันดับ 4
  6. แต่ก่อนคนเก่งแบบตัว I คือรู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียวก็พอแล้ว ยุคถัดมาคนต้องเก่งแบบตัว T คือรู้ลึกในหนึ่งเรื่อง และรู้กว้างอีกหลายๆ เรื่อง แต่ยุคนี้เราต้องรู้แบบตัว Y คือเอาความรู้ของศาสตร์อย่างน้อย 2 เรื่องแบบลึกซึ้ง และนำมาบูรณาการ ซึ่งถ้าทำได้ คนอื่นจะสู้เราไม่ได้เลย
  7. ความรู้แบบ Y นั้น ขาหนึ่งควรจะเป็น solid science ส่วนอีกขาหนึ่งเป็น art ยกตัวอย่างเช่น Robert Lang นักฟิสิกส์ที่โปรดปรานการพับกระดาษแบบ Origami มาก สุดท้ายเขานำ 2 ศาสตร์มารวมกันจนพบวิธีการพับ airbag ในรถตยนต์ที่พุ่งออกมาจากด้านข้างได้ รวมถึงคิดวิธีการพับแผงโซล่าร์เซลล์ขนาดเท่าสนามฟุตบอลให้นาซ่า โดยเลียนแบบการพับแผงคอของกิ้งก่า
  8. ความผิดพลาดนั้นที่ทำงานนั้นเป็น Spectrum คล้ายๆ สีรุ้ง ไล่จาก ประมาท ละเมิดกฎ ไม่ละเอียด ระบบไม่ดี งานซับซ้อน ทดสอบไอเดีย ทดสอบธุรกิจใหม่ๆ ถ้าผิดพลาดเพราะเหตุอย่างแรกๆ บริษัทต้องลงโทษ แต่ถ้าผิดพลาดเพราะเหตุผลอย่างหลังๆ คือการทดสอบไอเดียหรือธุรกิจใหม่ๆ บริษัทต้องชื่นชม
  9. ถ้าคุณมี Critical Thinking คุณจะไม่ทำให้นายโมโห เพราะคุณจะคิดได้ก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ
  10. ยุโรปมีชีสหลายชนิดหลายยี่ห้อให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ถ้าเราเป็นบริษัทชีสเล็กๆ เจ้าหนึ่งเราจะทำยังไงให้ชีสของเราเป็นที่จดจำได้ ลองเข้า Youtube แล้วเสิร์ชคำว่า Panda Cheese ดู https://bit.ly/3eqC5W8
  11. คนไม่ใช่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของบริษัท คนที่ใช่ต่างหากที่เป็น – People are not your most important asset, the right people are. -Jim Collins
  12. การคิดแบบ First-Principle Thinking ทำให้ Elon Musk สามารถผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ที่เคยมีต้นทุน $600 ให้เหลือเพียง $70 ได้
  13. โปรดระวัง spill-over effect – คนไม่ดีจะส่งต่อพลังลบไปยังคนอื่นได้ ถ้าคนๆ นั้นมีความขี้โกง 100 คะแนน จะทำให้คนอื่นๆ ในทีมมีโอกาสขี้โกงไปด้วย 59 คะแนน
  14. ถ้ายืนคนละฝั่ง คนหนึ่งจะเห็นเลข 6 และอีกคนจะเห็นเลข 9 ซึ่งก็ถูกทั้งคู่
  15. Learning Pyramid การนั่งฟัง lecture จะได้ผลน้อยสุด การสอนคนอื่นจะได้ผลสูงสุด ถ้าอ่านหนังสืออะไรมาแล้วเราอยากเข้าใจให้มากขึ้น ให้เขียนสรุปออกมาแล้วเราจะได้ประโยชน์มากที่สุด
  16. ถ้าอยากมีอิสรภาพ คุณต้องมีวินัย วินัยทางการเงินจะทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงิน ถ้าอยากมีอิสรภาพในการเคลื่อนไหวร่างกายตอนแก่ คุณต้องมีวินัยในการออกกำลังกายเสียแต่วันนี้
  17. การเก็บเงินนั้น จำนวนเงินที่เก็บไม่สำคัญเท่ากับความสม่ำเสมอในการเก็บ ดังนั้นเริ่มต้นจากน้อยๆ แต่สม่ำเสมอคือดีที่สุด
  18. Scott Turow มีงานประจำแถมยังมีลูกเล็ก จึงแทบไม่มีเวลาว่าง เขาจึงเขียนหนังสือช่วงเดินทางไปทำงานทุกวัน ขาไป 15 นาที ขากลับ 15 นาที จนได้หนังสือชื่อ Presumed Innocent ที่ขายได้กว่า 10 ล้านเล่ม
  19. พอดคาสท์ที่พี่แท็ปฟังประจำคือ Business war, How I built this, and TED Daily

ใครอยากอ่านเพิ่มเติม สามารถตามไปอ่าน WeShare ของพี่แท็ปกับ Wongnai เมื่อสามปีที่แล้วที่ 10 เรื่องที่ได้เรียนรู้จากคุณรวิศ Srichand ครับ

ความลับของฟ้า จากธนา เธียรอัจฉริยะ

20200129

ที่ Wongnai เราจะมีกิจกรรม Wongnai WeShare เดือนละสองครั้งเพื่อเชิญคนเจ๋งๆ จากหลากหลายวงการมาเปิดโลกทัศน์ให้กับพนักงานของเรา

วันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้ “พี่โจ้” ธนา เธียรอัจริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ มาเล่าประสบการณ์ให้เราฟัง

สนุกมาก ได้ประโยชน์มาก ขอคัดสรรบางส่วนมาไว้ตรงนี้เพื่อส่วนรวมครับ

—–

ความลับของฟ้า

ปีนี้พี่โจ้อายุ 51 แล้ว ผ่านอะไรมาเยอะ เลยอยากทำหน้าที่คล้ายๆ Wongnai ว่าที่ไปกินมา ร้านไหนอร่อย ร้านไหนไม่อร่อย แล้วมาเล่าให้ฟัง จะได้ไม่ต้องเลี้ยวผิด ไม่ต้องไปเจออาหารที่ไม่อร่อย

พี่โจ้เรียกสิ่งที่เขาจะบอกเราว่าเป็น “ความลับของฟ้า”

—–

ยิ่งออกกำลัง ยิ่งได้กลับ

ตอนอายุ 37 ปี สมัยอยู่ DTAC  พี่โจ้เคยน้ำหนักเกือบ 100 กิโล กินอาหารแบบ “อชีวจิต” ผักไม่กิน กินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์คราวละ 30-40 ชิ้น

เย็นวันหนึ่งระหว่างกินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์ พี่โจ้รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ต้องขับรถไปโรงพยาบาล นอน CCU ไป 1 คืน

เป็นคืนที่แย่ที่สุดในชีวิต และเป็นคืนที่ดีที่สุดในชีวิตด้วย เพราะวิกฤติมาสะกิดเตือนเราเบาๆ ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว

หลังจากนั้นพี่โจ้จึงเริ่มกินผัก และเริ่มวิ่งเป็นประจำ วันแรกๆ วิ่งได้แค่ 400 เมตร ตอนนี้สามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตรสบายๆ พี่โจ้แคปหน้าจอแอปวิ่งให้เห็นว่า พี่โจ้วิ่งครบ 10,000 กิโลเมตรไปเรียบร้อยแล้ว

พี่โจ้รู้สึกขอบคุณที่ได้เข้า CCU ตั้งแต่ตอนอายุ 37 เพราะถ้าตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน แล้วมาป่วยตอนอายุ 51 ปีน่าจะรอดยาก

นอกจากวิ่งแล้ว พี่โจ้ยังเข้าโรงยิม ได้คุยกับ “พี่ปัญจะ” ที่อายุ 75 ปีแล้วแต่ยกเวทได้มากกว่าพี่โจ้อีก พี่ปัญจะยังดูสมาร์ท ยังดูแข็งแรงมาก

ยิ่งทำอะไรที่เราได้ต้านแรงโน้มถ่วง เราจะยิ่งได้กำลังกลับไปมากขึ้นเท่านั้น

—–

ยิ่งไม่รู้ ยิ่งรู้

SCB เปลี่ยนไปเยอะมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

การจะเปลี่ยนองค์กรที่อยู่มา 110 ปี พนักงาน 26,000 คน ไม่ใช่เรื่องง่าย

ความรู้สำคัญที่สุดของ SCB คืออะไร?

เมื่อพี่โจ้ได้เข้ามาทำงานที่ SCB และตั้งกองทุน fintech แรกของเมืองไทย จึงเข้าไปขอคำปรึกษาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคร่ำหวอดในวงการมาช้านาน

แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้พี่โจ้ตระหนักว่า SCB จะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ประโยคนั้นคือ “ผมไม่รู้”

ขนาดคนที่เก่งที่สุดยังยอมรับว่าตัวเองไม่รู้

เมื่อยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ความรู้จึงไหลเข้ามา SCB จึงเปลี่ยนไปอย่างที่เห็น

เพราะคนที่คิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้วมักเรียนรู้เพิ่มไม่ได้

และคนที่จะเก่งได้ในยุคนี้ คือคนที่มี ability to learn คนที่เป็นน้ำไม่เต็มแก้วอยู่เสมอ

—–

ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่กลัว

David & Goliath เป็นตำนานการต่อสู้ที่อยู่ในพระคัมภีร์ของศาสนายิว

สมัยนั้นเวลาจะรบกัน กองทัพสองฝั่งจะส่งทหารที่เก่งที่สุดออกมา หากใครชนะก็ถือว่าฝ่ายนั้นชนะไปเลย จะได้ไม่ต้องสู้รบกันให้เสียไพร่พล

ฝั่งของ Philistine ส่งนักรบที่ชื่อว่า Goliath ออกมา โกไลแอทตัวสูงใหญ่ราวสองเมตร น่าเกรงขามมาก

อีกฝั่งซึ่งเป็นกองทัพของชาวยิวไม่มีใครกล้าออกมาสู้ สุดท้ายมีเด็กเลี้ยงแกะชื่อ David เสนอตัว

ถ้าจะให้นิยามด้วยศัพท์สมัยนี้ เดวิดคือ “เด็กแว้น” ที่ไม่ได้สำเหนียกถึงความน่ากลัวของโกไลแอท

แถมเดวิดยังไม่รู้ด้วยว่าธรรมเนียมการสู้แบบส่งตัวแทนออกมานั้น คือการสู้แบบประชิดตัว

เพราะเดวิดไม่รู้ธรรมเนียมข้อนี้ จึงใช้ห่วงเชือก (sling) ยิงก้อนหินไปที่หัวของโกไลแอท

ฝ่ายโกไลแอทเองก็นึกไม่ถึงว่าเดวิดจะใช้ไม้นี้ เลยไม่ทันระวังตัว โดนก้อนหินเข้าที่หัวอย่างจังจนสลบและล้มลง เดวิดจึงรีบเข้าไปตัดคอทันที

เด็กแว้นเดวิดจึงได้กลายเป็นวีรบุรุษ และขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวยิว

—–

อีกหนึ่งตัวอย่างคือเรื่องของ Cliff Young ชายวัยเกษียณที่ลงแข่ง Ultra Marathon

งานนี้โหดสุดๆ เพราะต้องวิ่งจาก Sydney ไป Melbourne รวมระยะทาง 875 กิโลเมตร

Young ไม่เคยลงแข่งงาน Ultramarathon มาก่อน เคยแต่วิ่งต้อนแกะที่ฟาร์มมาเป็นสิบปี วันที่เขาลงแข่ง Young มีอายุ 61 ปี ทีมหมอและพยาบาลต่างจับตาดู กลัวลุง Young จะหัวใจวายระหว่างแข่ง

วันแรกๆ Young วิ่งรั้งท้าย มีรถพยาบาลคอยวิ่งตาม แต่ยิ่งคืนวันผ่านไปอันดับของเขากลับดีขึ้นเรื่อยๆ

แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อ เมื่อ Young เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งด้วยเวลา 5 วัน 15 ชั่วโมง ทำลายสถิติเก่าลงอย่างราบคาบ คนที่ได้ที่สองช้ากว่าหนึ่งวันเต็มๆ

เรื่องมาถึงบางอ้อเมื่อ Young ให้สัมภาษณ์ ว่าเขาไม่รู้ว่ารายการนี้อนุญาตให้นอนพักได้ ก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิ่ง ทุกวันจะแอบงีบแค่ 2-3 ชั่วโมงก่อนจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อ

ปีถัดมา Cliff Young ก็ลงแข่งอีก แต่ไม่ชนะแล้ว เพราะ Young รู้เสียแล้วว่านอนได้

——

ยิ่งไม่มีประสบการณ์ ยิ่งแตกต่าง

หนังของ Marvel ยุคแรกๆ แพ้หนังของค่าย DC อย่างไม่เห็นฝุ่น ทำหนังห่วยๆ อย่าง Dare Devil ที่ได้เรตติ้งเพียง 5 เต็ม 10 ในเว็บ IMDB.com

แต่มายุคหลัง หนังของ Marvel กลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

เคล็ดลับคือ Marvel เอาผู้กำกับหนังที่ไม่เคยทำหนัง Action มาก่อนมากำกับ

เอาผู้กำกับหนังผี หนังโรแมนติก มาทำหนังของ Marvel

หนังสุดดราม่าอย่าง Joker ก็ใช้บริการ ของ Todd Philiips ที่ทำหนังตลกโปกฮาอย่าง The Hangover มาหลายภาค

—–

เด็กผู้ชายทุกคนที่อายุเกิน 30 ย่อมรู้จักการ์ตูนเรื่องซึบาสะ เจ้าหนูสิงห์นักเตะ

นักเตะดังๆ อย่าง Ronaldo Messi Iguain ล้วนมีซึบาสะเป็นแรงบันดาลใจ

ในซึบาสะมีท่าพิสดารมากมาย เช่นท่ายิงประตูพร้อมกันสองคนจนลูกพุ่งแบบส่ายไปส่ายมาเข้าประตูตาข่ายขาด

แต่รู้มั้ยครับว่าอาจารย์โยอิจิ ทะกะฮะชิ ผู้เขียนซึบาสะนั้นเตะบอลไม่เป็น!

