30 ประโยคสุดจี๊ดจากพี่อ้อย Club Friday

เมื่อวานนี้ทาง LINE MAN Wongnai ได้เชิญพี่อ้อย Club Friday มา WeShare เนื่องในเดือนแห่งความรัก

เราเคยเชิญพี่อ้อยมา WeShare แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2018 มารอบนี้พี่อ้อยก็ยังท็อปฟอร์มเหมือนเดิม พูดสดๆ 1.5 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีสไลด์ ไม่ต้องมีโน๊ต ประโยคต่างๆ พรั่งพรูออกมา ทั้งให้ข้อคิด ทั้งแทงใจดำ ผมกับน้องๆ ทีม People จดตามแทบไม่ทัน

นี่คือ 30 ประโยคที่ผมชอบเป็นพิเศษครับ

คนอกหัก / คนโสด

  1. บางคนงานก็หนัก รักก็แย่
  2. รับรู้ไม่ได้แปลว่ารับรักเสมอไป
  3. ทำดีได้ดี แต่ไม่ได้หัวใจนะคะลูก
  4. บางทีเราไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ต้องการคำปลอบเฉยๆ
  5. วันที่เราอ่อนแออย่าเพิ่งรีบเข้มแข็ง เดี๋ยวแผลจะใหญ่กว่าเดิม
  6. จะรักใครมากแค่ไหน รักตัวเองให้ได้ครึ่งนึงที่รักเขาเราก็รอดแล้ว
  7. เวลาเขาตอบว่า “เลือกไม่ได้” แปลว่าเขาเลือกแล้ว นั่นคือเขาไม่ได้เลือกเรา คำตอบมีมาตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้ให้ความหวัง แต่เรายังพร้อมที่จะหลอกตัวเองต่อไป
  8. เราไม่ได้มีความสุขกับความโสดหรอก เพียงแต่คนที่เข้ามาไม่ได้ทำให้เราชอบเขามากพอที่จะสละความสุขจากความโสด

คนมีคู่

  1. เรามักจะงี่เง่ากับคนที่เราให้ความสำคัญ
  2. เรามักจะแสดงความคิดเห็น แม้ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ
  3. รักกันไม่ใช่แค่ต้องเชื่อใจกัน รักกันต้องทำตัวให้น่าเชื่อใจด้วย
  4. ความเชื่อใจ สร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก แถมลำบากจะเรียกคืน
  5. อะไรก็ตามมองอยู่ไกลๆ ยังไงก็สวย แต่อยู่ด้วยอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
  6. ความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งปกติ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ – แม้แต่ตัวเราเอง
  7. รักทางไกลวันนี้ง่ายกว่าเดิมเยอะ กดปุ่มนึงก็เจอกันแล้ว
  8. ความไกลไม่ได้ทำให้ใจห่าง แต่ทำให้คนที่ไม่ได้รักกันเท่าไหร่แสดงออกกันมากขึ้น
  9. อย่ามัวแต่มองจอจนไม่รอเจอหน้ากัน
  10. มีอะไรคุยกัน ไม่สำคัญเท่ามีอะไรฟังกันหรือเปล่า
  11. อย่ามัวแต่มองข้างหน้าจนลืมมองคนข้างๆ วันหนึ่งความสำเร็จจะอ้างว้างถ้าไม่มีคนข้างๆ ฉลองด้วย

คนมีอดีต

  1. อย่าเอาอดีตมากรีดปัจจุบัน
  2. ความระแวงจะเป็นแรงผลักให้คนอื่นดูน่ารักมากกว่าเรา
  3. ตื่นมาอีกวัน เราก็ห่างอดีตไปอีกวัน ไม่อยากมีปัจจุบันดีดี เลยไปจบอยู่กับอดีตแย่ๆ

