วันที่ได้มาคือวันเริ่มนับถอยหลังการสูญเสีย

เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องชั่วคราว ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป – แม้กระทั่งตัวเราเอง

เมื่อได้รถในฝันมาสักคัน มันคือการเริ่มนับถอยหลังวันที่จะสูญเสียรถคันนั้น

เมื่อได้ตำแหน่งสูงๆ มาครอง มันก็คือการนับถอยหลังถึงวันที่เราจะเป็น nobody ไม่มีลาภยศสรรเสริญ

เมื่อได้อยู่กับคนที่เรารัก มันก็คือการนับถอยหลังที่วันหนึ่งเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ฟังดูหดหู่ แต่มันก็ทำให้เราตระหนักรู้ในคุณค่าของสิ่งที่เรามี เพราะบางทีเราก็ชอบหลอกตัวเองว่ายังเหลือเวลาอีกถมเถ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเลยที่รู้อนาคต

เรากำลังนับถอยหลังกันอยู่ รู้ตัวกันมั้ย

และเมื่อรู้ตัวแล้ว เราจะทำสิ่งใดให้ต่างออกไปบ้างรึเปล่า


ขอบคุณประกายความคิดจากธรรมบรรยายพี่พศิน อินทรวงค์ บน Youtube

เหลือ 8 ที่นั่ง – Time Management Workshop รุ่นที่ 16 วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม เวลา 9:00-12:00 ครับ ดูรายละเอียดได้ที่ bit.ly/time31oct20

ไม่ต้องเป็นคนมีวินัยก็ได้ แค่เป็นคนมีสัจจะก็พอ

บ่ายวันเสาร์เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมไปสอน Time Management ให้กับบริษัทเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ตอนช่วงถาม-ตอบ มีคนถามผมว่า ผมทำยังไงถึงมีวินัยเขียนบล็อกวันละตอนติดต่อกันได้นานหลายปีขนาดนี้

ผมตอบแทบจะในทันทีว่า ผมไม่ได้เป็นคนมีวินัยเลยนะ แต่ผมอยากเป็นคนมีสัจจะ

การเป็นคนมีวินัยนั้นทำได้ยากมาก เราเคยตั้ง New Year’s Resolutions แล้วล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เลยยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่าเราเป็นคนไม่มีวินัย พอเราเห็นคนที่ทำอะไรได้ทุกวัน เราก็มองเขาด้วยความชื่นชมปนอิจฉาว่าเขาเป็นคนมีวินัยจังเลย เมื่อไหร่เราจะเป็นอย่างเขาได้สักทีนะ

วิธีคิดที่อาจจะได้ผลกว่า คือไม่ต้องขอให้ตัวเองเป็นคนมีวินัยหรอก ขอแค่เป็นคนมีสัจจะก็พอ

เพราะอย่างน้อยที่สุด เราน่าจะเชื่อว่าตัวเองเป็นคนมีสัจจะอยู่ประมาณหนึ่ง

ลองมีสัจจะกับเรื่องเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยคิดมีสัจจะกับเรื่องใหญ่

มีสัจจะกับเรื่องง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยมีสัจจะกับเรื่องยากๆ

สมมติว่าเราอยากแข็งแรงขึ้น ลองบอกตัวเองว่าจากนี้ไปเราจะทำแพลงค์วันละ 20 วินาทีติดต่อกัน 3 วัน

ตั้งเป้าหมายให้ง่ายเสียจนไม่เหลือข้อแก้ตัว เพราะทำแพลงค์ 20 วินาทีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลาหรือไม่มีเวลา

ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำหรือจะไม่ทำเท่านั้นเอง

ถ้าทำ เราก็จะรักษาสัจจะของเราได้

ถ้าเราไม่ทำ ก็แสดงว่าเราเป็นคนไร้สัจจะ สั้นๆ ง่ายๆ แค่นั้น

พอทำแพลงค์ครบ 3 วัน ค่อยต่อเวลาเป็นหนึ่งสัปดาห์ พอครบหนึ่งสัปดาห์ค่อยต่อเป็นหนึ่งเดือน แล้วสุดท้ายเราจะเป็นคนที่ทำแพลงค์ได้ทุกวันและทำได้นานเป็นนาที