ถ้าเตะบอลเป็นคงไม่กล้าคิดท่าประหลาดๆ อย่างลูกชู้ตที่ใช้สองคนยิงพร้อมกัน เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

เมื่อไม่มีประสบการณ์ จึงไม่มีข้อจำกัด จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นไปได้

—–

ยิ่งไม่มี ยิ่งสร้างสรรค์

ยิ่งเงินน้อย ยิ่งเวลาน้อย ยิ่งโคตรสร้างสรรค์

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว AIS และ Orange กำลังรุกตลาดโทรศัพท์แบบเติมเงินในต่างจังหวัด ทั้งสองค่ายงบเยอะมาก ส่วน DTAC งบน้อยกว่ากันเยอะ

ตอนแรกดีแทคก็คิดแบบคนรวย เรียกเอเจนซี่มาคุย เอเจนซี่เสนอให้จัดคอนเสิร์ต เพราะแบรนด์ใหญ่ๆ เค้าทำกันทั้งนั้น ในคอนเสิร์ตจะมีป้ายโลโก้เล็กๆ ของเราแปะอยู่ แล้วก็ให้ศิลปินกล่าวขอบคุณบนเวที

ถามว่าจัดคอนเสิร์ตหนึ่งครั้งใช้เงินเท่าไหร่ เอเจนซี่บอกว่า 500,000 ถึง 1,000,000 บาท

ถ้าดีแทคมีเงินก็คงทำไปแล้วเหมือนกัน แต่บังเอิญไม่มีเลยต้องหาทางอื่น

พี่โจ้กลับมาถามตัวเองว่าถ้าอยากให้คนต่างจังหวัดรู้จักแบรนด์ของเราต้องทำยังไง มีกิจกรรมอะไรบ้างที่คนต่างจังหวัดมักจะไปรวมตัวกัน

งิ้วหรือลิเกคงไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะมีแต่ป้าแก่ๆ กับหมา

แล้วก็ได้ไอเดียว่าหนังกลางแปลงไง คนมากันเยอะ แต่จะเริ่มยังไงดี

พี่โจ้เลยโทรหาพ่อ (พี่โจ้บอกว่า ถ้าเราคิดอะไรไม่ออก ให้โทรหาพ่อ) พ่อขายอะไหล่ แต่มีเพื่อนเป็นสายหนัง พอติดต่อกับสายหนัง เขาก็รู้จักคนทำหนังกลางแปลง เก็บค่าตั๋ว 20 บาท สถานที่ฟรีหมด คนดูหลายพันคน น้อยกว่าคอนเสิร์ตครึ่งนึง

ดีแทคก็เลยตัดสินใจพาแบรนด์ Happy ของ DTAC ไปฉายหนังกลางแปลงทั่วประเทศ ข้อดีคือไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ ฉายหนังโฆษณาตอนต้นเรื่องก็ได้ ฉายหนังไปครึ่งเรื่องฉายโฆษณาอีกทีก็ยังได้เพราะคนดูไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว

จัดคอนเสิร์ตต้องจ่ายครั้งละ 1,000,000 บาท จัดหนังกลางแปลงจ่ายแค่ครั้งละ 40,000 บาท

ภายในหนึ่งปีดีแทคจัดหนังกลางแปลงไป 700 ครั้ง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทะลุทะลวงกว่าการจัดคอนเสิร์ตมากมายนัก

—-

ยิ่งล้มเหลว ยิ่งสำเร็จ

“ทุกๆ คนที่ทำอาชีพนี้จะต้องเรียนรู้
ที่จะเล่าอะไรแล้วแป้กก่อน
เพราะมันจะเป็นวัคซีนคุ้มกัน
ควรจะหาเวลาไปแป้กบ่อยๆ”
-อุดม แต้พานิช

ก่อนพี่โน้ตจะขึ้นเวทีเดี่ยวไมโครโฟนแต่ละครั้ง เขาจะตระเวนไปตามโรงเรียนก่อน

ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส แต่เพื่อทดลองมุกใหม่ๆ ของเขา

ลองกับกลุ่มคนเล็กๆ ความเสี่ยงต่ำ มุกไหนแป้กก็ทิ้งไป มุกไหนเวิร์คก็เก็บไว้ใช้ในเดี่ยวฯ

ยิ่งแป้กบ่อยแค่ไหน มุกยิ่งตรงเป้ามากขึ้นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้โน้ตอุดมยืนระยะมาได้ยาวนานขนาดนี้

—–

ปี 2008 สมจิต จงจอหอ เป็นวีรบุรษเหรียญทองโอลิมปิกในวัย 32 ปี ซึ่งเป็นวัยที่แก่ที่สุดที่จะต่อยมวยบนเวทีระดับนี้ได้

สมจิตให้สัมภาษณ์ว่าเขามีจุดเปลี่ยนในชีวิต 3 ครั้ง

สมจิตเคยเป็นนักมวยไทยที่เก่งมาก แต่มีไฟท์นึงที่โดนชกจนกรามหัก นักมวยส่วนใหญ่จะเลิก เพราะถ้าชกไปก็จะเป็นนักมวยคางเปราะโดนน็อคได้โดยง่าย

แต่สมจิตไม่เลิก เขาจึงต้องหาวิธีที่จะชกโดยไม่โดนต่อยกราม เลยต้องฝึกสายตาให้เฉียบคม หลบหมัดได้ว่องไว

จุดเปลี่ยนที่สองคือคือสมจิตชกแล้วไหล่หลุด ธรรมดาคนอื่นจะเลิก เพราะจากนี้ไปจะน็อคคนอื่นได้ยากแล้ว

แต่สมจิตไม่เลิก เปลี่ยนจากชกมวยไทยมาชกมวยสากล เปลี่ยนจากชกแบบ fighter ที่มุ่งน็อคคู่ต่อสู้มาชกแบบ boxer เพื่อประคองตัวและเก็บคะแนน

จุดเปลี่ยนที่สามคือตอนอายุ 28 ได้ไปโอลิมปิค นี่คือช่วงพีคสุดของอาชีพนักมวย สมจิตมั่นใจ สื่อต่างๆ ก็มั่นใจว่าสมจิตน่าจะได้เหรียญกลับมา แต่ปรากฏว่าเขาแพ้ตั้งแต่รอบกลางๆ

สมจิตกลับมาเมืองไทยได้ไปออกทีวีนั่งแถวหลังเป็นตัวประกอบ (แถวหน้าคือคนได้เหรียญ) มีแต่คนบอกว่าแขวนนวมเถอะ เพราะกว่าจะถึงโอลิมปิกหน้าก็แก่เกินไปแล้ว

แต่สมจิตไม่เลิก ก่อนไปโอลิมปิกในปี 2008 ไม่มีใครมาสัมภาษณ์ ไม่มีใครคาดหวัง มีแต่คนดูถูก สมจิตจึงมีสมาธิในการซ้อมหนักโดยไม่มีอะไรกวนใจ

ด้วยสายตาที่ไว หมัดที่เร็ว และวิธีการชกแบบชาญฉลาดก็ทำให้สมจิตได้กลายเป็นวีรบุรุษเหรียญทองในที่สุด

พี่โจ้บอกว่า ปัญหามีสองแบบ คือปัญหาที่แก้ได้กับปัญหาที่แก้ไม่ได้

คนที่มี Fixed Mindset จะคุยแต่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ฝุ่นเยอะ ทำไมรัฐบาลเป็นแบบนี้ ไวรัสจีนมาอีกแล้ว

แต่คนที่มี Growth Mindset คือคนที่โฟกัสไปกับปัญหาที่แก้ได้ เหมือนพี่โน้ตที่ซ้อมแป้ก เหมือนสมจิตที่เอาความล้มเหลวทั้งสามมาสร้างทางเลือกใหม่

—–

ยิ่งวิกฤติ ยิ่งมีโอกาส

ที่พี่โจ้รุ่งขึ้นมาได้เพราะ DTAC มีวิกฤติ ผู้บริหารโดนปลด พี่โจ้ซึ่งตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยมีโอกาสได้ทำงานใหญ่

พี่โจ้เล่าให้ฟังเรื่องคุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ Land & House และ Terminal 21

ก่อนจะเปิด Terminal 21 ทางห้างพยายามเชิญแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Zara, H&M มาเปิดร้าน แต่ไม่มีใครยอมมา เพราะห้างอื่นๆ โดยรอบมีสาขาของแบรนด์เหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว ไม่อยากเปิดเพิ่มมาแย่งลูกค้ากัน

คุณอนันต์เลยนั่งรถไฟฟ้าตระเวนดูห้างต่างๆ และพบว่าห้างที่ปล่อยเช่าได้ราคาดีที่สุดคือมาบุญครอง จับตลาด C+ และนักท่องเที่ยวชาวจีน

เมื่อไม่ได้มีแบรนด์ดังๆ ก็เลยต้องหาตัวดึงดูดอื่นๆ จึงตัดสินใจสร้างศูนย์อาหาร ตั้งราคาจานละ 50 บาท แล้วก็ถามลูกน้องที่เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น (ตลาด C+) ว่าถ้าราคานี้จะมากินบ่อยแค่ไหน

น้องๆ ตอบว่าคงกินได้แค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้าจะให้มากินทุกวันขอไม่เกินจานละ 30 บาท

คุณอนันต์สั่งให้คนที่ดูแลศูนย์อาหารไปทำ business plan มาใหม่เพื่อให้ข้าวหนึ่งจานราคาถูกกว่านี้ แต่ทำมากี่ครั้งราคาก็ยังลงมาไม่ถึง 30 บาทซักที คุณอนันต์เลยยื่นคำขาดว่า

“ถ้าคุณทำศูนย์อาหารนี้ให้ขาดทุนไม่ได้ คุณไม่ได้โบนัส”

ปรากฎว่าได้อาหารราคา 30 บาทสมหวัง และ Terminal 21 ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นห้างที่อาหารอร่อยและราคาย่อมเยา ลูกค้าหนาแน่นจนเป็นตัวดึง traffic ให้ห้างนี้คึกคักตลอด

ศูนย์อาหารของ T21 ขาดทุนทุกเดือน ต้อง subsidize เดือนละ 1 ล้านบาทหรือปีละ 12 ล้านบาท

แต่ 12 ล้านบาทซื้อบิลบอร์ดครั้งเดียวก็หมดแล้ว ถ้ามองว่ามันคือค่า Marketing ก็ต้องเรียกว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

—–

ยิ่งหัวว่าง ยิ่งสร้างสรรค์

(พ้องกับชื่อหนังสือ “เมื่อหัวว่าง จึงสร้างสรรค์” ของคุณต้อง กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรที่มาขอให้พี่โจ้ช่วยตั้งชื่อหนังสือให้)

พี่โจ้บอกว่า ไอเดียดีๆ จะไม่เกิดในห้องประชุม ต้องไม่คิดถึงจะคิดได้ มันคือ zen-like creativity

ไอน์สไตน์คิดออกตอนสีไวโอลิน

นิวตันคิดออกตอนแอปเปิ้ลตกใส่หัว

พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ co-founder ของ Workpoint มักได้ไอเดียดีๆ ที่ร้านสุกี้ระหว่างคุยไปกินไป

แล้วพี่โจ้ก็แชร์เรื่อง QR Code แม่มณี

เรารู้ว่าเมืองจีนใช้ QR Code กันจนแทบไม่ใช้เงินสดกันแล้ว ขนาดขอทานยังรับเงินเป็น QR Code เมืองไทยก็น่าจะมุ่งไปในทิศทางนี้

ตอนแรก SCB ไปขอให้แม่ค้าวาง QR Code ตรงเคาท์เตอร์ หลายธนาคารก็ขอเอาไปวางด้วย สุดท้ายแม่ค้าก็เก็บเข้าลิ้นชัก ไม่ได้ใช้งาน

ทีมงาน SCB ไม่เข้าใจ เลยไปลองใช้ชีวิตแบบแม่ค้าดู ลงไปคลุกคลีว่าแต่ละวันเขาคิดอะไร เขาทำอะไรบ้าง

แล้วทีมงานก็ได้ค้นพบว่า

1. แม่ค้าคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอด ลูกค้าที่มาคนแรกต้องขายให้ได้ ถ้าขายไม่ได้จะซวยไปทั้งวัน ถ้าขายได้ก็จะเอาเงินสดมาสะบัดใส่ของให้เป็นมงคล

2. นางกวักที่แม่ค้ามีมักไม่สวย

พี่โจ้และทีมงานจึงตัดสินใจว่า งั้นเราทำนางกวักพ่วงไปกับ QR Code เลยแล้วกัน

คนที่เป็นแบงค์เกอร์ก็สงสัยว่าพี่โจ้บ้ารึเปล่า แต่พี่โจ้คือผู้กำกับหนังมาร์เวล ไม่เคยกำกับหนังเรื่องนี้ ไม่ได้คิดเหมือนคนที่ทำงานสายธนาคารมายาวนาน

ส่วนชื่อ “แม่มณี” ก็มีที่มา

ลูกสาวพี่โจ้ชื่อ “เมนิ” เพื่อนชอบล้อว่า “มณี” พี่โจ้อยากแก้ปมนี้ให้ลูกสาว เลยตั้งชื่อนางกวักว่าแม่มณี

ลูกน้องถามพี่โจ้ว่า ผู้ใหญ่จะโอเคเหรอถ้าเอาชื่อลูกมาตั้งเป็นชื่อผลิตภัณฑ์

พี่โจ้เลยให้บอกผู้ใหญ่ไปว่า “มณี” มาจากคำว่า “money” ไง ชื่อเป็นมงคล!

ตอนเอาแม่มณีไปให้ร้านค้า SCB จงใจไม่บอกว่าเป็นนางกวัก แต่ร้านค้าเห็นแล้วก็นำไปตั้งคู่กับนางกวักที่มีอยู่แล้วอยู่ดี

แล้วก็เริ่มมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าวางแม่มณีแล้วขายดี พี่โจ้สันนิษฐานว่าอาจเพราะพอมีแม่มณีวางอยู่บนเคาท์เตอร์แล้วมันทำให้เกิดบทสนทนา ก็เลยเกิดการซื้อขายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

แถมแม่มณีก็มี “หลายปาง” ด้วย เพราะฝ่าย procurement ใช้โรงงานหลายเจ้า ผลิตแม่มณีออกมาหน้าตาไม่เหมือนกัน เลยกลายเป็นว่ามีบางร้านพยายามเก็บสะสมแม่มณีให้ครบทุกเวอร์ชัน มีโพสต์ลงโซเชียลอวดกัน มีแอบซื้อขายกันบนเว็บ

นานวันเข้า แม่มณีจึงมีสถานะเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นทุกที เจ้าของร้านไหว้นางกวักเสร็จแล้ว เห็นแม่มณีตั้งอยู่ข้างๆ ก็ขอไหว้แม่มณีด้วยเลยแล้วกัน บางร้านมีถวายไก่ต้มและน้ำแดงให้แม่มณีอีกด้วย

เมื่อมาถึงจุดๆ นี้ แม่ค้าก็ไม่กล้าเก็บ QR Code ของ SCB เข้าลิ้นชักอีกต่อไป

ส่วนน้องเมนิลูกสาวพี่โจ้ก็ภูมิใจกับชื่อแม่มณีมาก แฮปปี้กันทุกฝ่าย

—–

ยิ่งเข้าใจเขา เรายิ่งได้

Creativity ไม่ได้อยู่ที่ technology แต่อยู่ที่ pain

เราเข้าใจ pain ได้ดีแค่ไหนเราก็ยิ่งสร้างสรรค์สิ่งที่จะมาลดความเจ็บปวดเหล่านี้ได้ดีขึ้นเท่านั้น

ถ้าใครเคยไปโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศซึ่งสร้างโดย Workpoint อาจจะสังเกตว่าห้องน้ำผู้หญิงจะใหญ่กว่าห้องน้ำผู้ชาย

เพราะพี่ประภาสเล็งเห็นว่าโรงละครส่วนใหญ่มักมีห้องน้ำชายกับหญิงเท่ากัน แต่เวลาผู้ชายเข้าห้องน้ำ “transaction” จะสั้นกว่าผู้หญิงมาก คิวของผู้หญิงจึงมักจะยาวเหยียดกว่าคิวห้องน้ำชายเสมอ

ดังนั้นโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศจึงถูกออกแบบให้มีห้องน้ำหญิงมากพอที่ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงจำนวนเท่ากันก็จะใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำพอๆ กัน

อีกหนึ่งเรื่องคือเครื่องแสกน MRI ที่เข้าถึงหัวใจเด็ก ที่เปลี่ยนประสบการณ์การเข้าไปนอนนิ่งๆ ในเครื่อง MRI อันโดดเดี่ยวและน่ากลัวให้กลายเป็นการผจญภัยอันแสนสนุกจนเด็กอยากมาสแกนอีกหลายๆ รอบ

ผมเคยเขียนเรื่องนี้โดยละเอียดลงในคอลัมน์มุมละไมของ All Magazine อ่านได้ที่นี่ครับ

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมชอบมาก คือเรื่องของหมอคนหนึ่งที่เปิดคลีนิกตรวจมะเร็งปากมดลูกที่จังหวัดกำแพงเพชร

ปรากฎว่าไม่มีคนไข้ยอมมาตรวจเลย

ก็แน่ล่ะ ใครจะอยากนอนถ่างขาให้คนแปลกหน้าดู

อาจเป็นเพราะช่วงนั้นรายการ The Mask Singer กำลังดัง หมอก็เลยปิ๊งไอเดียว่าให้ทุกคนใส่หน้ากากดีกว่า ทั้งคนไข้ เจ้าหน้าที่ รวมถึงหมอด้วย

เมื่อใส่หน้ากาก ก็ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ ตรวจเสร็จก็แยกย้าย หัวกระไดคลีนิกจึงไม่แห้งตั้งแต่นั้น

—-

ยิ่งให้ ยิ่งได้

โลกนี้มีคนอยู่สามประเภท คือ Giver Taker และ Transact

Giver คือพี่นี้มีแต่ให้

Taker คือคนที่คิดเอาแต่ได้

ส่วน Transact คือพวกหมูไปไก่มา

โลกนี้เป็นกราฟระฆังคว่ำ พวกล้มเหลวสุดๆ อยู่ฝั่งซ้าย กับพวกสำเร็จสุดๆ อยู่ฝั่งขวา

ที่น่าสนใจคือ Giver จะอยู่ตรงปลายของทั้งสองฝั่ง ถ้าไม่ล้มเหลวสุดๆ ก็สำเร็จสุดๆ ไปเลย