คนอื่น

  1. แฟนเก่ากลับมาทัก ไม่ได้แปลว่าเขากลับมารักซะหน่อย
  2. ตอนเป็นแฟนกันยังคาดหวังไม่ได้ เป็นแฟนเก่าจะไปหวังให้เค้าขอโทษเหรอ
  3. ปากอยู่ที่เขา ใจอยู่ที่เรา อย่าให้ปากใครสูงค่าจนทำร้ายหัวใจเราได้
  4. คนที่เราไม่ชอบมักจะอยู่ที่หางตาของเราเสมอ
  5. อย่าทำตัวเองเป็นกล้องวงจรปิดตามติดชีวิตคนที่เราไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็แค่แยกย้าย

คนไม่ยอมแพ้

  1. ยิ้มของเราต่อชีวิตคนอื่นได้
  2. เราต้องมีความสุขให้ได้ตามเงื่อนไขที่มี
  3. สู้ทีละวัน รอดทีละวัน เดี๋ยวก็รอดทุกวัน


ติดตาม Anontawong’s Musings ตามช่องทางที่สะดวก >> https://linktr.ee/anontawong

38 ข้อคิดดีๆ จากท้อฟฟี่ แบรดชอว์

38 ข้อคิดดีๆ จากท้อฟฟี่ แบรดชอว์

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง LINE MAN Wongnai ได้รับเกียรติจากคุณท้อฟฟี่ แบรดชอว์มาบรรยายในหัวข้อ เรื่องเล็ก น้อยนิด มหาศาล

จัด WeShare มาหลายสิบครั้ง ครั้งนี่น่าจะเป็น WeShare ที่มีความ personal มากที่สุด