สิ่งสำคัญคืออย่ารีบร้อน คนที่ล้มเหลวหรือล้มเลิกส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะด้วยความยากหรืออุปสรรคแต่เป็นการตกม้าตายเพราะความใจร้อนของตัวเอง ถ้าเราแพลงค์ 20 วิ ครบ 3 วันแล้วบอกว่าจากนี้ไปจะแพลงค์วันละ 3 นาทีติดต่อกัน 1 เดือน มันจะเป็นการชกข้ามรุ่นแล้วคุณจะโดนน็อค

ตอนที่ผมเริ่มเขียนบล็อกอย่างจริงจังเมื่อต้นปี 2015 ผมก็เริ่มจากการเขียนให้ได้ 3 วันติดกันก่อน พอครบสามวันก็ค่อยขยายเวลาเป็นหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน และสามเดือน พอเขียนครบ 100 ตอนก็ประกาศออกสื่อ (ที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนอ่าน) ว่าจะเขียนบทความใหม่ทุกวัน

ถามว่าผมรักษาสัจจะได้ไร้ที่ติมั้ย-ก็ไม่ ก็มีบางวันที่อู้บ้าง มีไปเที่ยวยาวๆ แล้วไม่ได้เขียนบ้าง แต่ก็ไม่เก็บสิ่งเหล่านั้นมาทับถมตัวเอง ก็แค่ยอมรับว่าเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ ก็แค่เริ่มนับหนึ่งใหม่

แล้วเมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานพอ มันจะมีแรงบวกที่มาส่งเสริมอย่างน้อยสองแรง

หนึ่งคือเราจะเก่งขึ้นในเรื่องนั้นๆ อย่างช่วยไม่ได้ และพอเราเก่งขึ้น เราก็จะสนุกกับมันมากขึ้น

สองคือสิ่งใดก็ตามที่เราทำอย่างสม่ำเสมอมันจะกลายมาเป็น habit หรือกิจวัตรที่เราทำโดยอัตโนมัติ ทำโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าจะทำดีรึเปล่า ที่เราเห็นคนอื่นว่ามีวินัย จริงๆ เขาอาจแค่ทำกิจวัตรของตัวเองเท่านั้น

ไม่ต้องเป็นคนมีวินัยหรอก แค่เป็นคนมีสัจจะก็พอ

เริ่มจากสัจจะง่ายๆ แล้วเราจะกลายเป็นคนมีวินัยโดยไม่ต้องพยายามครับ


เหลือ 12 ที่นั่ง – Time Management Workshop รุ่นที่ 16 วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม เวลา 9:00-12:00 ครับ ดูรายละเอียดได้ที่ bit.ly/time31oct20