เพราะถ้า Giver หลงไปอยู่ในดง Taker ก็จะล้มเหลว

แต่ถ้า Giver อยู่กับ Giver ด้วยกันก็จะรุ่งโรจน์

ที่ดินของตึก Terminal 21 ตรงแยกอโศกนั้น คุณอนันต์ อัศวโภคินซื้อมาในราคา 500 ล้านบาท ทั้งที่จริงแล้วมูลค่าหลายพันล้าน

เหตุผลเพราะว่าคุณอนันต์เคยปลูกต้นไม้เล็กๆ เอาไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นคุณอนันต์ซื้อที่แถวสีลมจากเศรษฐีคนหนึ่งเพื่อสร้างตึก โดยคาดว่าจะสร้างตึกได้สูงประมาณ 4:1 ตกลงราคาจ่ายเงินเรียบร้อย

แต่พอออกแบบและสร้างจริง ปรากฎว่าตึกมันสร้างได้สูงถึง 6:1 คุณอนันต์เลยเอาเงินไปจ่ายให้เศรษฐีคนนั้นเพิ่ม

ผ่านไป 20 ปี พอเศรษฐีคิดจะขายที่ดินตรงแยกอโศก แทนที่จะเปิดประมูลเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เขาถามคุณอนันต์ก่อนเลยว่าสนใจมั้ย คุณอนันต์จึงซื้อที่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องประมูลแข่งกับใครเลย

ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ แม้ใช้เวลายาวนานแต่ก็จะสร้างร่มเงาให้แน่นอน

—-

ยิ่งพอ ยิ่งสุข

พี่โจ้เคยถามพี่ประภาสว่า

“เป้าหมายในชีวิตพี่จิกคืออะไร”

คำตอบของพี่ประภาสคือ

“เป้าหมายในชีวิตพี่คือการลดเป้าหมาย เราจะได้เจอมันง่ายขึ้น”

—–

ยิ่งออกกำลัง ยิ่งได้กลับ
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งรู้
ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่กลัว
ยิ่งไม่มีประสบการณ์ ยิ่งแตกต่าง
ยิ่งไม่มี ยิ่งสร้างสรรค์
ยิ่งล้มเหลว ยิ่งสำเร็จ
ยิ่งวิกฤติ ยิ่งมีโอกาส
ยิ่งหัวว่าง ยิ่งสร้างสรรค์
ยิ่งเข้าใจเขา เรายิ่งได้
ยิ่งให้ ยิ่งได้
ยิ่งพอ ยิ่งสุข

เหล่านี้คือความลับของฟ้า

—–

Mindset In the Brave New world

“ความสำเร็จมาจากการตัดสินใจที่ถูก
การตัดสินใจที่ถูกมาจากประสบการณ์
ประสบการณ์มาจากการตัดสินใจที่ผิด
การตัดสินใจที่ผิดมาจากความกล้า”
-ประภาส ชลศรานนท์

โลกสมัยก่อน สองบรรทัดแรกนั้นใช้ได้

แต่สองบรรทัดหลัง น้องๆ มีโอกาส เพราะทุกคนเท่ากันหมดในยุคสมัยนี้

ผมขอปิดท้ายด้วย 3 ประโยคทองของพี่โจ้

“ถ้าเบอร์ 1 คิดแบบ underdog ได้ จะไร้เทียมทาน”

“น้องๆ ควรจะมีความฝันระดับโอลิมปิก อย่าฝันแค่ซีเกมส์ เพราะเราจะได้ซ้อมไปโอลิมปิก แล้วเราจะเก่งกว่าซีเกมส์”

“ยิ่งอยากเปลี่ยนคนอื่นยิ่งไม่เวิร์ค ยิ่งอยากเปลี่ยนคนอื่นยิ่งต้องเปลี่ยนตัวเอง แล้วเราจะมีเครดิตพอให้เปลี่ยนคนอื่นได้”

—–

ที่ผมเล่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ได้รับจากพี่โจ้ในวันนั้น เป็น WeShare หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่อัดแน่นไปด้วยสาระและบันเทิง

ผมหวังว่าความลับของฟ้าครั้งนี้จะเป็นเพียงภาคแรก เพราะทาง Wongnai คงจะขอเชิญพี่โจ้มาแบ่งปันประสบการณ์อีกครั้งในอนาคตอันใกล้

ขอบคุณพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ มากๆ ครับ

—–

ป.ล. ขอบคุณเมศร์ พรหมเมศร์ ศิริสุขวัฒนานนท์ – Editor in Chief ของ BrandInside.asia ที่เชิญพี่โจ้มา WeShare ครับ ดูวีดีโอที่เมศร์สัมภาษณ์พี่โจ้ได้ในตอน มืออาชีพต้องคิดถึงจุดจบ

ใครอยากอ่านความคิดของพี่โจ้อีก ลองตามเพจของพี่โจ้ที่ชื่อ เขียนไว้ให้เธอ ครับ

ปัญญาภิญโญ ณ Wongnai WeShare

20190830_pinyo

ทุกๆ สองศุกร์ ทาง Wongnai จะเชิญคนเจ๋งๆ จากหลากหลายวงการมาร่วมพูดคุยเพื่อเปิดมุมมองให้กับพนักงาน

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทได้รับเกียรติจากคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks และผู้เขียนหนังสือ Future ปัญญาอนาคต, Past ปัญญาอดีต, One Millon ปัญญาหนึ่งถึงร้อยหมื่น จวบจนเล่มล่าสุดคือ Present ปัญญาจักรวาล

เป็นอีกหนึ่ง WeShare ที่ผมชอบมากที่สุด แฟนผมที่ได้ฟังบอกว่าเหมือนดื่ม espresso ร้อนๆ เพิ่ม extra shot

จะเข้มข้นแค่ไหน เชิญเสพได้ ณ บัดนี้ครับ

พี่ภิญโญเคยเป็นสื่อมาก่อน Wongnai  ก็เป็นสื่อเช่นกัน จึงอยากถามว่าสื่อในปัจจุบันหลงลืมหลักการอะไรไป หรือควรกลับมาเน้นย้ำเรื่องอะไรเพื่อทำหน้าที่สื่ออย่างที่ควรจะเป็น

คำถามนี้มันเป็นคำถามที่ตอบยาก คือตอนเราทำสื่อ เราก็คิดว่าเรามีบทบาท คิดว่าเรามีอิทธิพล โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ลงเดี๋ยวนี้ผลตอบรับกลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สุดแท้แต่ โดยเฉพาะสื่อที่มันมีสีสันหน่อย หรือว่ามันกระทบหรือมันวิพากษ์สังคมแรงๆ แล้วมัน viral หรือว่ามันแชร์กันไปเยอะๆ หัวใจเราก็จะพองโต เราก็คิดว่าเราเป็นคนสำคัญ คิดว่าเรามีบทบาท เราเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคมได้ แล้วเราคิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันจะจีรัง หรือคิดว่ามันจะนิรันดร์ มันจะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เราก็จะมีความหลงตัวเองเล็กน้อยในความเป็นสื่อว่าเราเริ่มมีอำนาจเล็กๆ มีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง ตั้งแต่เศรษฐกิจ การเมืองสังคม จนกระทั่งไปถึงร้านอาหาร ซึ่งเราจะคิดว่าเรายิ่งใหญ่มาก

แล้วสื่อมวลชนส่วนใหญ่ก็จะเริ่มหลงตัวเองว่าเรามีความสำคัญมาก โดยลืมไปว่าเราเป็นแค่สื่อของมวลชน 

ผมทำนิตยสารมาก่อน ยุคนี้ไม่มีใครรู้จักนิตยสารแล้ว ตอนรุ่นผม การทำนิตยสารเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้ประกอบการรายเล็กๆ สมัยก่อนมันยากมากที่ผู้ประกอบการเล็กๆ จะไปประกอบการธุรกิจอย่างอื่นได้ หนังสือพิมพ์แทบจะไม่มีทางเลย ธุรกิจขนาดใหญ่ที่เป็นสื่อมวลชนมันเกิดขึ้นเป็นร้อยปีมาแล้ว แล้วมันก็ต่อเนื่องมายาวนาน เขาครองตำแหน่งของเขาเรียบร้อย ยากมากที่คนตัวเล็กๆ จะกระโดดเข้าไปแทรกในธุรกิจเหล่านี้ได้ สมัยผมนี่ทำแค่นิตยสารได้ก็หืดขึ้นคอแล้ว มีไม่กี่รายหรอกที่เริ่มต้นมาทำนิตยสารแล้วอยู่รอดในธุรกิจสื่อจนถึงทุกวันนี้ได้

ครั้งหนึ่งผมทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซักประมาณปี 2535-2536 มันเพิ่งเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง พฤษภาคม 2535 มีอยู่วันหนึ่ง เหมือนอย่าง Wongnai WeShare วันนี้ครับ แต่มันเป็นห้องประชุม คนอาจจะไม่เยอะเท่านี้ มีคนนั่งอยู่สักประมาณ 10 ถึง 15 คน แล้วหนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เป็นเจ้าภาพเชิญนักธุรกิจ 1 คนมาพูด ไม่ได้มียิงขึ้นจออย่างนี้ครับ เป็นไวท์บอร์ดธรรมดา คนที่เป็นโฮสต์ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจที่มาพูดวันนั้นชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

นึกออกไหมครับ คนนึงคือ สนธิ ลิ้มทองกุล กำลังเอาผู้จัดการเข้าตลาดหลักทรัพย์ กำลังมีสตางค์ กำลังเป็นเศรษฐีใหม่ คุณสนธิก็น่ารักมาก ก็เหมือน Wongnai นี่แหละ อยากให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ที่มีประสบการณ์มาแชร์ข้อมูลให้ฟัง ว่าธุรกิจในอนาคตมันจะเดินอย่างไร ที่เขาเชิญมาคือเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเศรษฐีใหม่ เศรษฐีใหม่คบกันเองนะครับ ส่วนยาจกรุ่นใหม่ก็จะคบกันเองเหมือนกัน

เศรษฐีสื่อก็เชิญเศรษฐีโทรคมนาคม ตอนนั้นคุณทักษิณเพิ่งเริ่มทำธุรกิจคมนาคม ยังไม่ได้รวยขนาดนั้น ยังไม่ได้เข้าไปเล่นการเมือง ยังไม่เป็นทักษิณเช่นทุกวันนี้ คุณทักษิณก็ใส่เสื้อคลุมผูกเนคไทมา แล้วก็ถอดสูทออก ระหว่างนั้นคุณสนธิก็แนะนำ คุณทักษิณก็เริ่มเดินเข้ามาที่ไวท์บอร์ดแล้วแกก็วาดแผนผังของโทรคมนาคมในยุคนั้นว่ากำลังจะขับเคลื่อนไปอย่างไร เราก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นี่คือเหตุการณ์เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว ซึ่งโทรคมนาคม สื่อสารมวลชน หรือว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดมันยังไม่ได้เปลี่ยนรุนแรงขนาดนี้ 

วันนั้นเป็นเพื่อนรักกัน ประวัติศาสตร์ต่อจากนั้นผมไม่เล่าต่อ ท่านเข้าใจกันดีว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นไหมครับ ประวัติศาสตร์ในเวลาสิบกว่าปีมันพลิกไปอีกหนึ่งครั้ง คนหนึ่งอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า คนนึงอยู่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมไม่มีพระจันทร์ เมื่อมีพระจันทร์ขึ้นย่อมไม่มีพระอาทิตย์ 

วันนั้นสื่อมวลชนมีอิทธิพลมาก หนังสือพิมพ์ใหญ่ๆ เขาเชิญนักการเมืองไปหาครับ มื้อเย็นก็นั่งกินกันบนโต๊ะ การเมืองก็เล่าสู่กันฟัง เรื่องสำคัญๆ เขาก็จะรู้ก่อน เมื่อรู้ก่อนก็ตีพิมพ์ก่อน นิตยสารก็จะมีคนเข้าหาเยอะ โฆษณาหน้านึงนี่ 50,000 ถึง 60,000 บาท สมัยยุคเฟื่องฟูนิตยสารเดือนหนึ่งออก 2 ฉบับหนาขนาดนี้เลยนะ (ทำมือโชว์ความหนาประมาณเกือบ 1 นิ้ว) สร้างความร่ำรวยจากการทำนิตยสารได้ แล้วเราก็คิดว่านิตยสารหรือว่าสื่อทั้งหลายจะเป็นนิรันดร์หรือว่ายั่งยืน

แต่ในเวลาสั้นๆ หลังจากที่ Steve Jobs คิด iPhone ได้ วันนั้นโลกถูก disrupt อย่างรวดเร็ว นิตยสารแทบจะหายไปจากแผงทั้งหมด เมื่อนิตยสารหายไป เมื่อสื่อมันหายไป ไอ้ที่มั่นใจในตัวเอง ความหลงตัวเองว่าเราคือผู้มีอิทธิพล ว่าเราคือผู้มีอำนาจ อิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชเยอะ ที่จะไปสั่งคนนั้นคนนี้ให้เปลี่ยนแปลงสังคมหรือว่าเปลี่ยนแปลงความคิดคนอื่นๆได้ เมื่อธุรกิจหลักที่จ่ายเงินให้เรามันหายไป แม้แต่ตัวเราก็เอาชีวิตแทบจะไม่รอดในทางเศรษฐกิจ

ฉะนั้นอย่าประมาท อย่าคิดว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้องแล้วพรุ่งนี้มันจะถูก 

กลับมาตอบคำถาม อะไรที่สื่อมวลชนยุคนี้หลงลืมกันไป ผมตอบอย่างกระชับก็คือ การทำออนไลน์มันทำให้เราคิดสั้น มันไม่ได้ทำให้เราคิดยาว มันทำให้เราคิดเร็ว ไม่ได้ทำให้เราคิดช้า มันทำให้เราคิดตื้น มันไม่ได้ทำให้เราคิดลึก มันทำให้เราคิดภาพเล็ก ไม่ได้ทำให้เราคิดภาพใหญ่

เพราะฉะนั้นธรรมชาติมันก็ทำให้เราอยู่เพียงจุดเดียว แต่เรามองไม่เห็นผลกระทบที่ผ่านไปในระยะเวลายาว เราทำวันนี้เราไม่รู้อีก 20 ปีข้างหน้ามันจะยังอยู่ไหม เราทำเรื่องตื้นๆ แต่เราไม่เห็นส่วนที่ลึกของมัน เราทำภาพเล็ก เราไม่ได้ทำภาพใหญ่ เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนหรือว่าคนที่ทำสื่อ คนที่ทำออนไลน์ คนที่เป็น storyteller จำเป็นต้องจับหัวใจอันนี้ให้ได้ ทำยังไงสิ่งที่เราทำมันถึงจะอยู่ได้ยาวขึ้นกว่าปกติในเวลาแค่เสี้ยววินาทีการโพสต์ Facebook การลง Instagram หรือว่าการทวีต 

เราสนุกนะเวลาโต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว แต่มันจะหายไปเร็วมาก คำถามคือแล้วตัวเราจะอยู่ที่ไหนในกระแสประวัติศาสตร์ ในเมื่อสิ่งที่เราทำมันหายไป แล้วมันไม่สามารถเก็บบันทึกไว้ได้เลย วิชาชีพเราจะอยู่ที่ไหน ตัวตนเราซึ่งเราหวงนักหวงหนา เราสร้างศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ขึ้นมาจาก 1 โพสต์ของเราที่โด่งดังขึ้นมา 1 รูปเราที่โด่งดังขึ้นมา 1 ทวีตที่มีคนทวีตต่อเนื่องไป 1 ข้อโต้แย้งในสังคมที่เราสนุกมากกับการเป็นดราม่าในวันนี้แต่ในเวลา 1 อาทิตย์ทุกเรื่องจะหายไปหมด คุณอยู่ที่ไหนในความสูญหายอย่างรวดเร็วของสื่อสารมวลชนยุคปัจจุบัน ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของการทำสื่อคืออะไร