นี่คือข้อคิดบางส่วนที่ได้จากคุณท้อฟครับ

  1. ตอนจบปริญญาตรีใหม่ๆ เคยไปสัมภาษณ์งานกับกิจการโรงแรมแห่งหนึ่ง ต้องนั่งรอ 6 ชั่วโมง พอสัมภาษณ์เสร็จแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่อยากทำงานที่นี่ เพราะตลอด 6 ชั่วโมงที่นั่งรอ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำซักแก้วหนึ่งมาให้ดื่มทั้งๆ ที่บริษัทอยู่ในธุรกิจบริการ เราอยากอยู่ในองค์กรที่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ เพราะเราเองก็อยากเป็นคนแบบนั้น
  1. หลังจากเรียนจบโท ผมสมัครงานกับ Ogilvy ได้สัมภาษณ์กับ “พี่อิ๋ว” ที่เป็น MD ประทับใจมาก เพราะพี่อิ๋วเล่าให้ฟังด้วยว่าที่นี่เขาทำงานกันยังไง ตอนนั้นคิดในใจว่าต่อให้ไม่ได้งานที่นี่ ก็จะขอกลับมาสมัครใหม่ เพราะรู้เลยว่าที่นี่คือ “โอลิมปิก”
  1. ผมแนะนำตัวเองกับพี่อิ๋วว่า “ผมเป็นนักทำให้คนตกหลุมรักภายใน 7 วินาที” เพราะมีงานวิจัยที่บอกว่า 7 วินาทีแรกที่เราเจอกันนั้นจะสร้างภาพประทับอยู่ในใจว่าเราเป็นคนแบบไหน พี่อิ๋วจึงถามต่อว่า “งั้นท้อฟทำให้พี่ตกหลุมรักภายใน 7 วินาทีหน่อยสิ”
  1. (สำหรับพี่อิ๋ว ผมขอสองนาทีนะครับ) ในปี 1995 มีหนังชื่อ Evita ซึ่งกำลัง cast ตัวนักแสดงนำ มีทั้ง Meryl Streep, Michelle Pfifer และนักแสดงหญิงขั้นเทพอีกหลายคน แต่คนที่ได้บท Evita ไปกลับเป็น Madonna ซึ่งเป็น bad girl ในวงการ และเคยได้รางวัลนักแสดงยอดแย่มาแล้ว (Golden Raspberry Awards)
  1. สิ่งที่มาดอนน่าทำ คือเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเองหา Alan Parker ที่เป็นผู้กำกับ แล้วขอร้องว่าเลือกฉันเถอะ แล้วฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ปาร์คเกอร์สัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงเลือกมาดอนน่า และสุดท้ายเธอก็คว้ารางวัล Golden Globe นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม
  1. ผมรู้ว่าพี่อิ๋วมีช้อยส์ที่ดีกว่าผม ประสบการณ์มากกว่า เก่งกว่า ผมเพิ่งจบโทมา ไม่เคยทำ agency มาก่อน แต่ผมมี passion และความตั้งใจ ผมจะพิสูจน์ตัวเองว่าพี่เลือกคนไม่ผิด
  1. สุดท้ายผมก็ได้งานที่ Ogilvy จริงๆ เมื่อได้เข้ามาทำงาน จึงถามพี่อิ๋วว่าทำไมถึงเลือกท้อฟ พี่อิ๋วตอบว่า พี่เลือกท้อฟตั้งแต่ 7 วิแรก
  1. 7 seconds = lifetime เราต้องทำให้ 7 วินาทีนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา มันคือการต่อโปรที่เคยเป็นแค่ 7 วินาที ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ ลองคิดว่าถ้าเราใช้ทั้งชีวิตสร้าง 7 วินาทีแห่งความประทับใจอยู่ตลอด ทิศทางชีวิตเราจะเป็นอย่างไร
  1. สมัยทำงานอยู่บริษัทเก่า การทำ content ยังเป็นเรื่องใหม่ ผมเลยเดินไปขอหัวหน้าว่าอยากทำ content หัวหน้าก็อนุญาตว่าพอขึ้นปีใหม่จะให้ทำ ผมก็เฝ้ารอวันที่จะได้ทำงานใหม่ แถมมกราคมยังเป็นเดือนเกิดของผมด้วย เมื่อเดือนมกราคมมาถึง หัวหน้าก็ประกาศในที่ประชุมว่าจากนี้ไปท้อฟฟี่จะไม่ทำ AE แล้วนะ เพราะท้อฟฟี่ทำงานไม่ได้ แล้วเขาก็หัวเราะ แล้วทั้งห้องก็หัวเราะตามอย่างเสียไม่ได้ ตอนนั้นผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก
  1. Moment ที่แย่ที่สุดคือตอนโดนเชิญออกไปเป่าเค้กแล้วร้อง Happy Birthday to You เดินออกมาจากห้องประชุมแล้วรู้สึกไม่อยากมาทำงานอีกเลย ยังดีที่เพื่อนๆ พี่มาให้กำลังใจ
  1. ผมมีสองทางเลือก เชื่อว่าทำไม่ได้จริงๆ หรือออกมาลุยเอง ผมเลือกอย่างหลัง เลยเป็นจุดกำเนิดของเพจ ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
  1. มนุษย์ทำงานทุกคนน่าจะมีช่วงเวลาของการเกลียดวันจันทร์ และเราเองก็รู้ดีว่าเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในองค์กรนั้นมันเป็นยังไง อยากจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึก I hate my job ให้กลายเป็น I love my job เพราะถ้าที่ทำงานแย่ เราจะส่งต่อพลังลบให้กับคนที่บ้านด้วย แต่ถ้างานมีความสุข เราจะส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับเพื่อนและคนรอบตัว จึงเป็นที่มาของคอลัมน์ Game On, Bitch ใน The Standard
  1. มีคนทัก ส่งคำถามและฟีดแบ็คมามากมาย ครั้งหนึ่งที่ประทับใจคือมีคนเขียนมาบอกว่า “ผมอยากเป็นหัวหน้าที่ดี ที่ผ่านมาผมทำให้ลูกน้องไม่มีความสุขในที่ทำงาน ผมใช้ความโกรธในที่ทำงาน” ไม่นึกว่าข้อเขียนของเราจะมีผลงอกงามออกมาขนาดนี้ และที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าคือมันกลับมาเยียวยาตัวเราด้วย เพราะคนที่เราให้คำปรึกษาเขาตอบกลับมาว่า “ผมจะไปขอโทษลูกน้อง”
  1. เคยได้คุยกับคนทำงาน Call Center ที่ SCB อยากรู้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟทุกวัน เขาตอบว่า “พี่ครับ วันนึงผมรับสายประมาณ 70-90 สาย เดือนหนึ่งถ้าผมคิดว่ามีคนด่าผม 2,000 ครั้ง ผมจะไม่อยากมาทำงานเลย แต่พอคิดว่าจะมีอาชีพไหนที่จะมีโอกาสได้ช่วยคนเดือนละ 2,000 คน ความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไปเลย”
  1. ฮารุโกะ มิทสึ เป็นคนญี่ปุ่นที่ไปเติบโตเมืองจีนเลยพูดญี่ปุ่นไม่ค่อยได้ เมื่อกลับมาอยู่ญี่ปุ่น เลยเลือกทำงานที่ไม่ต้องพูดญี่ปุ่นมากนัก นั่นก็คือการเป็นพนักงานทำความสะอาดที่สนามบิน Haneda วันหนึ่งหัวหน้าส่งฮารุโกะไปประกวดทำความสะอาดระดับประเทศ ปรากฎว่าเธอได้ที่ 2 ฮารุโกะเสียใจมาก หัวหน้าเลยบอกว่า “ที่เธอแพ้เพราะเธอตั้งใจเกินไป พอตั้งใจมากเกิน เธอจะหลงลืมสิ่งหนึ่ง นั่นคือการสนใจลูกค้า ลืมที่จะมีรอยยิ้มให้คนที่ผ่านไปผ่านมา” พอปีต่อมาเธอเข้าประกวดอีกครั้ง และคราวนี้เธอได้ที่หนึ่ง
  1. ก่อนทำความสะอาดคุณฮารุโกะจะจินตนาการว่ามีเด็กเล็กๆ เล่นอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ถ้าเด็กคนนั้นเอามือโดนพื้นแล้วมาโดนปากจะทำยังไง ซึ่งเพิ่มความตั้งใจของเธอที่จะทำงานให้ดี เธอประดิษฐ์แปรงเล็กๆ ขึ้นมาเอง เพื่อจะได้ถูเข้าไปในซอกที่เล็กที่สุดแม้กระทั่งรูเครื่องเป่ามือ เพื่อจะให้มันแห้งจริงๆ แล้วจะได้ไม่มีกลิ่นอับ จะได้ไม่ต้องใช้น้ำยาที่กลิ่นแรง