17 วิธีมีเวลาให้มากขึ้น

  1. ตระหนักว่าบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องของเวลา – สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการจัดการเวลาคือการจัดการพลังในตัวเรา ถ้าพลังเรามีเต็มเปี่ยม เราจะทำงานเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าพลังงานเหลือก้นถัง ต่อให้นั่งอยู่ทั้งวันก็อาจจะทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง
  2. นอนให้พอ – การนอนคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของชีวิต แม้ว่านอนแล้วจะหาอาหารไม่ได้ สืบพันธุ์ไม่ได้ ป้องกันตัวก็ไม่ได้ แต่วิวัฒนาการก็ยังบังคับให้สัตว์ทุกตัวบนใบโลกนี้ต้องนอนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าอยากมีพลังงานที่เต็มเปี่ยม จงนอนให้พอเสียก่อน
  3. ตื่นให้เช้า – เมื่อเราตื่นเช้า เราจะเป็นนายของเวลา เราจะทำอะไรต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเร่งรีบ เราจะเลี่ยงรถติดและคิวยาวๆ ซึ่งจะทำให้เราไม่สูญเสียพลังงานและสุขภาพจิตโดยใช่เหตุ
  4. เข้านอนก่อนสี่ทุ่ม – เป็นวิธีการนอนตื่นเช้าได้โดยไม่ต้องพยายาม ตื่นได้โดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก ร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่นั้นถูก optimize ให้นอนช่วงเวลานี้อยู่แล้ว นอนสี่ทุ่มตื่นตีห้านั้นจะเฟรชกว่านอนตีหนึ่งตื่นแปดโมงแม้ว่าจะได้นอน 7 ชั่วโมงเท่ากัน
  5. ชาร์จมือถือไว้นอกห้อง – ถ้าอยากเข้านอนได้เร็วๆ ให้ชาร์จมือถือไว้นอกห้อง เราควรจะพาตัวเองออกห่างจากจอ LED ก่อนเวลานอนอย่างน้อยซัก 1 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้น blue light ที่มาจากจอนั้นจะหลอกร่างกายเราว่าฟ้ายังสว่างอยู่ สาร melatonin จะไม่หลั่ง แล้วเราจะนอนไม่ค่อยหลับหรือถึงหลับก็หลับไม่สนิท
  6. ล็อกเอาท์จากโซเชียล – ถ้ารู้สึกว่าเรากำลังใช้เวลาบนโซเชี่ยลมากไป ให้ลอง log out จากแอป แล้วถ้าจะเข้าก็เข้าผ่าน browser บนมือถือแทน ประสบการณ์การใช้โซเชี่ยลจะติดๆ ขัดๆ จนเราไม่ได้เพลิดเพลินกับมันจนเกินเวลา
  7. ห้ามใจไม่ไป war กับใครบนโซเชี่ยล – การทะเลาะกันในช่องคอมเม้นท์นั้นเป็นเรื่องเสียเวลาขั้นสุด ผมยังไม่เคยเห็นคนเก่งๆ ที่ผมยอมรับนับถือไปคอมเม้นท์ทะเลาะกับใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว
  8. ปิด notifications – สิ่งที่เราจะได้มากับการเปิด notifications คือการเป็นคนที่พะวงตลอดเวลา เป็นหมาของ Pavlov ที่ได้ยินเสียงระฆังแล้วน้ำลายไหลวันละหลายสิบครั้ง ส่วนตัวผมจะเปิด noti แค่ calendar, sms และ Slack เท่านั้น
  9. ใส่นาฬิกาข้อมือ – จะได้ดูเวลาได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู ซึ่งพอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาแล้วก็มักจะเผอเรอกดแอปอย่างอื่นดูโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง
  10. ใช้ Facebook Kill News Feed extension ใน Chrome – ใครติด Facebook ในคอมมากๆ ให้ลองเสิร์ช extension ตัวนี้แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยน
  11. ใช้เงินทำงาน – ในหนังสือ Your Money / Your Life (เงินหรือชีวิต) ให้นิยามไว้ว่า “เงินคืออะไรก็ตามที่เราใช้เวลาไปแลกมันมา” สมมติว่าเราเงินเดือน 30,000 บาท ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง รวมเวลาเดินทางอีก 10 ชั่วโมงเป็น 50 ชั่วโมง หนึ่งเดือนมีสี่สัปดาห์เท่ากับ 200 ชั่วโมง เอา 30,000/200 = 150 บาท ต่อชั่วโมง ดังนั้นอะไรก็ตามที่ต้องเสียเวลาเกิน 1 ชั่วโมงเพื่อให้ได้มาหรือประหยัดเงินไปได้ 150 บาทถือว่าไม่ใช่เรื่องที่คุ้มเท่าไหร่ สู้เอาเงินนั้นไปจ้างคนอื่นทำงานให้เราดีกว่า
  12. ไม่ซื้อของผ่อน – การผ่อน 0% สิบเดือนนั้นจะทำให้เราซื้อทั้งๆ ที่ยังมีกำลังไม่พอ เป็นการสร้างภาระให้ตัวเราเองในอนาคต ถ้าการซื้อของผ่อนทำให้เราซื้อของที่ไม่จำเป็นเข้าบ้าน 15,000 บาท นั่นแปลว่าเรากำลังจะเสียเวลาในชีวิตไปอีก 100 ชั่วโมงเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา
  13. ปฏิเสธคนให้เป็น – Say “No” with an option – เราไม่ปฏิเสธใครเพราะเราเป็นคน nice หรือเพราะเราเป็นคนไม่กล้า? ถ้าปัญหาคืออย่างหลังก็อาจถึงเวลาต้องมีความกล้ามากกว่านี้ เพราะถ้าเรา say yes กับทุกอย่างเราจะทำไม่ได้ดีสักอย่าง หัดปฏิเสธคนอย่างมีศิลปะด้วยการมอบทางเลือกให้กับเขา เช่นแนะนำคนอื่นที่ช่วยเขาได้ หรือถ้าต้องเป็นเราจริงๆ ก็ขอให้เขารอให้เราทำงานสำคัญของเราให้เสร็จก่อน
  14. ทำงานเล็กๆ ให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง – Parkinson’s Law บอกว่า work expands so as to fill the time available for its completion เมื่อเราเผื่อเวลาให้กับงานมากเท่าไหร่ งานมันก็จะขยายตัวจนใช้เวลาเหล่านั้นจนหมด ภาพความทรงจำสมัยเรียนยังเด่นชัด อาจารย์ให้เวลาทำ assignment หลายอาทิตย์แต่เราก็มักจะมาปั่นในคืนสุดท้ายอยู่ดี ดังนั้น ถ้ามีงานชิ้นเล็กๆ ที่ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก ลองรวบรวมมาสัก 4-5 งานแล้วลองเล่นเกมกับตัวเองดูว่าภายใน 1 ชั่วโมงจะทำงานเหล่านี้เสร็จสักกี่ชิ้น
  15. เช็คเมลวันละ 3 ครั้ง – บางคนมี Outlook เป็นสรณะ เปิดทิ้งไว้ทั้งวัน เมลเด้งทีก็คลิกเข้าไปอ่านทีหนึ่ง แล้วอย่างนี้จะทำงานใหญ่ได้อย่างไร ถ้าเราไม่ได้ทำงาน support ที่ต้องรีบตอบเมล ขอแนะนำให้ปิด Outlook/Gmail ไปเลย แล้วเข้ามาเช็คแค่วันละ 3 ครั้งก็พอ 10am, 1pm, 4pm ถ้าเรื่องมันด่วนจริงเขาคงโทรหาไปแล้ว
  16. เปลี่ยนเรื่องสำคัญให้กลายเป็น habit – อะไรที่เป็นเป้าหมายระยะยาวของเรา เช่นเรื่องสุขภาพ เรื่องจิตใจ เรื่องการเรียนรู้ ลองเปลี่ยนมันให้เป็นกิจวัตร แล้วเราจะทำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพและแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม ดังนั้นจึงใช้เวลาน้อยแต่สม่ำเสมอ และผลตอบแทนทบต้นนั้นสูงยิ่งนัก
  17. ให้เวลากับสิ่งที่เรารัก – burnout ไม่ได้เกิดจากการทำงานมากเกินไป แต่เกิดจากการปล่อยให้งานเข้ามาเบียดบังชีวิตส่วนตัวจนเราไม่เหลือแรงและเวลาไปทำสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจเราได้เลย ซึ่งแรกๆ ก็ยังพอทนได้ แต่พอนานๆ ไปจิตใจแห้งผากเหมือนดินหน้าแล้งแดนอีสาน เราจะโกรธบริษัท โกรธหัวหน้า แล้วอาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรที่ผลีผลามและเป็นผลเสียต่อทุกฝ่าย ทางที่ดีกว่าคือการจัดเวลาให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ชอบเป็นประจำ เมื่อเติมตัวเองเต็มแล้ว เราจึงจะทำเพื่อหน้าที่และทำเพื่อคนอื่นได้อย่างเต็มใจและยั่งยืน