ผมยกตัวอย่างโบราณมากเพื่อเล่าให้ฟังว่าวันนี้ทุกคนหาย ทุกคนมีอิทธิฤทธิ์ขนาดไหน มีอิทธิเดชขนาดไหน มีธุรกิจใหญ่ขนาดไหนมันถูก disrupt หายไปอย่างรวดเร็ว และถ้าใหญ่ขนาดนั้นวันนี้ยังหาย แล้วปัจเจกชนเล็กๆ อย่างพวกเราจะมีที่ยืนในกระแสคลื่นรุนแรงระดับสึนามิได้อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจว่าจะอยู่อย่างไร งานที่เราสร้างจะมีความหมายกับสังคมอย่างไร งานที่เราสร้างจะมีความหมายต่ออาชีพตัวเราเองอย่างไร

ในวันที่เราไม่อยู่ในองค์กรหรือว่าองค์กรจะไม่อยู่ อายุของเราต้องยืนกว่าอายุขององค์กร เพราะธุรกิจมันเจ๊งได้แต่ชีวิตมนุษย์หนึ่งคนที่เกิดขึ้นมามันเจ๊งไม่ได้ คุณลาออกได้ บริษัทคุณเจ๊งไปแล้วคุณย้ายบริษัทได้ แต่คุณลาออกจากความเป็นตัวเองไม่ได้ คุณลาออกจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคุณไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนต้องคิดถึงตัวเองและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่นและตัวเอง เมื่อคิด คิดให้ลึก เมื่อมอง มองให้ไกล เมื่อไป ไปให้กว้าง เราอ่านเกมให้ออก อ่านสังคมให้ออก แล้วหาวิธีที่จะยืนระยะให้นานที่สุด ไม่ใช่ระยะในระดับเสี้ยววินาทีแบบที่มันเป็นอยู่ ถ้าหาจุดนี้ได้ สื่อมวลชนหรือคนรุ่นใหม่จะเริ่มปรับสมดุลว่าจะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร 

อยากให้พี่ภิญโญยกตัวอย่างสื่อที่ดี ที่เป็นสื่อที่มองลึก มองกว้าง มองไกลในยุคนี้

ถ้าพวกคุณยังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บ้าง หนังสือพิมพ์ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของโลก แล้วยังทำกำไร แล้วก็มีคุณภาพที่ดีมาก ผมอ่านเป็นประจำทุกสุดสัปดาห์คือ Financial Times ฉบับ Weekend ปกติจะมี 2-3 เซ็คชั่น เซ็คชั่นแรกก็คือข่าวการเมืองทั่วไปและก็เป็นเรื่องความคิดเห็น  เซ็คชั่นที่ 2 เป็นเรื่องศิลปะ รีวิวร้านอาหาร รีวิวไวน์ มี Lunch with FT ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่ดีมาก

ใน Lunch with FT ทุกสัปดาห์เขาจะให้นักข่าวหรือบรรณาธิการเชิญใครก็ได้ในโลกนี้มารับประทานอาหารกับ Financial Times ให้แขกเลือกร้านอาหารเอง โดยกติกาคือนักข่าว Financial Times จะเป็นคนจ่าย คุณเลือกร้านอาหารที่คุณอยากกิน เลือกเมนูที่คุณอยากกิน เลือกสถานที่ที่คุณอยากกิน ผมจะนั่งกินข้าวกับคุณแล้วผมก็จะลงบทสัมภาษณ์นี้ใน Financial Times

ทีนี้เวลาคนมากินข้าวกัน มันไม่ได้มีแค่ว่าผมถามมาคุณตอบไป คุณถามมาผมตอบไป เขาจะเล่าให้ฟังว่า วันนี้ผมแต่งตัวยังไง ใส่เสื้อสีอะไร รองเท้าแบบไหน เดินเข้ามาปรากฏกายในรูปลักษณ์ยังไง อาหารที่สั่งเขาจะเอาเมนูลงให้ดูว่าคุณสั่งอะไร starter คุณคืออะไร main course คุณคืออะไร ของหวานคุณกินไหม ถ้าคุณกินคุณกินอะไร กินกาแฟต่อไหม สั่งไวน์ด้วยก็ได้ ไวน์คุณสั่งอะไร แล้วนักข่าว Financial Times สั่งอะไร แล้วเอาบิลมาลงให้ดูว่ามื้อนี้ Financial Times จ่ายเงินให้แหล่งข่าวที่กินข้าวด้วยกันไปเท่าไหร่

มันจะมีตั้งแต่คนที่ไปกินร้านอาหารหรูมาก รวมเงินมาแล้วหลายร้อยปอนด์ จนกระทั่งโปรเฟสเซอร์ที่สมถะมาก ชวนไปกินกาแฟแก้วเดียวในโรงอาหาร รวมเงินมาประมาณ 10 ปอนด์ 400 บาทแค่นั้นเอง มันจะเห็นความหลากหลายของการเลือกอาหาร ของการเลือกสถานที่ แล้วเขาจะบอกว่าทำไมเลือกร้านนี้ มันผูกพันกันอย่างไร แล้วมันเต็มไปด้วยบทสนทนา ซึ่งเขาไม่ได้ลงถาม-ตอบแต่เขาจะสรุปความสั้นๆ เพราะฉะนั้น แนะนำตัวละครเสร็จ แล้วถามเรื่องสำคัญๆ แล้วพอสรุปความเสร็จมันจะเห็นแก่นของประเด็น

เขาสัมภาษณ์แองเจล่า แมร์เคิลตั้งแต่ตอนกำลังจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำของเยอรมันตั้งแต่ตอนเป็นสาวๆ เมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว สัมภาษณ์ Dolce & Gabbana สัมภาษณ์นักเขียนที่ได้รางวัลโนเบล นักการเมืองตั้งแต่รุ่น FW de Klerk ซึ่งทำข้อตกลงระหว่างคนขาวคนดำสมัยเนลสัน แมนเดลา เรารู้จักเนลสัน แมนเดลา แต่ถ้าคนขาวอย่าง de Klerk ไม่ตกลงด้วย สันติภาพในแอฟริกาใต้ก็ไม่เกิด

มันได้ประสบการณ์เหล่านี้ ซึ่งหนังสือพิมพ์ Financial Times ผมซื้อตั้งแต่ราคา 150 บาท อ่านแค่คอลัมน์เดียวก็คุ้มแล้ว นี่คือตัวอย่างของสื่อที่ดี เป็นสื่อเก่าแล้วยังอยู่ได้ แต่เดิมเป็นของอังกฤษ แล้วช่วงตกต่ำก็ขายให้นิคเคอิของญี่ปุ่น นิคเคอิก็ไปรันต่อได้ มีกำไร

คุณใช้ 150 บาท เท่ากับกาแฟสตาร์บัคส์ 1 แก้ว คุณได้อ่านหนังสือดี ซึ่งบางคอลัมน์อร่อยกว่ากาแฟ นี่ผมยกตัวอย่างแค่คอลัมน์เดียวนะ ยังไม่พูดถึงคอลัมน์อื่นๆ มันมีความเห็นที่ลุ่มลึกของคนดังระดับเวิลด์คลาส การที่ได้อ่านบทความเหล่านี้หรือบทสนทนาเหล่านี้ทุกอาทิตย์เหมือนเราไปนั่งกินข้าวกับเขาทุกสัปดาห์ ปีหนึ่งเราได้กินข้าวกับคน 52 คนที่ไม่ซ้ำกันโดยมี FT  เป็นคนจ่ายให้ 

ฉะนั้นสื่อที่มีคุณภาพลุ่มลึก มองไกลไปข้างหน้ามันมีมั้ย – มี รอดมั้ย – รอด ลึกมั้ย – ลึก ไกลมั้ย –  ไกล มีผลกระทบในวงกว้างมั้ย – มี ขายได้ราคามั้ย – ขายได้

เพราะฉะนั้น สื่อที่ดีมันมีอยู่มาก เพียงแต่ว่ามันจะผ่านการพิสูจน์ด้วยกาลเวลา เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาของจริงเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ของที่คิดการใหม่และไปต่อเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ ของที่ average ทั้งหมดจะล้มหายตายจากไปในช่วงที่วิกฤต ฉะนั้นในฐานะคนทำงาน ถ้าพวกเราเป็นแค่ average ในยุคต่อไป เสี่ยงมากที่เราจะจบชีวิตลงอย่างง่ายๆ แต่ถ้าเราอยู่เหนือค่าเฉลี่ยขึ้นมาอย่างโดดเด่นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราจะรอดได้ในยุค disruption 

พี่พูดถึงเรื่อง disruption พี่คิดว่าอะไรจะมา disrupt Wongnai ได้บ้าง?

ผมรู้เรื่องธุรกิจสมัยใหม่น้อย รู้เรื่อง Wongnai น้อย เมื่อกี้ได้คุยกับผู้บริหาร Wongnai ว่าทำอะไรบ้าง พอฟังแล้วก็ชื่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ไอ้หยา ทุกธุรกิจ disrupt  Wongnai ได้หมดเลย คุณแข่งกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกในทุกแพลตฟอร์มที่พร้อมที่จะเข้ามา disrupt Wongnai ได้ตลอดเวลา ซึ่ง Wongnai รู้คำตอบนี้ดีกว่าผม แล้วเมื่อคุณต่อสู้กับรายใหญ่ซึ่งพร้อมจะทำธุรกิจขาดทุนได้เป็น 10 ปี มีเงินมากมายมหาศาลดังกับเสกฝนหล่นมาจากฟ้าใช้ได้อย่างไม่หยุด เวลาสู้ สู้อย่างกับสายน้ำบ่าที่ไหลหลากกวาดธุรกิจเล็กๆ ให้หายราพณาสูร

นี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของการทำธุรกิจ การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วแล้วรักษาไว้เป็นเรื่องยาก ยิ่งท่ามกลางศัตรูรอบด้านเป็นอะไรที่นอนไม่หลับ ตราบใดที่ยังสถาปนาความสำเร็จยังไม่ได้คุณก็นอนไม่หลับ หรือถ้าคุณสถาปนาความสำเร็จได้ คู่แข่งจะมาเยี่ยมเยือนคุณอย่างรวดเร็ว เพราะว่าคุณทำสำเร็จไงครับ ถ้าคุณทำแล้วล้มเหลว จะไม่มีคู่แข่งไหนมาเยี่ยมเยียนคุณเลย เขาจะปล่อยให้คุณตายอย่างสันติ แต่ตราบใดที่ธุรกิจคุณเริ่มประกาศตัวเองออกไปว่าคุณประสบความสำเร็จ 1 2 3 4 5 คู่แข่งก็จะมาตามหลัง 5 4 3 2 1 

เพราะฉะนั้น คำถามว่าอะไรคือสิ่งที่ disrupt ได้ ผมว่าผู้บริหาร Wongnai รู้อยู่แก่ใจ ผู้ถือหุ้นรู้อยู่แก่ใจ เราถูก disrupt ได้จาก  5 4 3 2 1 ในทุกๆ มิติ คำถามคือเราจะอยู่อย่างไรในยุคนี้ต่างหาก เราอาจจะใหญ่ในประเทศของเรา เราอาจจะใหญ่ในธุรกิจของเรา แต่เมื่อเราลงไปในน่านน้ำสากล ประเทศเราเหลือเล็กนิดเดียว ธุรกิจเราก็เหลือเล็กนิดเดียว วันนี้การแข่งขันมันไม่ได้สิ้นสุดที่พรมแดนไทยพม่า ไม่ได้สิ้นสุดที่พรมแดนไทยเขมร พรมแดนไทยมาเลเซีย หรือว่าพรมแดนไทยลาว พรมแดนไม่เหลือ ในเมื่อพรมแดนมันไม่เหลือ คู่แข่งมันเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็น startup สักหนึ่งบริษัทในอิสราเอลซึ่งอยู่ใกล้กาซาก็ได้ เมื่อไหร่เลิกรบกันก็อาจจะเริ่มธุรกิจใหม่แล้ว disrupt ธุรกิจเราเลยก็ได้ อาจจะเป็นบริษัทอยู่ที่เสินเจิ้น อาจจะเป็นบริษัทที่อยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ก็ได้

คำถามคือแล้วเราจะนอนตาหลับได้อย่างไรในวันที่เรายังไม่สามารถสถาปนาความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนในธุรกิจของเรา

การ disruption มันเกิดเพราะว่าเราคาดไม่ถึงต่างหาก ถ้าคาดถึงมันก็ไม่ disrupt เพราะคาดไม่ถึงมันจึง disrupt เมื่อคาดไม่ถึงแล้วเราจะคาดถึงได้อย่างไร

เช่นเดียวกับชีวิตของพวกเรา สิ่งที่เราคาดถึงเราไม่กลัวหรอกครับ เราก็คิดว่าเราทำงานในบริษัทที่มั่นคง เราซื้อบ้าน ผ่อนรถ รถสวยหน่อย บ้านดีหน่อย ซื้อคอนโดดีหน่อย เราคิดว่าการงานเรามั่นคง วันหนึ่งเราตกงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง เพราะเราคือผู้ที่มีความสามารถ โลกต้องการเราเป็นอย่างยิ่ง โลกขาดเราไม่ได้ แต่วันหนึ่งโลกขาดเราได้ ยังไม่พูดถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย การสูญเสียคนรัก

เราคิดว่าชีวิตมันเสถียร ชีวิตเป็นนิจจัง แต่โดยแท้ชีวิตและธุรกิจเป็นอนิจจัง ที่ผมพูดเสมอว่าในอัตราเร่งความเร็วแสง ฉะนั้นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่ต้องเตรียมตัวก็คือเตรียมพร้อมที่จะทำใจว่าเราถูก disrupt ได้ตลอดเวลา เราจะวางใจอย่างไรที่จะให้ใจเราสงบได้กับการศึกสงครามรอบด้าน ซึ่งในยุคนี้เหมือนเราทำสงครามระดับวินาที ที่คนที่มีชื่อเสียงถูกทำลายได้ในระดับวินาที เราถูกน็อคได้ตลอดเวลา เราถูก disrupt ได้ตลอดเวลา มีชื่อเสียงวันนี้พรุ่งนี้อาจจะเสียชื่อเสียง เสียชื่อเสียงวันนี้มะรืนอาจจะกลับมามีชื่อเสียงใหม่ เราจะประคองสภาวะจิตใจ สภาวะอารมณ์และจิตวิญญาณของเราผ่านความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่มันรุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร นี่คือคำถาม แต่เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะ disrupt เราระวังป้องกันได้เต็มที่ แต่มันจะมาในจุดที่เราไม่ได้ระวัง 

ซึ่งแปลว่าการคิดมากจนนอนไม่หลับก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันคิดไม่ถึงอยู่แล้ว

ฉะนั้นต้องนอนให้หลับ เพราะว่ายังไงคุณต้องมีเรื่องที่ต้องกังวลอยู่แล้ว ถ้าลองอ่าน Present ปัญญาจักรวาล ที่ผมสนทนากับท่านประธาน ธนินท์ เจียรวนนท์ ผมถามว่าหัวใจสำคัญของการจะมีความสุขในชีวิตของการทำธุรกิจซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถูก disrupt ได้ทุก sector ได้ตลอดเวลา หนักกว่า Wongnai เยอะ หัวใจสำคัญของความสุขในการมีชีวิตคืออะไร

ท่านประธานตอบว่าคุณต้องนอนให้หลับให้ได้ทุกคืน เมื่อไหร่นอนไม่หลับสุขภาพพังก่อน เมื่อสุขภาพพังคุณจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำการค้า ไปทำธุรกิจ ฉะนั้นหัวใจสำคัญนอนให้หลับให้ได้ แต่สิ่งที่ยากคือทำยังไง 

คุณธนินท์เคยบอกว่าพี่ภิญโญมีวิชาตัวเบา อยากจะให้ช่วยถ่ายทอดวิชาตัวเบาให้กับเด็กๆ แบบลัดสั้น

คือโลกนี้มันหนักอยู่แล้ว แล้วการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยภาระและความทะเยอทะยานมันก็ทำให้เราต้องแบกโลก สั้นที่สุดของวิชาตัวเบาคือทำยังไงให้เราไม่แบกโลกและเดินอยู่บนโลกได้อย่างเบาตัวและเบาใจ