  1. เธอเชื่อว่าถ้าห้องน้ำสะอาด ลูกค้าจะเกรงใจเอง และเธอมักจะให้รางวัลตัวเองด้วยการไปแอบในมุมห้องน้ำแล้วสังเกตสีหน้าเวลาลูกค้าเปิดประตูเข้ามา
  1. ตอนนี้ฮารูโกะมีลูกน้อง 500 กว่าคน และสนามบิน Haneda ก็ได้รางวัลสนามบินที่สะอาดที่สุดในโลก 7 ปีซ้อน
  1. เราทำงานแบบไหนจะสะท้อนว่าเรามีเป้าหมายแบบไหน ถ้ามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เราจะใส่ใจเบอร์นี้ 
  1. ใน Sunderland มีสะพานที่คนเดินไปฆ่าตัวตายเยอะมาก ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Page Hunter ซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าตัดสินใจทำเรื่องเล็กๆ ด้วยการเขียนข้อความให้กำลังใจด้วยลายมือไปแขวนอยู่ตามสะพาน แขวนทุกวันจนทำให้อัตราการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  1. ไม่ต้องเป็นหัวใจ เป็นหัวไหล่ก็พอ – เวลาเพื่อนมาปรึกษา เราจะรู้สึกว่า ทำไมเขาโง่อย่างนี้ แล้วเราก็แนะนำไป แล้วเขาก็ไม่ทำ การที่เราพยายามจะให้เขาเป็นแบบที่เราอยากให้เป็น มันก็เป็นการตัดสินเขาเหมือนกัน
  1. ผมเชื่อว่าถ้าเขามีสติ เขาจะมองเห็นทางออกเองได้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนคนเอาหน้าชนกำแพง หน้าที่ของเราคือเป็นไหล่ให้เขา ไม่ต้องไปตัดสินอะไรทั้งสิ้น เพราะถ้าเขามาหาเรา แสดงว่าเขาอยากแก้ปัญหา หน้าที่ของเราคือทำให้เขามองเห็นมุมอื่นๆ เมื่อรู้ตัวว่ามีความหมายเขาจะลุกขึ้นเดินได้เอง
  1. ชายเชื้อสายอินเดียคนหนึ่งเคยไปสัมภาษณ์งานที่ Microsoft ก่อนจบการสัมภาษณ์เขาโดนถามว่า “ถ้าเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินร้องไห้อยู่กลางถนน คุณจะทำอะไร?” เขาจึงตอบไปว่า “ผมจะโทรบอก 911 ครับ” สุดท้ายเขาได้งานที่นี่ แต่คนที่สัมภาษณ์เขามาบอกภายหลังว่า “สิ่งหนึ่งที่คุณต้องพัฒนาคือความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เวลาเห็นเด็กร้องไห้ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือเข้าไปกอดเขาให้หายร้องไห้ก่อน แล้วค่อยโทร 911” นี่คือบทเรียนที่ Satya Nadella, CEO Microsoft คนปัจจุบันจำไม่เคยลืม
  1. เวลาเจอคนร้องไห้ เราจะรีบหาทางออกบางอย่าง ด้วยการเอาประสบการณ์ของเราไปทาบเขา แม้จะเริ่มต้นด้วยความตั้งใจที่ดี ถ้าเราบอกเขาว่าต้องทำอะไร มันอาจจะเป็นการดันเขาออกไปเช่นกัน เพราะเขาอาจจะคิดว่าไม่มีใครเข้าใจฉันเลย หรือเรื่องแค่นี้ทำไมฉันคิดเองไม่ได้ 
  1. ปีที่แล้วผมได้รับมอบหมายให้เขียนหนังสือประวัติของอากงด้วยการไปสัมภาษณ์คนในครอบครัว แล้วก็ได้พบว่าความทรงจำแต่ละอย่างเกี่ยวกับอากงเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนั้น น้องสาวของอากงบอกว่า “เฮียมักจะประดิษฐ์ของเล่นให้น้อง ซ่อมเสื้อผ้าให้”  พ่อผมบอกว่า “เวลาไม่มีแอร์ เตี่ยจะขึ้นไปฉีดน้ำบนหลังคา”  ลูกพี่ลูกน้องบอกว่า “น้องลิดาชอบไปเล่นกับอากง เล่นทำอาหาร ไปเสิร์ฟให้อากง แล้วอากงก็จะทำท่ากินแล้วอร่อยมาก” 