หากอยากเรียนรู้เรื่องการจัดการเวลาในเชิงลึก ขอเชิญมาร่วม Time Management Workshop รุ่นที่ 16 วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม เวลา 9:00-12:00 ครับ ดูรายละเอียดได้ที่ bit.ly/time31oct20

แค่เรื่องสำคัญก็ทำไม่หมดแล้ว

เหตุใดจึงสรรหาเรื่องไม่สำคัญมาเพิ่มภาระให้ตัวเองอีก

อาจเพราะมือยังไถฟีด ตายังสอดส่อง ใจยังแส่ส่าย เราจึงไม่เคยมีเวลามองตัวเองด้วยใจที่เป็นกลาง

เรารู้สึกโหวงๆ และว่างเปล่า เราเลยมองหาสิ่งภายนอกมาถมที่ว่างภายในใจ ต้องหาอะไรทำ ต้องซื้ออะไรเข้าบ้าน ต้องออกไปโน่นไปนี่ตลอดเวลา เพื่อกลับมาพบกับความว่างเปล่าเหมือนเดิม

พื้นที่ว่างภายในใจไม่อาจถูกเติมเต็มได้ด้วยสิ่งที่ฉาบฉวย

ที่มันยังโหวงๆ เพราะมันมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ มันไม่เคยอยู่ใน to-do list ของเราเลยด้วยซ้ำ แต่เราจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่ามันคืออะไรหากเราไม่เคยให้เวลากับตัวเอง

เวลาเช้าๆ หรือเย็นๆ ลองไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านหรือในสวนสาธารณะซัก 20-30 นาที เดินแบบรู้เนื้อรู้ตัวและรู้ใจที่กำลังคิด ตั้งคำถามกับชีวิตที่เรามี อะไรที่เรากำลังทำมากเกินไป อะไรที่เรายังทำไม่พอ แล้วเราจะมียุทธศาสตร์หรือวิธีการอย่างไรเพื่อจะลดสิ่งที่เราทำมากเกินไป เพื่อจะได้มีแรงและเวลาทำสิ่งที่เราละเลยและเป็นสิ่งที่ข้างในเรียกร้องมาโดยตลอด

“I have enough essential things to fill my life.”
-Greg McKeown, author of Essentialism

แค่เรื่องสำคัญในชีวิตเราก็ทำไม่หมดแล้ว

อย่าเอาชีวิตไปทิ้งขว้างกับเรื่องไม่สำคัญอยู่เลย

นิทานรถเก่า

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ลูกสาวเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยม

“เพื่อฉลองลูกเรียนจบ พ่อจะยกรถของพ่อให้คันนึง แต่ก่อนอื่นพ่ออยากให้ลูกเอารถคันนี้ไปตีราคาที่เต็นท์รถมือสองให้พ่อหน่อย”

ลูกสาวเลยขับรถไปที่เต็นท์รถแล้วกลับมาบอกพ่อ

“เค้าบอกว่ารับซื้อแค่ 50,000 ค่ะ เพราะมันเก่ามากแล้ว”

“งั้นลูกลองเอาไปโรงจำนำดูบ้างซิ”

ลูกไปโรงรับจำนำแล้วกลับมารายงาน

“เค้าให้แค่ 5,000 เองค่ะพ่อ”

“ถ้างั้นลูกลองเอารถไปที่ชมรมคนรักรถซิ”

ลูกไปถึงแล้วก็กลับมารายงาน

“เค้าบอกว่าคันนี้ราคา 500,000 ค่ะ เพราะเป็นรถนิสสัน Skyline R34 เป็น collector’s item ที่หายาก คนเล่นรถชอบสะสมกัน”

“ที่ที่ใช่จะรู้คุณค่าของลูก ถ้าลูกเจอที่ทำงานที่เขาไม่เห็นคุณค่าของลูกก็อย่าไปโกรธเขา เราก็แค่ไม่เหมาะกัน ลูกจงหาที่ทำงานที่เขาเห็นและให้คุณค่ากับลูกนะ”


ขอบคุณนิทานจาก Quora: Amin Sah’s answer to What interesting thing did you read today?