นั่นหมายความว่าคุณต้องจัดการความทะเยอทะยานของตนได้ดีพอสมควร คุณต้องจัดการความปรารถนาพื้นฐานของตนได้ดีพอสมควร คุณต้องรู้ว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณรู้ว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน คุณควรจะใช้ชีวิตตรงไปสู่ความสุขนั้น ไม่ใช่ไปใช้ชีวิตเปรียบเทียบกับผู้อื่น

เมื่อเห็นว่าเขามีรถที่สวยกว่าคุณ ราคาแพงกว่าคุณ ถ้าคุณไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น คุณก็จะซื้อรถที่สวยกว่าเขาแพงกว่าเขา ถ้าเขามีรถ 4 ล้อคุณจะซื้อรถ 6 ล้อ เขาเอารุ่นนี้คุณจะเอารุ่นนั้น ถ้าเขาบิน first class คุณอาจจะต้องซื้อ private jet ถ้าเขามี private jet คุณต้องเรือยอร์ช 2 ลำ และถ้าเขามีเรือยอร์ช 2 ลำคุณก็ต้องมีเรือรบ 1 ลำ ถ้าเขามีเรือรบอยู่คุณอาจจะต้องไปซื้อเรือดำน้ำ ถ้าเขามีนาฬิกาปลุกคุณก็ต้องมีนาฬิกาข้อมือ แล้วถ้าคุณยังมีไม่พอคุณก็ต้องไปขอยืมเพื่อน 

Ambition ที่ไปไม่สุดของคุณมันจะทำร้ายคุณไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าคุณจะหยุดที่ตรงไหน หัวใจสำคัญของชีวิตคือเรื่องเวลา ไม่ใช่เรื่องนาฬิกา ถ้าคุณเข้าใจว่าการมีนาฬิกามากทำให้คุณมีความสุข นาฬิกาจะเล่นงานคุณ ถ้าคุณไม่มีนาฬิกาแม้แต่หนึ่งเรือน แต่คุณมีเวลาคุณจะนอนหลับ ไม่มีใครตามว่าคุณไปยืมนาฬิกาใครมา

วิชาตัวเบาก็คือวิชาที่จะไม่แบกความคาดหวังที่มีต่อตัวเอง และไม่แบกความคาดหวังของโลกที่มีต่อตัวเรา วิชาที่จะจัดการความทะเยอทะยานของเราให้อยู่ในพื้นที่สมดุลกับสิ่งที่มนุษย์ควรมีและพึงจะเป็น

การรวยที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขที่สุด

การมีอำนาจมากที่สุดไม่ได้หมายความว่าคนจะรักมากที่สุด

การฉลาดมากที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด

การมีคนรู้จักมากที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะมีเพื่อนรู้ใจมากที่สุด

การใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมไม่ได้หมายความว่าจะนำมาซึ่งสุขภาพร่างกายที่ดี

การกินอาหารร้านหรูไม่ได้หมายความว่ากลับบ้านแล้วจะไม่ท้องเสีย

ฉะนั้นต้องแยกให้ออกระหว่างปัจจัยภายนอกกับความสำคัญที่อยู่ภายในจิตใจ ถ้าแยกออกก็จะเบา ถ้าแยกไม่ออกก็จะแบกหนัก

การมีธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสง่างามและมีความสุขกว่าการทำธุรกิจขนาดเล็กที่พอดีตัว ไม่มีใครสามารถกินซูชิครั้งละ 100 คำ ไม่ว่าคุณจะรวยแค่ไหน ซูชิที่อร่อยประมาณ 9 คำ ก็อร่อยมากแล้ว เศรษฐีที่รวยที่สุดไม่สามารถกินซูชิได้ครั้งละ 100 คำแน่นอน คุณจะกินครั้งละกี่คำให้อร่อยนั่นคือหัวใจต่างหาก ไม่มีเชฟคนไหนปั้นซูชิให้คุณกิน 100 คำแน่นอน – นอกจากเชฟสายพาน  

ซึ่งมันก็ยากมากที่จะบอกว่าให้จัดการความทะเยอทะยานเมื่อคุณอยู่ใน startup ที่ต้องการเติบโต 50% หรือ 100% ทุกปี มีเป้าหมาย OKR ที่ต้องบรรลุ จะจัดการความขัดแย้งในใจยังไงว่างานก็ต้องทำให้ดี แต่ว่าไม่ต้องไปแบกรับความกดดันนี้

เวลาเราพูดเรื่องขยายตัวทางธุรกิจ เราจำเป็นต้องเติบโต 50% หรือว่า 100% ในแต่ละปี เราต้องทำรายได้ขึ้นขนาดนี้เพื่อให้บริษัทเราเติบโต เราพูดเรื่องตัวเลขทั้งหมด เราถูกสอนเรื่องตัวเลขและวัดการเติบโตด้วยตัวเลขทั้งหมด แล้วไม่มีใครสามารถปฏิเสธการดำรงอยู่ของตัวเลขในโลกนี้ได้ เราเรียนคณิตศาสตร์เพื่อคิดเรื่องการเติบโตทางจำนวนเท่านั้น

มันน้อยมากที่บริษัทจะถามว่า เฮ้ย…ความสุขเราอยู่ที่ไหน เราจะสามารถพัฒนาไปเป็นบริษัทที่มันมีกำไร ดำเนินธุรกิจอยู่ได้ แล้วทุกคนมีความสุขสูงสุดด้วยได้ไหม ความสุขมันไม่ได้วัดเป็นตัวเลข แต่เมื่อเราไม่ได้ถูกเทรนให้คิดเชิงคุณภาพ เราจึงคิดในเชิงปริมาณอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นปัจจัยเดียวที่จับต้องได้

สมมุติถ้าเราทำธุรกิจหนึ่งธุรกิจ เราสามารถเติบโตได้ 100% ทันทีโดยที่คุณทุกคนไม่ต้องกลับบ้าน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องเดินทาง ทำงานวันละ 24 ชั่วโมง ผมจ่ายเงินเดือนให้ 3 เท่าเลยก็ได้ แต่ห้ามนอนนะ ห้ามออกไปกินข้าว ห้ามไปดูหนัง ห้ามฟังเพลง เอาเวลา 8 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง บวกเข้าด้วยกันเป็น 24 ชั่วโมง ผลผลิตคุณจะเพิ่ม 3 เท่าในทางคณิตศาสตร์ แต่คำถามคือมันจริงเหรอวะ คุณไม่นอนได้เหรอ คุณไม่ไปสันทนาการกับเพื่อนได้เหรอ คุณได้เงินมาแล้วคุณไม่เดินทางหาประสบการณ์ชีวิตเลยเหรอ คุณจะทำให้เติบโต 3 เท่า 300% ก็ได้แต่จะมีใครเอาไหม ถ้าคุณมีชีวิตคู่ คุณจะอยู่กับงาน 100% ก็ได้ คุณไม่ใช้เวลาอยู่กับคู่ชีวิตคุณเลยก็ได้ คำถามคือมีใครเอาคุณไหม แล้วเมื่อคุณมีลูกคุณจะใช้เวลาอยู่กับบริษัททั้งหมดเลยก็ได้อาทิตย์ละ 7 วัน ทำงานให้เต็มที่ปีหนึ่ง 365 วัน ถามจริงๆ ลูกคุณจะโตขึ้นมาอย่างไร แล้วคุณมีลูกไปทำไม

คำถามที่ต้องย้อนกลับมาถามในทางปรัชญาธุรกิจ คุณโตแค่ไหน คุณโตไปอย่างไร คุณโตไปเพื่อใคร และคุณโตไปทำไม ไม่งั้นคณิตศาสตร์จะหลอกคุณ แล้วถ้าคุณถูกหลอกคุณจะใหญ่ แต่คุณอาจจะไม่ได้เป็นที่รัก คุณอาจจะไม่ได้มีความสุข พนักงานอาจจะไม่ได้มีความสุขและอยู่ในจุดที่สมดุลที่สุดในชีวิต

ผมไม่ได้ห้ามคุณเติบโต มันต้องเติบโตทางธุรกิจ แต่คุณโตแค่ไหนที่จะเหมาะสมกับความสุขในชีวิตของผู้ที่ทำงานอยู่ในองค์กร ถ้าคุณโตมากไป รีดนาทาเร้นทุกอย่างจากการทำงาน คุณโตอย่างไม่มีความสุขคุณก็นอนไม่หลับ คุณนอนไม่หลับสุขภาพคุณก็เสื่อมทรุด ปีสุดท้ายของชีวิตเมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้น มีสตางค์มากขึ้นแล้ว เงินจะมีความหมายน้อยลง เมื่อคุณแก่ขึ้นเรื่อยๆ เงินจะมีความหมายน้อยกว่าเวลาและสุขภาพพี่ดี

ถ้าบริษัทมุ่งหาเงินอย่างเดียว บริษัทจะใหญ่มาก มีเงินกองไว้เต็มไปหมด แต่บริษัทอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ที่สำคัญของมนุษย์ บริษัทที่ดีคือการรวมตัวกันของความฝันและคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ ถ้าบริษัทสามารถตอบสนองความฝันที่ดีของพนักงานและผู้ถือหุ้นที่มารวมตัวกันได้ นั่นก็เป็นบริษัทที่ดี

แต่ถ้าบริษัทตอบแต่ผู้ถือหุ้นที่ต้องการเติบโตทางตัวเลขทางเศรษฐกิจได้อย่างเดียว นั่นก็เป็นบริษัททางคณิตศาสตร์ ซึ่งโลกมีมากเกินไปแล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของโลก คือบริษัทที่มีเงินกองอยู่ล้นโลกเต็มไปหมดแต่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร แล้วคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ในสายการผลิตทั้งหมดไม่ได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าการเจียดเงินจำนวนหนึ่งไปทำให้คุณภาพชีวิตที่เขาอยู่ในสายงานทั้งหมดมันดีขึ้นได้แต่บริษัทก็ไม่ทำ ซึ่งมันกำลังจะนำไปสู่ความขัดแย้งระดับโลก ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ชัดในฮ่องกง เห็นได้ชัดในหลายๆ ประเทศที่ทุนนิยมพัฒนาไปถึงขีดสุด ซึ่งมันเริ่มมาจากปรัชญาความคิดแบบบริษัท แต่เรามองข้ามเพราะเรามีความสุขในการทำมาหาเงินให้ได้มากที่สุด แล้วเรื่องอื่นค่อยจัดการกันทีหลัง

มันก็เหมือนชีวิตเรามองข้ามเรื่องความสัมพันธ์ มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ เวลา เราค่อยมาจัดการทีหลัง ในที่สุดมันจะค่อยๆ สูญเสียสาระสำคัญของชีวิตไปทีละเรื่อง จนพลาดไปถึงจุดที่เกินเลยก็ไม่อาจเรียกคืนมาได้ ดังมี Steve Jobs เป็นตัวอย่างที่ดี  

ที่บ้านผมบ้านผมทำร้านหนังสือ โตมาก็เห็นตลาดมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ร้านหนังสือก็ตายไปเรื่อยๆ คิดว่าต่อไปจะเป็นยังไง แล้วจะทำยังไงให้มันอยู่รอดครับ

ภิญโญ: ร้านหนังสืออยู่ที่ไหน รูปแบบเป็นยังไงครับ

พนักงาน: ร้านหนังสือผมอยู่ในระยองครับ ในตัวเมือง เจ้าใหญ่ๆ มันจะมีอยู่ประมาณ 3-4 เจ้า ซึ่งเดี๋ยวนี้ร้านมันก็ลดลงไปเรื่อยๆ

ภิญโญ:  น้ำที่ต้นน้ำไม่มีปลายน้ำย่อมไม่มี ปลายน้ำไม่มีต้นน้ำก็ย่อมเหือดแห้งไปด้วย มันเชื่อมกันอยู่ทั้งระบบ แล้วกำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจหนังสือ ซึ่งมันถูก disrupt มาเป็นสิบปี คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเดินออกจากธุรกิจ เพราะการที่จะ reinvent ตัวเองมันเป็นเรื่องยากมาก ถามว่ามีทางไหม-มี แต่ในที่สุดอาจจะต้องการคนรุ่นหลังเข้าไปผลักดัน เพราะคนรุ่นพ่อแม่เขาทำสำเร็จไว้แล้ว ภารกิจทางประวัติศาสตร์เขาจบลงแล้ว การที่จะให้คนอายุ 60-70 มา reinvent ลื้อมาพูดกับอั๊วเหรอ อั๊วควรจะไปสวดมนต์ได้แล้ว การ reinvent กับการสวดมนต์มันทำคู่กันลำบากนะครับ

กลับมาตอบคำถามว่าแล้วมันควรจะทำยังไง ที่ถามว่าอยู่ที่ไหนเพราะผมอยากรู้ว่าที่ตั้งมันคืออะไร ระยองมีความเป็นไปได้ไหมที่จะ reinvent ธุรกิจร้านหนังสือ มีความเป็นไปได้ เพราะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เต็มไปหมด คนคุณภาพที่มีการศึกษาเต็มไปหมด เราอยู่ระยองเราย่อมรู้ดีว่าตลาดมันใหญ่มาก รถในเมืองระยองโคตรติด แสดงว่ามันมีคนที่มีกำลังซื้อ มีคนที่มีการศึกษาสูงไปรวมอยู่ที่ระยองเยอะมาก แล้วถามว่าคนเหล่านี้ไม่อ่านหนังสือ ไม่ต้องการบริโภคสินค้าทางปัญญาเหรอ เป็นไปไม่ได้

ธุรกิจหนังสืออาจจะถูก disrupt ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะล้มหายตายจาก แล้วมันไม่ได้แปลว่าทุก sector มันไม่โต หรือว่าทุกสำนักพิมพ์ไม่โตนะครับ สำนักพิมพ์ที่โตมันโตจริงๆ โตอย่างน่าตกใจ ส่วนที่มันไม่โตมันก็ไม่โตจริงๆ ไม่โตอย่างน่าตกใจเหมือนกัน

ทีนี้ในประเทศหลักๆ ของโลก เอาใกล้ที่สุดคืออย่างญี่ปุ่นมันมีความพยายามที่จะ reinvent ธุรกิจร้านหนังสือขึ้นมา แล้วหลายที่มันทำสำเร็จ ร้านหนังสือมันไม่ใช่ร้านที่ส่งหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ร้านขายเครื่องเขียน หรือร้านขายนิตยสารแบบเดิม ฟังก์ชันแบบนั้นในโลกสมัยใหม่มันหมดไปแล้ว เพราะคนไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่อ่านนิตยสาร ไม่ใช้ฟังก์ชั่นเดิมในการทำหน้าที่เพื่อสร้างปัญญา ร้านหนังสือจะอยู่ได้ยังไงเมื่อคนไม่ต้องการบริการแบบนั้น

แต่ร้านหนังสือมันมีสถานที่อยู่แล้ว มันไม่ต้องลงทุนอสังหาริมทรัพย์ มันมีกำลังคน มันมีความพร้อมอยู่แล้ว เขาจะเปลี่ยนตัวเองอย่างไรต่างหาก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นมา

ถ้าไปโตเกียว ร้าน Tsutaya ตรง T-Site ย่านไดคังยามะ นั่นคือตัวอย่างที่ดี ร้านไม่ได้อยู่กลางเมือง คุณต้องนั่งรถออกไป เปิดถึงตี 2 ต้องนั่งรถแท็กซี่กลับเข้ามาเพราะรถไฟมันหมดรอบแล้ว คุณเดินไปในนั้นมีแผงแม็กกาซีนยาว 3 ตึกทะลุกัน คุณได้อ่านแมกกาซีนที่มาจากทั่วโลก แค่ไปเปิดดูก็มีความสุขแล้ว คุข้างบนชั้น 2 มีร้านอาหารเปิดเพลงแจ๊ส คุณไปกินกาแฟก็ได้ คุณไปกินราเมงก็ได้ นั่งคุยกับเพื่อนเสร็จแล้วคุณก็ออกมาเลือกนิตยสารแผงยาวสัก 50 เมตร คุณไปซื้อเครื่องเขียน ไปซื้อปากกา ใช้เวลาได้ถึงตีสองโดยคุณไม่ต้องกินเหล้า คนญี่ปุ่นขี้เหงาก็ไปอยู่ที่นั่น