  1. ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์พี่เบิร์ด ธงไชย หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ พี่เบิร์ดบอกว่า ถ้าท้อฟฟี่มีความสุขอย่าลืมไปบอกพ่อแม่นะ ท่านจะได้รู้ว่าเรานึกถึงท่านเวลาเรามีความสุข แล้วพี่เบิร์ดก็ให้ผม video call หาคุณพ่อคุณแม่กัน ชมผมให้แม่ฟัง และร้องเพลงให้คุณพ่อฟัง
  1. พี่เบิร์ดเชื่อว่าเราสามารถสร้าง “moment ดอกไม้บาน” ได้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ แต่ว่ามันจะยิ่งใหญ่อยู่ในใจได้ยาวนาน
  1. เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผมเป็นคนบ้าทำงานมาก ทำงานข้ามวันข้ามคืน กลัวว่าถ้าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จพ่อแม่จะไม่ภูมิใจในตัวเรา – ศุกร์ 12 สิงหา 2554 ถ้าเป็นปีอื่นๆ จะกลับไปอยู่กับแม่ แต่ผมเลือกใช้วันนั้นทำงาน พอตื่นมาตอนเช้า รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับหน้าอก เลยขับรถไปหาหมอ หมอตรวจแล้วแจ้งว่าหัวใจห้องหนึ่งของผมกำลังจะหยุดเต้น ต้องทำบอลลูนเดี๋ยวนี้
  1. ผมโทรไปหาคุณพ่อซึ่งอยู่ต่างจังหวัดกับคุณแม่ที่เพชรบูรณ์ พ่อกับแม่เป็นหมออยู่แล้ว เลยยกโทรศัพท์ให้หมอได้คุยกันเองก่อน พอคุยเสร็จ พ่อก็ขอคุยกับผม แล้วบอกว่า “ลูกรัก ไม่ต้องกลัว เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกมีชีวิตอยู่” ผมคิดในใจว่าที่ผ่านมาเราบ้างานมากเลย และนี่คือคำพูดของคนที่เราละเลย
  1. หลังจากทำบอลลูนเสร็จ พี่ชายซึ่งเรียนหมอก็เดินร้องไห้มาหา บอกผมว่าการผ่าตัดเมื่อกี้ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องผ่าตัดบายพาสทันที มีความเป็นไปได้สี่ทางคือ 1.รอดปลอดภัย 2.อัมพาต 3.อัมพฤกษ์ และ 4.เสียชีวิต
  1. ก่อนผ่าตัด ได้โทรคุยกับแม่อีกครั้ง แม่บอกว่า “หนูไม่ต้องกลัว เมื่อลูกตื่นขึ้นมา ลูกจะเห็นป๊ากับแม่อยู่ข้างๆ” และภาพแรกที่ได้เห็นตอนตื่นมา คือแม่มาอยู่ข้างเตียงจริงๆ คอยป้อนน้ำป้อนข้าวให้ 
  1. พี่ชายบอกว่า เส้นเลือดที่ทำได้บายพาสอยู่ได้ 30 ปี เสร็จแล้วอาจจะต้องมาผ่าตัดใหม่ เหตุการณ์นี้เกิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว แสดงว่าผมยังเหลือเวลาอีกแค่ 20 ปีเท่านั้น พอเรารู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือไม่มาก วิธีการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป
  1. “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้” แค่ใส่ “นี้” เข้าไปมันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมด เพราะเราจะมีเหลืออีกกี่เดี๋ยว ทุกเรื่องเล็กๆ จึงเป็นเรื่องใหญ่ ทุกเรื่องที่เราทำเป็นเรื่องสำคัญหมด ถ้ามีเวลาเหลือแค่ 20 ปี ก็อยากจะทำให้ 20 ปีนั้นโคตรดีที่สุดในชีวิต
  1. Martin Luther King  เคยกล่าวไว้ว่า “If you cannot do great things, do small things in a great way” คุณอยากทำอะไรเล็กๆ ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก น้อยนิด มหาศาลบ้าง
  1. ถาม:เหตุการณ์หัวหน้าที่เคยบอกในที่ประชุมว่าเราจะเปลี่ยนงานเพราะเราทำไม่ได้ ถ้าเป็นคุณท้อฟฟี่ตอนนี้จะกลับไปบอกตัวเองในตอนนั้นยังไง?

