50 เรื่องที่ไม่ต้องรู้ก็ได้

  1. ไพ่คิงโพธิ์แดงเป็นไพ่คิงใบเดียวที่ไม่มีหนวด
  2. เวลาคนโกหก อุณหภูมิบริเวณจมูกจะอุ่นขึ้น อาการนี้มีชื่อว่า “พิน็อคคิโอเอ็ฟเฟค”
  3. เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1930 สำนักข่าว BBC แจ้งว่าพวกเขาไม่มีข่าวให้รายงาน ก็เลยเปิดเพลงบรรเลงเปียโนตลอดทั้งวัน
  4. มีการคาดคะเนว่า คนที่สามารถกระดิกหูและยักคิ้วข้างเดียวได้นั้นมีเพียง 10%-20% ของประชากร
  5. นักเก็ตไก่นั้นมีเนื้อไก่แค่ 40% ที่เหลือเป็นไขมัน หนัง เส้นเลือด และเศษกระดูก
  6. ยีนของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เหมือนกัน 99.9%
    ยีนส์ของมนุษย์กับชิมแปนซีเหมือนกัน 96%
    ยีนส์ของมนุษย์กับแมวเหมือนกัน 90%
    ยีนส์ของมนุษย์กับหมาเหมือนกัน 84%
    ยีนส์ของมนุษย์กับกล้วยเหมือนกัน 60%
  7. มีคนประมาณ 68% ที่มีอาการ ‘phantom vibration syndrome’ นั่นคือนึกว่ามือถือในกระเป๋าตัวเองสั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้สั่น
  8. แมวไม่อาจรับรู้รสน้ำตาลได้เพราะไม่มีต่อมรับรสหวาน เนื่องจากหนึ่งในยีนสองตัวที่จำเป็นสำหรับการรับรู้รสหวานนั้นถูกปิดใช้งานไปเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว
  9. ครั้งหนึ่งเลขาในบริษัทแอปเปิ้ลมาทำงานสายเพราะรถเสีย สตีฟ จ๊อบส์เลยเอารถจากัวร์ให้เธอหนึ่งคันและกำชับว่า “อย่ามาสายอีกล่ะ”
  10. โดยเฉลี่ยแล้วเราใช้เวลาถึงวันละ 45-62 นาทีสำหรับการรอเฉยๆ
  11. จักรพรรดินโปเลียนเคยถูกฝูงกระต่ายจู่โจม
  12. รอยเท้าบนดวงจันทร์จะอยู่ตรงนั้นไปอีก 100 ล้านปี
  13. นมของฮิปโปมีสีชมพู
  14. หมีขั้วโลกกินเนื้อได้ถึงมื้อละ 50 ปอนด์ (23 กิโล)
  15. ผู้คิดค้นเก้าอี้ไฟฟ้าเป็นทันตแพทย์
  16. หอยทากสามารถหลับได้ยาวนานถึง 3 ปี
  17. ในปี 2015 นักสำรวจของนิตยสาร National Geographic ค้นพบว่ามีปลาฉลามอาศัยอยู่ใน “Kavachi” ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟใต้น้ำที่มีพลังมากที่สุดในโลก (one of the most active underwater volcanoes on earth) นักดำน้ำไม่สามารถเข้าไปดูได้เนื่องจากความร้อนและความเป็นกรดเลยจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์สำรวจแทน
  18. คำว่า “Dude” นั้นใช้ได้กับทั้งเพศชายและหญิง
  19. มีประมาณการว่า ทุกปีจะมีชาวอเมริกัน 2,450 เสียชีวิตเพราะหัวใจวายระหว่างการมีเซ็กส์
  20. ลามะตัวผู้จะกัดอัณฑะของลามะตัวอื่นเพื่อกำจัดคู่แข่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์
  21. คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำรายได้ถึง 1 พันล้านเหรียญ และเป็นนักกีฬาคนที่สามต่อจากไทเกอร์ วู้ดส์ และ ฟลอยด์ เมย์เวเธ่อร์