ตามเมืองเล็กๆ มีความพยายามที่จะเอาร้านหนังสือไปบวกกับห้องสมุด นักเรียนเลิกเรียนจะไปไหน หัวใจวัยรุ่นวุ่นวาย เรียนจบแล้วห้าโมงเย็น หัวใจยังไม่หายวุ่นวาย จะเอาหัวใจวัยรุ่นไปไว้ที่ไหน จะเอาหัวใจของคนทำงานซึ่งเหนื่อยล้ามามากๆ ไปไว้ที่ไหน

เราไม่อยากเดินห้างทุกวันหรอก เราไม่อยากซื้อของตลอดเวลาหรอก จะเอาหัวใจที่วุ่นวายของคนในแต่ละจังหวัดไปไว้ที่ไหน ถ้าร้านหนังสือตอบโจทย์เหล่านี้ได้ ร้านหนังสือจะเกิดขึ้นมาใหม่

ถ้าผมอยู่ระยองผมเลิกงานมาเหนื่อยผมก็ยังไม่อยากเข้าบ้าน ผมไม่อยากขี่มอเตอร์ไซค์เลียบชายหาด มันต้องมีที่สักที่ให้ผมไป ซึ่งในนั้นอาจจะประกอบด้วยร้านหนังสือ ประกอบด้วยร้านกาแฟ ประกอบด้วยร้านอาหารเล็กๆ ประกอบด้วยอะไรบางอย่างที่มันตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่ใช่คนระยองรุ่นเก่า ถ้าทำแบบเดิมรุ่นนั้นตายหมดแล้ว สังคมมันตายแล้ว แต่สังคมระยองมันเกิดใหม่หมดแล้วนี่ ร้านหนังสือมันไม่ได้ตอบโจทย์คนเหล่านี้ต่างหาก คนเหล่านี้ไม่มีทางเลือกก็เอาหัวใจไปวางไว้ที่อื่น แต่ถ้าเราสามารถสร้าง community store ขึ้นมาได้มันถึงจะเกิดได้

ถามว่าทำได้ไหม – ทำได้ ทำง่ายไหม – ทำโคตรยาก มีคนทำสำเร็จไหม – มี ใช้เวลาเยอะไหม – เยอะมากๆ แต่จำเป็นไหมที่ทุกเมืองในเมืองไทยต้องมีการ reinvent ของร้านหนังสือแบบนี้ – จำเป็นมาก ไม่งั้นคุณจะเอาหัวใจวัยรุ่นและหัวใจคนหนุ่มสาวไปวางไว้ที่ไหนหลังเลิกงาน คุณจะให้เขาสร้างปัญญาอย่างไร

เมื่อกี้บอกว่ามีสำนักพิมพ์ที่โต ในเมืองไทยมีไหม แล้วเขาโตได้ยังไง

ลองไปเดินดูที่หน้าแผง หนังสือที่ขายได้อยู่ที่หน้าแผงทั้งหมด ที่วางอยู่ทางเข้าร้าน จะเห็นว่ามีหนังสืออยู่กลุ่มหนึ่ง ไม่เกิน 5-6 สำนักพิมพ์ที่ได้รับการวางอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก เดินเข้าไปต้องเจอ

การที่มันมีหนังสือหมวดหนึ่งที่มันอยู่หน้าร้านและวางได้ตลอด คนก็ถามว่าทำไมวางไว้ตลอด สำนักพิมพ์เอาเงินไปให้เขาเหรอ ไม่ใช่ เราไม่ได้เอาเงินไปให้เขา แต่เขาขายได้ต่างหาก เขาคือธุรกิจเหมือนกัน หนังสือที่ได้รับการวางหน้าร้านคือหมวดนั้นกำลังโตแล้วเป็นตัวที่ประคองหน้าร้าน

แต่คำถามคือเราต้องการมากกว่านั้นอีกเยอะเพื่อที่จะทำให้ปัญญามันโต ธุรกิจหนังสือมันจะไปต่อได้ต่อเมื่อมันมีความหลากหลายที่มากพอ ซึ่งถ้าเรากลับไปที่สหรัฐอเมริกา ไปที่อังกฤษ ไปที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะเห็นว่าร้านหนังสือกำลังกลับมาอีกครั้ง ในปีที่ผ่านมาตลาดหนังสือเล่มกระดาษโตแล้ว กลับมาฟื้นแล้ว อังกฤษซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เก่าแก่ของโลกที่ทำธุรกิจร้านหนังสือมารู้แล้วว่าจะอยู่กับโลกหนังสือหลังยุค disruption ยังไง เขาเจอแล้ว เขากลับมาทำการตลาดอย่างเข้มข้นแล้ว ใครจะเชื่อว่าหนังสือเล่มที่โดน Amazon disrupt ไปแล้วจะกลับมาอีกครั้ง

พอถึงจุดหนึ่ง คนรุ่นผมหรือว่าคนรุ่นหลังเนี่ย คุณอ่านมือถือตลอดเวลาไม่ได้หรอก คุณอยู่กับมันทั้งวัน ดูข่าวบันเทิงคุณก็ sick จะแย่อยู่แล้ว คุณดูซีรี่ส์ในมือถืออีก ดูข่าวบันเทิงในมือถือ ดูทุกอย่างในมือถือ พอถึงจุดหนึ่งคุณอยากจะวางมันลงแล้วคุณอยากจะอ่านอะไรบางอย่างจากในหนังสือ

คุณไม่มีทางอ่านหนังสือเด็กผ่านมือถือให้ลูกคุณฟังก่อนนอนแน่นอน และเมื่อคุณไม่กระทำกับลูก ทำไมคุณทำกับตัวเอง 

แล้วถ้าคุณไม่อยากให้ลูกอ่านมือถือเป็นหนังสือเด็ก แน่นอนหนังสือเด็กที่เป็นกระดาษไม่มีทางตาย คุณไม่มีทางยอมอ่านหนังสือหนา 600 หน้าผ่านมือถือตลอดเวลาแน่นอน กระดาษมีคุณค่าบางอย่าง มันได้ผ่านการพิสูจน์ทางการเวลาว่ามันไปต่อได้ แล้ววันนี้ธุรกิจสำนักพิมพ์ในต่างประเทศปรับตัวหมดแล้ว เห็นแล้วว่าจะไปยังไง ธุรกิจในเมืองไทยมาถึงช่วงที่ว่าแล้วกูจะไปยังไงต่อ ถ้าคิดออกก็กลับมาโตได้ แต่ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องล้มหายตายจากไป มันก็เหมือน Financial Times ที่ผมยกตัวอย่างว่าหนังสือพิมพ์เจ๊งหมดแต่ที่ยืนอยู่ได้ก็ยืนอยู่ได้ ยุคนี้ของจริงเท่านั้นที่อยู่ได้ ของปลอมจะตายหมด มันโหดขนาดนี้

ใครคือ 5 คนหรือว่า 5 สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวคุณภิญโญมากที่สุด อาจจะเป็นคนที่เราคุยด้วยบ่อย คนที่เราให้คำปรึกษา คนที่มาขอคำปรึกษาเรา หนังสือที่อ่านหรือว่าแหล่งข่าวอะไรก็ได้

คือเอาทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตใช่ไหมครับ นี่ภรรยาผมนั่งอยู่ข้างๆ ตอบเป็นอันดับ 1 เมื่อวานส่งลูกไปเรียนต่างประเทศเป็นอันดับ 2 

ลูกผมอายุ 17 เรียนมัธยมปลายที่จีน การคุยกับคนอายุ 17 มันทำให้รู้ว่าจักรวาลของเด็กอายุ 17 ปีคืออะไร แล้วถ้าคุณไม่คุยกับลูก คุณไม่ฟังเขาเลย คุณจะอยู่ในจักรวาลของ Marvel ซึ่งไม่ใช่ Marvel ปัจจุบัน คุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ว่าเด็กสมัยใหม่กลัวอะไร หวังอะไร คิดถึงอนาคตแบบไหน เสพอะไร กินอะไร รักอะไร เกลียดอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คุณไม่มีทางเข้าใจระบบการศึกษา คุณไม่มีทางเข้าใจตลาดในอนาคต

ฉะนั้นผมอาจจะไม่ได้ตอบเป็นตัวบุคคลนะครับ เราจำเป็นต้องคบหาสมาคมกับผู้คนที่หลากหลายทั้งในแง่ของการคบกับผู้อาวุโสกว่าเรา บางเรื่องมีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะเล่าได้ ความแก่นั้นเป็นพร คุณอยากแก่วันนี้คุณก็แก่ไม่ได้ คุณจะอายุ 20-30 อยากจะเข้าใจคน 50 คุณเข้าใจไม่ได้จนกว่าคุณจะ 50 แต่คุณคุยกับคน 50 ได้ คุณอายุ 50 คุณคุยกับ 70 80 90 ได้ ผมอายุ 49 กำลังจะ 50 ก็คุยกับคน 20-30 กระทั่ง 17 ได้ กระทั่งคุยกับ 5 ขวบก็ได้

ฉะนั้นกรุณาคบหาสมาคมหรือหาโอกาสสนทนากับผู้คนในช่วงต่างวัยต่างอายุเพื่อเรียนรู้จากเขา การเรียนรู้จากเขาไม่ได้หมายความว่าเรียนรู้จากผู้สูงอายุกว่าเท่านั้น กรุณาอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วเรียนรู้จากเด็กให้มากขึ้น ถ้าคุณฟังเขาแล้วคุณจะไม่หลงยุค คุณจะเข้าใจอารมณ์ของยุคสมัย คุณจะเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่คุณ อันนี้แนวตั้ง

แนวนอน – อย่าอยู่กันเองให้มากไป อย่าคบหาสมาคมแต่เพียงเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงของเราเท่านั้น กรุณาคบหาสมาคมและหาโอกาสไปสนทนากับคนในแวดวงอื่นๆ ให้มากคุณจะได้เห็นว่ามันมีโลกทัศน์อื่นๆ ที่คนอื่นเขามองอยู่ มันไม่ใช่โลกทัศน์แบบที่เรามองแบบเพื่อนเรามอง และคนทำงานกับเรามองเท่านั้น จักรวาลไม่ได้แคบแค่นั้น โลกไม่ได้แคบเท่าที่เราเห็น กรุงเทพฯไม่ได้มีแค่ถนนสุขุมวิท จักรวาลไม่ได้อยู่บนเส้นรถไฟฟ้าเท่านั้น

อย่าอยู่แต่ในประเทศของเราแล้วคิดว่าเราเป็นมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ทางทิศเหนือของเรามีมหาอาณาจักรจากจีนที่มีประวัติศาสตร์ 5000 ปี ทางฝั่งตะวันตกเรามีอินเดียซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5,000 เปอร์เซียยาวไปถึงอียิปต์ อย่าอยู่เฉพาะในประเทศของเรา เพราะว่าการเดินทางราคาถูกลง เวลาว่างคุณมากขึ้น โรงแรมราคาถูก จองผ่าน Wongnai ก็ได้

หนึ่งคือแนวตั้ง คบหาผู้คนให้หลากหลายช่วงอายุ สองคือแนวนอน – คบหาสมาคมฟังคนอื่นให้หลากหลายอาชีพ สามคือแนวกลม – เดินทางให้มากขึ้น ไปเห็นโลกให้มากขึ้น จะรู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่กว่าที่ตาเห็น ไปเรียนรู้อารยธรรมคนอื่น ไปเรียนรู้วัฒนธรรมคนอื่นที่แตกต่างจากเรา จะได้ไม่อยู่ในโลกที่แคบ 

ถ้าเราเดินทางเยอะๆ ห้องน้ำที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่ญี่ปุ่น น้ำมันพุ่งมาได้เองในองศาที่ถูกต้อง เพียงคุณขยับก้นในท่าที่เขากำหนดไว้ คุณก็ได้รับความสะอาดสูงสุด แต่ถ้าคุณเดินทางเยอะๆ มันจะไปถึงจุดที่น้ำก็ไม่มี จนคุณต้องเข้าป่า แค่วัฒนธรรมเรื่องการใช้ห้องน้ำเราก็ไม่สามารถบอกได้แล้วว่าห้องน้ำที่ญี่ปุ่นเป็นห้องน้ำที่ถูกต้องที่สุด บางวัฒนธรรมเขาไม่ได้ใช้ห้องน้ำแบบนั้น ส้วมก็ยังเป็นส้วมหลุม แล้วคุณจะไปว่าเขาผิดได้ยังไง ก็เขาประหยัดน้ำ 

คุณเดินทางไปวัฒนธรรมอิสลาม ห้องน้ำเป็นอีกแบบหนึ่ง เขามีความจำเป็นต้องละหมาด เขาต้องล้างเท้าก่อนที่จะไปละหมาด เข้ามาต้องมีที่ล้างเท้าเต็มไปหมด ผู้หญิงเข้าด้านหนึ่ง ผู้ชายเข้าด้านหนึ่ง คุณไปเรียกร้องความเท่าเทียมไม่ได้ นั่นคือความเท่าเทียมสำหรับเขา

ฉะนั้นวิธีที่เข้าใจให้ได้มากที่สุด คุณต้องขึ้นและลง ซ้ายและขวา กลมให้มาก และที่สุดก็ย้อนมาดูใจตัวเองว่าข้างในคุณไปไกลแค่ไหน เดินทางไปไกลแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ในที่สุดคุณได้ย้อนกลับมาดูว่าหัวใจคุณพัฒนาแค่ไหนในแต่ละปีที่ผ่านไป

คุยกับคนรอบข้างเราคุยได้หมด แต่ถ้าในที่สุดเราไม่ย้อนมาคุยกับตัวเองมีประโยชน์อะไร มีความรู้มากมายเต็มไปหมดแต่ไม่เกิดปัญญามีประโยชน์อะไร ฉะนั้นมันคือองค์รวมทั้งหมด มันอาจจะไม่ได้เป็น 5 คน 5 สิ่ง แต่มันคือปัจจัยทั้งหมดที่เราจะสามารถเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ เมื่อเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิต เป็นประโยชน์กับคุณภาพชีวิต และมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดเราไปเรื่อยๆ มันคือคุณภาพของมนุษย์ มันคือการเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดี คือการมีวุฒิภาวะ คือความเข้าใจผู้อื่น และท้ายที่สุดคือย้อนกลับมาเพื่อเข้าใจตัวเอง ไม่มีประโยชน์ที่เข้าใจโลกแต่ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ถ้าไม่เข้าใจตัวเองย่อมไม่เข้าใจโลก ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ได้แบ่งแยก มันคือ 5 ทิศเหนือ ใต้ ออก ตก แล้วมันย้อนเข้ามาข้างใน 

เวลาอ่านหนังสืออย่างปัญญาอนาคต อ่านบทสัมภาษณ์คุณภิญโญ หรือดูวีดีโอที่คุณภิญโญให้สัมภาษณ์ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ ก็คือคุณภิญโญดูจะโปรคนรุ่นใหม่  (pro – เข้าข้าง) คำถามก็คือทำไมต้องโปรคนรุ่นใหม่ด้วยครับ แล้วคนรุ่นเก่าอยู่ที่ไหนในสมการของอนาคต

ที่ต้องโปรคนรุ่นใหม่มากเพราะคนรุ่นเก่าโปรตัวเองกันเยอะไปแล้ว หลงใหลในความรุ่งเรืองในอดีตของตัวเองมากจนเกินไป คนรุ่นเก่ามีอำนาจอยู่ในมือเพราะว่าอยู่ที่นี่มานาน เมื่ออยู่มานานก็มีอำนาจเยอะ แล้วก็ไม่อยากสูญเสียอำนาจนั้นไป

อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตลูกหลาน อำนาจในการตัดสินใจบงการชีวิตอนาคตธุรกิจ อำนาจในการตัดสินใจบงการอนาคตการเมือง อำนาจในการกำหนดนโยบายอนาคตของประเทศ