ตอบ: ทุกอย่างเป็นครูของเราได้หมด เขาลงทุนมาเป็นตัวอย่างแย่ๆ ให้เราแล้ว เราจึงควรขอบคุณเขา เพราะถ้าวันหนึ่งเราโตไปเป็นคนที่เราเคยเกลียด อันนั้นจะน่าเสียใจมาก เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ เราทำได้แค่ปัจจุบัน ทุกครั้งที่เราได้ช่วยใคร เรากำลังไปหยุดคนที่กำลังจะกลายเป็น bad boss ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ดีต่อหัวใจมากกว่าการคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

  1. ถาม: อะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง

ตอบ: อยากเปิดคอร์ส storytelling โดยจะลองทำ pilot เพื่อเก็บฟีดแบ็คก่อน

  1. ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจออกจาก Ogilvy เพราะรู้สึกว่าชีวิต secure มากขึ้น ผมคิดว่าเราต้องมีนามสกุลเป็นของตัวเอง อย่าไปพึ่งนามสกุลที่เป็นชื่อบริษัท เพราะคนเขาอาจจะคิดว่าเราเก่งเพียงเพราะเราอยู่บริษัทนี้รึเปล่า
  1. ในหนึ่งปีเราควรมีหนึ่งโปรเจคที่เราไม่เคยทำมาก่อนเลย ผมเคยไปเรียนมวยไทย ซึ่งไม่เข้ากันเลยกับตัวเอง ทั้งเจ็บ ทั้งร้อน แล้วก็ได้พบว่าแค่เปลี่ยนสนามเราก็ไม่ใช่ที่หนึ่งแล้ว มันทำให้เรารู้ว่ายังมีคนเก่งกว่าเราอีกเยอะ มันทำให้เราไม่กร่าง มันทำให้เรารู้จักชื่นชมคนอื่น

19 ข้อคิดจากรวิศ หาญอุตสาหะ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทาง LINE MAN Wongnai ได้รับเกียรติจาก “พี่แท็ป” รวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของศรีจันทร์และเจ้าของเพจ Mission to The Moon มาเป็นวิทยากร