ซึ่งถ้าท่านผู้มีเกียรติเหล่านั้น รวมทั้งรุ่นผมหรือตัวผมด้วยทำได้ดี เราคงอยู่ในประเทศที่พัฒนาก้าวหน้ามีความสุขสะดวกสบายอิ่มหนำสำราญใกล้ๆ ยุคพระศรีอาริย์เข้าไปเต็มที จากเพชรบุรีตัดใหม่บ้านผมมาถึงสุขุมวิทคงไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงอย่างนี้ เมื่อกี้ต้องลงจากรถเพื่อนั่งมอเตอร์ไซค์มา ระยะทางมันแค่ 2 กิโล นี่คือผลงานของคนรุ่นเก่าที่ทำเอาไว้หรือไม่ได้ทำเอาไว้

ฉะนั้นคนรุ่นผมถือเป็นคนรุ่นเก่า มีประโยชน์อะไรที่จะมาชมเชยตัวเอง ถ้าเราทำดีไว้ในอดีตที่ผ่านมา เราคงไม่ต้องส่งมอบสังคมที่ทำให้ลูกหลานต้องลำบากแบบนี้ ถ้าเราใช้เวลา 20 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ผมเริ่มทำงานหรือ 30 ปีที่ผ่านมาสำหรับคนรุ่นที่กำลังจะเกษียณ ทำงานอย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพและทำในวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง เราจะส่งมอบสังคมที่น่าอยู่ ความขัดแย้งต่ำ แล้วทุกคนมองเห็นอนาคตร่วมกันได้ให้กับลูกหลาน ซึ่งก็คือทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วลูกหลานจะไม่มีคำถามย้อนกลับมาที่เรา

ผมว่าคนรุ่นผมต้องทำความผิดพลาดอะไรบางอย่าง หรือไม่ได้ทำบางอย่างให้ดี มันจึงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น นั่นคือเหตุผลที่เราต้องละวางอดีต ละวางคนรุ่นเก่าไว้ เพราะว่ามีอำนาจ แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะให้คนรุ่นใหม่อยู่อาศัยและเดินทางต่อไปสู่อนาคตได้ 

คำถามคือ แล้วถ้าผมอยู่ตรงกลาง ผมควรที่จะไปยึดอดีต แล้วโปรคนมีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว มีทรัพยากรล้นฟ้าอยู่แล้ว หรือผมควรจะหันหน้ากลับมาสนทนากับคนรุ่นใหม่แล้วบอกว่านี่คือปัญหาที่คนรุ่นผมสร้างมา หรือว่าไม่ได้สร้างมาแต่เราล้มเหลว เราทำไม่สำเร็จ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมขอฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นใหม่ แล้วทำสิ่งที่มันดีขึ้นให้กับประเทศนี้ ไม่งั้นผมจะอยู่ในสังคมแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร

คนรุ่นผมเหลือเวลาไม่มากในการมีชีวิตอยู่ ความหวังก็คือหวังว่าคนรุ่นใหม่จะสร้างสังคมที่ดีขึ้น กำลังเราเหลือน้อย ปัญญาเราเหลือน้อย เราจำเป็นต้องฝากชีวิตเราไว้อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ทุกท่าน

เราต้องให้ปัญญา ให้กำลัง ให้ทรัพยากร และให้กำลังใจคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมสร้างสังคมที่ดี เราจำเป็นต้องอยู่อาศัยในสังคมนี้ ถ้าคนรุ่นใหม่ทำไม่สำเร็จ เราจะไม่เหลือใครที่มีกำลังพอที่จะแบกรับอนาคตของประเทศชาตินี้ไว้ได้เลย…..ซึ่งนี่จะเป็นเรื่องที่น่าขมขื่นมาก…..พูดแล้วน้ำตาจะไหลนึกออกไหมครับ….

…..ไหลมาเอง ไม่ได้ตั้งใจ….. ขออภัย…..

…..

…..

…..

นี่คืออารมณ์ของสังคมตอนนี้ ผมว่ามันเป็นอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจคนไทย ที่ผมพูดอย่างนี้น้ำตามันไหลออกมาเอง ไม่ได้ตั้งใจจะดราม่า แต่คำถามมันโดนใจ

ถ้าเราไม่ฝากความหวังกับคนรุ่นใหม่ ใครจะสร้างอนาคตให้ประเทศไทย ผมดีใจมากที่มีโอกาสได้มาพูดกับทุกท่านในวันนี้ ขอบพระคุณที่ให้เกียรติ อยากมาพูดกับคนรุ่นใหม่มากกว่าคนรุ่นเก่า อยากมาพูดกับ startup ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวมากกว่าพูดกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรอีกแล้ว เพราะทุกท่านคือความหวังของคนรุ่นผม 

ผมจึงพยายามกำลังสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ว่า ช่วยมีความมั่นใจและสร้างอนาคต เดินทางต่อไปเถอะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก คนรุ่นผมฝ่าฟันกันมาเยอะ ทำสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ สำเร็จบ้างก็มี ผลงานไม่ได้มากมายนัก แต่ประเทศนี้จะเดินทางต่อไปสู่อนาคตท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ความยากลำบากขนาดนี้ได้ ไม่มีใครที่จะฟันฝ่าไปได้นอกจากคนรุ่นใหม่ที่จะร่วมมือร่วมใจกันเพื่อที่จะฟันฝ่าไปให้ได้

คนรุ่นใหม่คือบริษัทเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมา คือ Wongnai และอื่นๆ อีก 500 บริษัท นี่ผมใช้คำเปรียบเปรย ห้าร้อยไม่ได้หมายถึงตัวเลข 500 นะ ห้าร้อยมาจากทหารพระเจ้าตาก ทหารเสือที่ฟันฝ่าและสร้างธนบุรีให้ประเทศไทยเดินต่อไปได้

วันนี้เราต้องการ 500 ธุรกิจต้องการ 500 ชีวิตต้องการ 500 ผู้มีวิสัยทัศน์เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้มันเดินต่อไปได้ ไม่งั้นเราจะอยู่อย่างไร เราจะส่งมอบอนาคตแบบไหนให้กับสังคมไทย คนรุ่นเก่าต้องเข้าใจว่าประเทศมันต้องสร้างด้วยคนรุ่นใหม่ หน้าที่ของคนรุ่นเก่าคือให้ทรัพยากร ให้เวลา ให้ปัญญา ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างอนาคตให้กับประเทศนี้ในทุกๆ ภาคส่วน เศรษฐกิจ สังคม การเงิน วัฒนธรรม ศิลปะ ต้องให้เขาสร้าง ต้องเปิดโอกาส อย่ากดสังคมนี้ไว้อีกต่อไป มันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว

อย่าใช้อำนาจเป็นตัวนำสังคม ให้ใช้ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ให้เขาได้มีโอกาสสร้างอนาคตให้กับประเทศในวันที่มันพอจะสร้างได้ เพราะในวันที่มันสร้างไม่ได้ เราเหลือกลยุทธ์เดียวคือเราต้องหนี อย่าให้คนรุ่นใหม่ อย่าให้เยาวชนต้องหนีจากประเทศนี้ไป ให้ประเทศวันนี้เป็นดินแดนแห่งความหวัง ให้ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งอนาคต ไม่ใช่เป็นดินแดนที่ถูกอดีตกดทับ แล้วเราต้องอยู่กับความทรงจำกับความรุ่งเรืองในอดีตที่จางหายไปแล้วแต่คุณยังไม่ตระหนัก

นี่คือทำไมผมต้องคุยกับคนรุ่นใหม่ ผมจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในอนาคตที่คนรุ่นใหม่สร้าง ฉะนั้นไม่มีทางที่ผมจะปฏิเสธกำลัง ความคิด ความฝันของคนรุ่นใหม่ ผมมีหน้าที่ต้องให้เวลา พลังงาน ปัญญากับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้เขาทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้พวกคุณทุกท่านทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แล้วผมจำเป็นต้องฝากชีวิตน้อยๆ ของผมอยู่ในสังคมที่สร้างโดยคนรุ่นใหม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องสื่อสารกับคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจนที่สุด แล้วจำเป็นต้องเปิดโอกาสทางสังคม ต้องทำให้สังคมตระหนักรู้ได้ว่า เราคนรุ่นเก่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกมิติได้แล้ว หยุดการครอบงำสังคมด้วยอคติและความทรงจำเดิมๆ และความสำเร็จในอดีตของเราเสียที 

(เสียงปรบมือยาวนาน)

คราวนี้จะทำยังไงดี ในเมื่อคนรุ่นเก่าเขาไม่เห็นความจำเป็นต้องหลีกทาง ต้องเปิดพื้นที่ให้กับคนตัวเล็กๆ 500 คน

เรื่องแบบนี้ตอบง่ายที่สุดและสั้นที่สุด ท่านท่องไว้หนึ่งคำ 3 ครั้ง disruption, disruption, disruption 

สวดมนต์ไว้ disruption, disruption, disruption

คุณไม่มีทางไปร้องขออำนาจหรือความเปลี่ยนแปลงจากคนที่หวงอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลง คุณขอสิ่งที่เขาไม่อยากให้มากที่สุดได้อย่างไร สิ่งที่คนรุ่นเก่าหวงมากที่สุดก็คืออำนาจ สิ่งที่คนรุ่นเก่ากลัวมากที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง คืออยากจะรักษาอำนาจและไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงคือการสูญเสียอำนาจในทุกๆ มิติ

ฉะนั้นสิ่งเดียวที่คุณจะทำได้คือการ disruption สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ โดยไม่ต้องร้องขออำนาจ เมื่อคุณ disruption ไปทีละจุด ทีละจุด ทีละจุด 500 จุดหรือมากกว่าไปเรื่อยๆ สังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเอง โดยที่คนรุ่นเก่าก็ได้แต่มองตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ถอยออกจากบทบาทที่ตัวเองยืนอยู่ 

คลื่นลูกใหม่ย่อมเข้ามาแทนที่คลื่นลูกเก่า คลื่นลูกใหม่ไม่เคยขอร้องให้คลื่นลูกเก่าหลีกทางให้ แต่คลื่นลูกใหม่สร้างตัวเองเข้าสู่ชายหาดเรื่อยๆ เราเป็นต้นไม้เล็กๆ ต้องหาทางที่จะหลบร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปหาแสงแล้วเติบโตขึ้นมา แม้ว่ามันจะบิดงอไปตามทิศทางของแสง แต่ในเมื่อมันเติบใหญ่ขึ้นมาได้ แม้ว่าจะบิดงอ  ยากที่จะเหยียดยืนหยัดตรงเป็นต้นไม้เหมือนรุ่นเก่า แต่มันก็จะเติบโตขึ้นมาได้แล้วกลายเป็นป่าแห่งใหม่

อย่าร้องขอ อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองอยากเป็นด้วยตัวของคุณเอง แล้วใช้พลังของการ disruption สร้างมันขึ้นมาทุกจุดในสังคม แล้วสังคมจะเปลี่ยน อยากทำงานธุรกิจสร้างธุรกิจ อยากทำงานวัฒนธรรมสร้างวัฒนธรรมใหม่ อยากทำงานสังคมสร้างสังคม อยากทำงานการเมืองสร้างการเมือง อยากเขียนหนังสือเขียนหนังสือ อยากทำอะไรทำ ใช้พลังแห่งความเชื่อมั่น disrupt มันไปทีละส่วน แล้วสังคมจะเปลี่ยนแปลงจากความเปลี่ยนแปลงมวลรวมของปัจเจกชนขึ้นมาได้

ยากที่เราจะหา  platform และฉันทามติร่วมกันในเวลานี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งหมด รอไปถึงชาติหนึ่งก็อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ง่ายกว่าที่ปัจเจกชนจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างแล้วเปลี่ยนแปลงทีละจุด เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วจึงเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เปลี่ยนแปลงธุรกิจแล้วก็เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงสังคมแล้วค่อยไปเปลี่ยนแปลงโลก อย่าคิดเปลี่ยนแปลงโลกแล้วย้อนกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ฉะนั้นง่ายสุดคือลงมือทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่น อย่าสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อตนเอง อย่าสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตนเอง อย่าหมดหวังกับตนเอง อย่าหมดหวังกับประเทศ ถ้ามีความหวังกับตัวเอง มีความหวังกับสังคม เราจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงสังคมแล้วเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เราไม่มีโอกาสหมดหวังกับประเทศนี้ เราไม่มีโอกาสหมดหวังกับสังคม เพราะเราจะไม่มีประเทศและไม่มีสังคมให้เราเดินต่อไปได้

ย้อนกลับมาสร้างตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณภาพ สร้างธุรกิจให้เป็นธุรกิจที่มีคุณภาพ และเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศให้สำเร็จในคนรุ่นเรา คนรุ่น 20-30 พวกเรามีเวลาอีก 20-30 ปีที่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศได้ อย่ายอมหมดหวัง อย่าให้ใครทําลายความหวังของเราที่มีต่ออนาคตของประเทศได้ วันนี้ทำไม่ได้ค่อยๆ ทำไป เปิดโอกาส แผ้วถางทางให้คนรุ่นต่อไป

คนรุ่นผมอาจจะต้องขออภัยที่ไม่สามารถส่งมอบสังคมในอุดมคติให้กับคนรุ่นใหม่ได้ แต่ผมหวังว่าคนรุ่นคุณจะสามารถแผ้วถางทางสร้างธุรกิจ สร้างสังคมวัฒนธรรมใหม่ที่ดีกว่าเพื่อสร้างสังคมให้คนรุ่นลูกหลานของคุณใน 20 ปีข้างหน้า แล้วคุณคือคนที่จะมานั่งคุยอยู่ตรงนี้ในอนาคต แล้วบอกกับคนรุ่นหลังว่า เราได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่เราให้คุณพยายามต่อเพื่อไปสู่อนาคตข้างหน้า

การสร้างประเทศการสร้างสังคมมันใช้เวลา 20 ปี 30 ปี  50 ปีหรือ 100 ปี แต่เราเลิกหวังไม่ได้ เราหมดหวังกับสังคมและประเทศไม่ได้ มันจึงต้องเริ่มย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า disrupt ตัวเองแล้วไป disrupt สังคม เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วจึงเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ให้เราช่วยกันสร้างประเทศของเราขึ้นมาจากความพังทลายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่มีใครคาดการณ์ได้

คุณภิญโญมีวิธีคิดยังไงในการเลือกคู่ชีวิตหรือว่าคน support แนวคิดของเราคะ

อันนี้มันรายการคลับฟรายเดย์นะครับ มันมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า The 100 Year Life ชีวิตศตวรรษ อยากให้อ่านมาก เป็นหนังสือที่กำหนดเทรนด์ในอนาคตว่า ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี วิธีการบางอย่างที่คุณเคยวางแผนไว้อาจจะต้องเปลี่ยนไป

ในอดีตรุ่นผมก็คือเรียนหนังสือจบมาทำงาน พออายุ 60 หรือ 65 ปีก็เกษียณ พอเกษียณเสร็จก็ใช้เงินบำนาญ ใช้ชีวิตไปซัก 80 ปีก็ตายแล้ว มีเงินเกษียณพอจะเลี้ยงไปจนเราเสียชีวิต

แต่ถ้าชีวิตอยู่ถึง 100 ปีคุณทำงานถึง 65 เงินที่คุณเหลืออาจจะไม่พอที่จะทำให้คุณอยู่ถึง 100 ปี เพราะฉะนั้นคุณมีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนชีวิตหลายต่อหลายอย่างใหม่

ผมพักเรื่องการงานการเงินและชีวิตไว้แค่นั้น คำถามต่อไป ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี คู่ชีวิต ทั้งหญิงและชาย ชายชาย หญิงหญิงในอนาคตจะมีความหมายต่อคุณมาก เพราะเขาคือคนที่จะแชร์มากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต ถ้าคุณแต่งงานตอนประมาณอายุ 30 แล้วถ้าคุณอยู่ถึง 100 ปี เขาคือคนที่จะแชร์ประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาสุขทุกข์ในชีวิตกับคุณถึง 70 ปี และนั่นคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด คุณจะเลือกคนที่จะแชร์ชีวิตกับคุณ 70 ปีอย่างไร ถ้าคุณเลือกแบบสั้นๆ คุณจะทนเขาได้ไหม เมื่อคุณอายุผ่านไป 60 ปี แล้วคุณต้องอยู่กับเขาต่ออีก 40 ปี