นี่คือส่วนหนึ่งจากการบรรยายของพี่แท็ปครับ

  1. นอกจาก hard skills และ soft skills แล้ว เรายังต้องพัฒนา meta skills อย่าง growth mindset, comfort with change และ self-direction ด้วย
  2. เรามักจะนึกว่า AI จะมาทำงานแทนคนแก่ แต่จริงๆ แล้ว 40% ของงานที่จะถูก AI และ Automation มาทดแทนนั้นเป็นงานของคนวัย 18-34 ปี
  3. ภายในปี 2025 AI อาจจจะทำงานมากกว่าคนในหลาย industry และเรตการนำ AI มาใช้จะเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ เพราะเมื่อรัฐ reskill คนไม่ทัน ทางเลือกสุดท้ายก็คือการบล็อคด้วยกฎหมาย
  4. งานของเราจะถูก disrupt หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานเป็นหุ่นยนต์รึเปล่า ถ้านายสั่งมาแค่ไหนก็ทำแค่นั้น แสดงว่าเราก็อาจจะถูกแย่งงานได้
  5. ในปีที่ผ่านมา Top 10 courses ที่มีคนลงเรียนมากที่สุดใน Coursera มีวิชา Mindfulness ติดอยู่ในอันดับ 4
  6. แต่ก่อนคนเก่งแบบตัว I คือรู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียวก็พอแล้ว ยุคถัดมาคนต้องเก่งแบบตัว T คือรู้ลึกในหนึ่งเรื่อง และรู้กว้างอีกหลายๆ เรื่อง แต่ยุคนี้เราต้องรู้แบบตัว Y คือเอาความรู้ของศาสตร์อย่างน้อย 2 เรื่องแบบลึกซึ้ง และนำมาบูรณาการ ซึ่งถ้าทำได้ คนอื่นจะสู้เราไม่ได้เลย
  7. ความรู้แบบ Y นั้น ขาหนึ่งควรจะเป็น solid science ส่วนอีกขาหนึ่งเป็น art ยกตัวอย่างเช่น Robert Lang นักฟิสิกส์ที่โปรดปรานการพับกระดาษแบบ Origami มาก สุดท้ายเขานำ 2 ศาสตร์มารวมกันจนพบวิธีการพับ airbag ในรถตยนต์ที่พุ่งออกมาจากด้านข้างได้ รวมถึงคิดวิธีการพับแผงโซล่าร์เซลล์ขนาดเท่าสนามฟุตบอลให้นาซ่า โดยเลียนแบบการพับแผงคอของกิ้งก่า
  8. ความผิดพลาดนั้นที่ทำงานนั้นเป็น Spectrum คล้ายๆ สีรุ้ง ไล่จาก ประมาท ละเมิดกฎ ไม่ละเอียด ระบบไม่ดี งานซับซ้อน ทดสอบไอเดีย ทดสอบธุรกิจใหม่ๆ ถ้าผิดพลาดเพราะเหตุอย่างแรกๆ บริษัทต้องลงโทษ แต่ถ้าผิดพลาดเพราะเหตุผลอย่างหลังๆ คือการทดสอบไอเดียหรือธุรกิจใหม่ๆ บริษัทต้องชื่นชม
  9. ถ้าคุณมี Critical Thinking คุณจะไม่ทำให้นายโมโห เพราะคุณจะคิดได้ก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ
  10. ยุโรปมีชีสหลายชนิดหลายยี่ห้อให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ถ้าเราเป็นบริษัทชีสเล็กๆ เจ้าหนึ่งเราจะทำยังไงให้ชีสของเราเป็นที่จดจำได้ ลองเข้า Youtube แล้วเสิร์ชคำว่า Panda Cheese ดู https://bit.ly/3eqC5W8
  11. คนไม่ใช่ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของบริษัท คนที่ใช่ต่างหากที่เป็น – People are not your most important asset, the right people are. -Jim Collins
  12. การคิดแบบ First-Principle Thinking ทำให้ Elon Musk สามารถผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ที่เคยมีต้นทุน $600 ให้เหลือเพียง $70 ได้
  13. โปรดระวัง spill-over effect – คนไม่ดีจะส่งต่อพลังลบไปยังคนอื่นได้ ถ้าคนๆ นั้นมีความขี้โกง 100 คะแนน จะทำให้คนอื่นๆ ในทีมมีโอกาสขี้โกงไปด้วย 59 คะแนน
  14. ถ้ายืนคนละฝั่ง คนหนึ่งจะเห็นเลข 6 และอีกคนจะเห็นเลข 9 ซึ่งก็ถูกทั้งคู่
  15. Learning Pyramid การนั่งฟัง lecture จะได้ผลน้อยสุด การสอนคนอื่นจะได้ผลสูงสุด ถ้าอ่านหนังสืออะไรมาแล้วเราอยากเข้าใจให้มากขึ้น ให้เขียนสรุปออกมาแล้วเราจะได้ประโยชน์มากที่สุด
  16. ถ้าอยากมีอิสรภาพ คุณต้องมีวินัย วินัยทางการเงินจะทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงิน ถ้าอยากมีอิสรภาพในการเคลื่อนไหวร่างกายตอนแก่ คุณต้องมีวินัยในการออกกำลังกายเสียแต่วันนี้
  17. การเก็บเงินนั้น จำนวนเงินที่เก็บไม่สำคัญเท่ากับความสม่ำเสมอในการเก็บ ดังนั้นเริ่มต้นจากน้อยๆ แต่สม่ำเสมอคือดีที่สุด
  18. Scott Turow มีงานประจำแถมยังมีลูกเล็ก จึงแทบไม่มีเวลาว่าง เขาจึงเขียนหนังสือช่วงเดินทางไปทำงานทุกวัน ขาไป 15 นาที ขากลับ 15 นาที จนได้หนังสือชื่อ Presumed Innocent ที่ขายได้กว่า 10 ล้านเล่ม
  19. พอดคาสท์ที่พี่แท็ปฟังประจำคือ Business war, How I built this, and TED Daily

ใครอยากอ่านเพิ่มเติม สามารถตามไปอ่าน WeShare ของพี่แท็ปกับ Wongnai เมื่อสามปีที่แล้วที่ 10 เรื่องที่ได้เรียนรู้จากคุณรวิศ Srichand ครับ