ถ้าเลือกคู่ชีวิตที่ถูกย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน เท้าสองข้างจะเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าคุณเลือกคู่ชีวิตผิด ครึ่งหนึ่งของชีวิตคุณจะหายไป คุณเดินอย่างไรคุณก็เดินได้ไม่เต็มร้อย เผลอๆ จะเดินต่ำกว่า 50 เพราะคุณต้องเสียเวลาไปกับความขัดแย้ง กับความขมขื่นอีก 50% ของชีวิต

ฉะนั้นคู่ชีวิตจะเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ อาจจะมากกว่าการงานของคุณด้วยซ้ำไป ในอนาคตอันใกล้ ถ้าคุณอยู่ถึง 100 ปี ถ้าคุณรู้ว่าคู่ชีวิตที่คุณเลือกมาแล้วไม่ใช่ แนวโน้มในการเปลี่ยนคู่ชีวิตก็จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าคุณสามารถมองว่าคู่ชีวิตจะอยู่กับคุณไปทั้งชีวิตแล้วคุณเลือกให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้น ถ้าไม่ถูกต้อง คุณจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนซะตั้งแต่เร็ววัน เพราะคุณจำเป็นต้องอยู่กับเขาไปเป็นเวลายาวนาน มันคือครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของความสุขในชีวิตคุณ มันเป็นปัจจัยและเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากแต่จับต้องไม่ได้และวัดผลไม่ได้ ไม่เป็นตัวเลขแต่สร้างความสุขและความทุกข์ใจให้คุณได้อย่างมหาศาล

ในชีวิตมันมีสินทรัพย์อยู่ 2 ประเภท ประเภทที่จับต้องได้กับประเภทที่จับต้องไม่ได้ คุณซื้อบ้านคุณจับต้องได้ คุณซื้อคอนโด 50 ตารางเมตร คุณจับต้องได้ แต่ถ้าคุณเลือกคู่ชีวิตที่ผิดแล้วคุณไปวางไว้ในคอนโด 50 ตารางเมตรของคุณ แทนที่บ้านคุณจะเป็นสวรรค์ บ้านคุณกลับเป็นนรก

ถ้าคุณต้องการทำบ้านให้เป็นสวรรค์ คุณต้องเลือกสินทรัพย์ที่มันจับต้องไม่ได้อย่างมีคุณภาพ โดยมีวิธีเดียวคือคุณต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพด้วย เขาจะได้เลือกคุณ อย่าไปคิดว่าคุณมีสิทธิ์เลือกเขาอย่างเดียว เขามีสิทธิ์เลือกคุณ และเรามีสิทธิ์เลือกกันและกันในช่วงเวลา 100 ปี

กรุณาเป็นคนคุณภาพเพื่อที่จะสร้างคู่ชีวิตที่มีคุณภาพ และจะได้ไปสร้างชีวิตที่มีคุณภาพ แต่ถ้าครึ่งหนึ่งคุณไม่มีคุณภาพ ต่อให้คุณประสบความสำเร็จทุกด้านก็ยากที่คุณจะมีความสุข

ตอนอายุยังน้อยเรายังไม่ได้คิดถึงหลายต่อหลายเรื่อง เราทำงานเพื่องานอย่างเดียวได้เราไม่ได้คิดถึงคู่ชีวิต ยังไม่ได้คิดถึงลูก ยังไม่คิดถึงพ่อแก่แม่เฒ่า ยังมีเรื่องเพื่อนฝูง มิตรภาพ ความชรา การป่วยไข้ ซึ่งในวัยขนาดผมมันจะเห็นเรื่องพวกนี้หมดแล้ว ไปงานศพก็เริ่มนั่งแถวหน้าไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็ต้องไปนอนในโลง ไปงานศพมากกว่างานแต่งงาน ไปงานรับปริญญาลูกมากกว่าเอาลูกไปฝากเข้าโรงเรียน  phase ของชีวิตหรือว่าอาศรมต่างๆ ของชีวิตที่มันเปลี่ยนไปจะสอนเราในเรื่องที่แตกต่าง 

ผมเลยบอกว่าให้ไปคบคนสูงอายุไว้หน่อย จะได้เห็นว่าชีวิตของเราในอีก 10-20 ปีข้างหน้ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต และไม่ประมาทต่อการเลือกคู่ชีวิต

จงเป็นคนที่ดีและเลือกคู่ชีวิตที่ดี ขอให้โชคดีในการเลือกคู่ชีวิต 

พี่ภิญโญได้คุยกับคนมานับร้อยนับพันคน มีใครที่เห็นว่าคนนี้มีชีวิตที่น่าอิจฉามากเลย

มันอาจจะไม่ได้มีใครที่เป็นตัวแบบของชีวิตที่น่าอิจฉา แต่มีคุณสมบัติของมนุษย์บางคนที่เป็นคุณสมบัติที่ดีและน่าอิจฉาว่าทำไมเราไม่มี แล้วเราเลือกคุณสมบัติเหล่านั้นมาไว้กับตัวเราได้โดยไม่ต้องเลือกมนุษย์คนนั้น มันไม่มีใครสมบูรณ์แบบสำหรับเรา แต่มันมีคุณสมบัติที่ดีของแต่ละคนซึ่งเราเรียนรู้จากคนนั้นได้แม้ว่าจะเป็นศัตรูของเรา 

ขงจื่อกล่าวว่าใน 3 คนที่เดินมา หนึ่งคนเป็นครูของเราได้ มันเป็นคำพูดที่ลึกซึ้งแต่ทำได้ยากมาก ถ้า 3 คนที่เดินมาหนึ่งในนั้นเป็นศัตรูของเรา คนที่เราโคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย เราจะเรียนรู้อะไรจากมันได้ สิ่งที่เราเกลียดมัน มันก็เกลียดเราเหมือนกันนั่นแหละ คุณสมบัติเลวร้ายที่สุดของคนที่เราเกลียด คือคุณสมบัติที่เราควรจะเห็นในตัวเอง

เราเห็นคนประสบความสำเร็จแล้วเราก็อิจฉา เราก็ริษยาเขา เราอาจจะอ้างโน่นอ้างนี่ แต่ลึกๆ แล้วเราริษยาเขา ว่าทำไมเขาประสบความสำเร็จมากกว่าเรา ทำไมเขารวยกว่าเรา ทำไมบ้านเขาสวยกว่าเรา ทำไมดูดีกว่าเรา ทำไมเขาเดินทางบ่อยกว่าเรา หรือทำไมต้องมีความสุขมากกว่าเรา เราเรียนรู้ความริษยาในใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเกิดจากความริษยา ไม่ได้เกี่ยวกับเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา

เราเห็นความใจเย็นของผู้คน เราเห็นสมณะบางรูป ผู้สูงวัยบางคนเขามีความใจเย็น แต่ทำไมเรายังใจร้อนอยู่ ยังโกรธคนง่าย เราเรียนรู้คุณสมบัติของความใจเย็นจากเขาได้

ในหนังสือ Present ผมเล่าเรื่องที่ได้พูดคุยกับคุณธนินท์ เจียรวนนท์ เขารวยเป็นอันดับ 3 ของเอเชียแต่ทำไมอ่อนน้อมถ่อมตนได้ขนาดนั้น เราไม่ได้เรียนรู้ความรวยจากท่านนะครับ เราเรียนรู้ความอ่อนน้อมถ่อมตนจากคนที่อยู่สูงมากได้ ทำไมบางคนอยู่ต่ำมาก แต่อหังการยิ่งกว่าประธานบริษัทซีพี เราเรียนรู้ความอหังการของเขาได้ แล้วเราอย่าทำ

เราเรียนรู้ความเจ็บช้ำ ความเจ็บปวดในชีวิต แล้วเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นปัญญาได้  เราเรียนรู้คุณสมบัติ เราไม่ได้เรียนรู้ที่ตัวบุคคลหรือว่ากายเนื้อ เราเรียนรู้กายละเอียดของเขา คุณสมบัติในจิตใจของเขาได้ แล้วน้อมนำให้มาเป็นคุณสมบัติของเรา แล้วเราจะเป็นมนุษย์ที่น่ารักขึ้น

ไม่ใช่คนที่รวยที่สุด สูงที่สุดเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติที่ดี คนที่มีคุณสมบัติที่ดี จิตใจที่ดีจำนวนมากในโลกนี้คือคนที่อยู่ต่ำที่สุด ผมพบคนจนจิตใจดีมากกว่าเศรษฐีจิตใจดีนะ พบคนจนที่มีเมตตามากกว่าคนรวยที่มีเมตตา เลือกคบหาคนที่สมถะมีความสุขมากกว่าเลือกคบหาคนมีอำนาจ จะเป็นเพื่อนกับรัฐมนตรีเนี่ยต้องเป็นตอนตกกระป๋อง อย่าไปเป็นเพื่อนตอนเป็นรัฐมนตรี มันไม่สนุก คนส่วนใหญ่จะวิ่งหาผู้มีอำนาจก่อนอันดับแรก แต่ตอนตกกระป๋องไม่มีใครไปหา นั่นแหละครับไปคบหาสมาคมเขาตอนนั้นแล้วจะเจอมนุษย์ ไม่ได้เจอรัฐมนตรี เจอรัฐมนตรีไม่สนุกเพราะจะเจอรถนำขบวนด้วย น่ารำคาญ แต่ถ้าไปเจอมนุษย์จะเจอคนจริงๆ เจอเลือดเนื้อ จะได้ฟังเรื่องเล่าที่มหัศจรรย์มากมาย แล้วพอกลับไปเป็นรัฐมนตรีก็ให้รถนำขบวนไป อย่าไปยุ่งกับเขา

พี่ภิญโญเคยอธิบายไว้ว่า การอยู่รอดในยุคถัดไปที่จะมี AI มาทำงานแทนเรา เราต้องกลับไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ อยากให้พี่ช่วยขยายความหน่อยว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในวันที่โดน AI แย่งงาน

ถ้า AI  ทำงานแทนเราได้ทั้งหมด – ซึ่งมันจะทำงานส่วนใหญ่แทนเราได้ น่าจะชงกาแฟอร่อยกว่าด้วยซ้ำไปถ้าสัดส่วนถูกต้อง

เราเป็นมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าแท้ที่สุด ลึกลงไปของหัวใจ มนุษย์อย่างพวกเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ถามว่าหุ่นยนต์กลไก AI มอบให้เราได้ไหม

AI จะเคยหลั่งน้ำตาให้ใครได้ไหม จะเคยเสียใจปลอบใจใครได้ไหม ในวันที่เราสูญเสียคนรัก สูญเสียมิตรภาพ ตกงาน คุณอยากมีเพื่อนดีๆ สักคนหนึ่ง อยากกอดใครสักคนหนึ่ง ในวันที่คุณสูญเสีย เจ็บปวด เศร้าใจ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ คุณจะกอดเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่บ้านไหม คุณจะคุยกับ Siri เหรอ

ในวันที่บุพการีของคุณ หรือคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะให้ AI อยู่ข้างเตียงแล้วคอยเปิดบทสวดมนต์กล่อมพ่อแม่คุณให้ไปสู่สุคติ หรือคุณอยากได้สมณะที่คุณนับถือและคุณเชื่อว่ามีการปฏิบัติภาวนาที่แก่กล้านำพาดวงวิญญาณของบุพการีคุณสู่สัมปรายภพ

คุณจะเลือกนักร้องที่ดังที่สุดที่อยู่ใน AI มาเปิดข้างเตียงให้แม่คุณฟัง หรือคุณอยากจะหาคนที่คุณไว้วางใจที่สุด นุ่มนวลที่สุดในชีวิตเข้าไปจับมือประคองดวงวิญญาณของบุพการีไปสู่สรวงสวรรค์

ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอยากจะอยู่กับหุ่นยนต์สักตัวหนึ่งแล้วดินเนอร์ด้วยกัน หรือว่าคุณอยากจะนั่งอยู่กับคนที่คุณรักแล้วจับมืออยู่ด้วยกัน คุณอยากกินซูชิที่อร่อยที่สุดจากมือหุ่นยนต์ หรือคุณอยากนั่งกินซูชิโดยมือของเชฟที่อายุ 90 ปีที่ผ่านการทำงานมาแล้ว 50 ปี

มันมีบางเรื่องในชีวิตที่หุ่นยนต์กลไกทำงานแทนมนุษย์ไม่ได้ และนั่นคือคำถามว่ามันคืออะไร และนั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องห่วงแหนรักษาเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้

ถ้าเราหาเจอว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราจำเป็นต้องรักษาไว้ และถ้าเราฉลาดพอว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องรักษาไว้ แล้วเราสร้างธุรกิจหรือดำเนินชีวิตไปกับสิ่งที่เป็นคุณค่าของมนุษย์เหล่านั้นได้ เราก็จะอยู่ได้ในโลกสมัยใหม่ และนั่นเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์กลไก AI จะ disrupt เราไม่ได้

ถึงที่สุดแล้ว AI ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ปัญหาคือมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ต่างหาก เราจึงกลัว AI จึงกลัวหุ่นยนต์และกลไก สิ่งที่ต้องรักษาไว้สูงสุดคือความเป็นมนุษย์ และเรื่องที่ผมคุยมาตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทั้งหมดคือความเป็นมนุษย์

ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลัวหุ่นยนต์ให้มากที่สุด แต่ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ แล้วเรารู้ว่าคุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง AI จะ disrupt เราไม่ได้ ฉะนั้นจงหาให้เจอว่าคุณค่าที่แท้จริงที่สูงสุดของมนุษย์อยู่ตรงไหน

ถามว่าจะต้องไปค้นหาที่ไหนเหล่า ก็ต้องย้อนกลับเข้ามาข้างในตัวเรา เพราะใครจะเป็นมนุษย์และรู้จักมนุษย์ได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ทุกคนล้วนเป็นแบบจำลองของมนุษย์ที่ทั้งสมบูรณ์แบบและไม่สมบูรณ์แบบอยู่ในตัว

ใน Present หนังสือเล่มล่าสุดที่ผมเขียน ผมขอให้ทุกคนย้อนกลับเข้ามาดูในตัวเรา มันเป็นศาสตร์ที่ยากและลึกซึ้ง ต้องใช้เวลาอ่านหลายปี อาจจะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ 10 ปี 20 ปีแต่หวังว่าทุกคนจะเริ่มทำความเข้าใจ แล้วย้อนกลับมาดูข้างในว่าอะไรคือหัวใจสูงสุดของมนุษย์ที่ AI หุ่นยนต์กลไกมา disrupt เราไม่ได้ เพราะมันเป็นศาสตร์ที่ปลูกฝังไว้ในตัวเรามาเป็นพันปีแล้ว แล้วทำไมปราชญ์โบราณ ศาสดาพยากรณ์โบราณเข้าใจเรื่องแบบนี้ทั้งหมด แล้วเราซึ่งคิดว่าตัวเองชาญฉลาดที่สุดในโลก อยู่ในยุคที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี ทำไมเราไม่เข้าใจ ทำไมเรามองข้าม ทำไมเราปรามาสว่านี่เป็นปัญญาแต่อดีตกาล แล้วเราหลงลืมกันไป แล้วเราก็กลัวว่า AI จะมา disrupt เรา

ถ้าเราหาหัวใจเหล่านี้ไม่เจอ เราก็จะสูญเสียหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ไป และแน่นอนเราจะถูก disrupt แต่ถ้าเราเจอหัวใจของตัวเรา ยากที่หุ่นยนต์กลไกจะ disrupt เราได้ คำถามคือเราเจอหรือเปล่าว่าหัวใจที่แท้จริง จิตวิญญาณที่แท้ ความหมายที่แท้ของการเป็นมนุษย์ของเราอยู่ที่ไหน

ขอให้ย้อนกลับไปข้างในนั้นแล้วจะเจอ ถ้าไม่เจอวันนี้พรุ่งนี้ อาจจะใช้เวลา 10 ปี 20 ปี หรือเราจะต้องค้นหาไปชั่วชีวิต แต่หวังว่าทุกท่านจะพบเจอคำตอบนี้


ถอดเทปโดย sutasinee on Fastwork

เรียบเรียงโดย อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ – anontawong.com