  22. Nikola Tesla (ผู้คิดค้นกระแสไฟฟ้า AC) จะนวดหัวแม่เท้าข้างละ 100 ครั้งก่อนนอนทุกคืนเพราะเชื่อว่าทำให้เซลส์สมองทำงานได้ดีขึ้น
  23. เวลาอุ่นพิซซ่าในไมโครเวฟ ถ้าเอาน้ำใส่ถ้วยวางไว้ข้างๆ ด้วยจะช่วยรักษาความกรอบของพิซซ่าได้
  24. ถ้าสัตว์เลี้ยงชอบทำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ตอนอยู่ใกล้ๆ เรา นั่นแปลว่ามันตั้งชื่อให้เราเรียบร้อยแล้ว
  25. นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่า โลกกำลังมุ่งสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ 6 (sixth mass extinction event) สัตว์และพืชกำลังตายลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่สมัยที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว
  26. ประมาณ 8% ของ DNA ในตัวเราเป็นไวรัสที่เคยทำให้เราป่วยเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว
  27. ลูกคนสุดท้องมักจะเป็นคนที่ตลกที่สุด จากงานวิจัยเมื่อปี 2019 ของ
    YouGov ลำดับการเกิดจะมีผลต่อลักษณะนิสัย โดยคนโตจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากที่สุด ส่วนคนเล็กจะสบายๆ มากที่สุด
  28. ช้างเป็นสัตว์ที่สำคัญมาก (keystone species) มันช่วยถางทางในป่า สร้างบ่อน้ำเล็กๆ ตามแม่น้ำที่แห้งเหือด และกระจายเมล็ดพันธุ์ระหว่างที่มันเดินทาง
  29. “Pluviphile” (พลูวิไฟล์) คือคำศัพท์ที่ใช้เรียก “คนรักฝน” ที่มีความสุขและความสงบในวันที่ฝนตก
  30. จำนวน DNA ในร่างกายมนุษย์แต่ละคนนั้นมากพอที่จะวางเรียงต่อกันจากพระอาทิตย์ถึงดาวพลูโตไป-กลับ 17 ครั้ง
  31. ต้องใช้ต้นไม้ 7-8 ต้นเพื่อจะผลิตอ๊อกซิเจนได้มากเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนไว้ใช้ตลอดทั้งปี
  32. ดาวนิวตรอน (Neutron stars) หมุนรอบตัวเองในอัตรา 600 ครั้งต่อวินาที
  33. ถ้าห้องนอนเหม็นอับ ให้เอาแผ่นอบผ้า (dryer sheet) แปะไว้บนแอร์แแล้วเปิดแอร์ทิ้งไว้
  34. ยุงมีฟัน 47 ซี่
  35. มีนักกีฬาเพียง 5 คนในประวัติศาสตร์ที่เคยได้มากกว่า 8 เหรียญทอง โดยสี่คนได้ 9 เหรียญทองและไมเคิล เฟลปส์ ได้ 23 เหรียญทอง
  36. น้ำผึ้งเป็นอาหารชนิดเดียวที่ไม่มีวันเสีย
  37. ทวารหนักของเรานั้นมีเอกลักษณ์พอๆ กับลายนิ้วมือ ในอนาคตอาจจะมีโถส้วมที่สามารถบอกได้ว่าเราคือใคร [ลองเสิร์ชบทความ This smart toilet can read your anus like a fingerprint, say scientists]
  38. 80% ของประชากรเคยร้องเพลงที่ตัวเองเกลียดโดยไม่รู้ตัว
  39. ลิ้นเป็นอวัยวะที่ซ่อมแซมตัวเองได้เร็วที่สุดในร่างกาย
  40. เลข 4 ถือเป็นเลขโชคร้ายในญี่ปุ่นเพราะมันออกเสียงเหมือนคำว่า “ตาย”
  41. มนุษย์ไม่อาจรับรู้รสชาติของอาหารได้จนกว่ามันจะถูกผสมกับน้ำลาย
  42. เวลาหญิงสาวชาวฮาวายทัดดอกไม้ไว้ที่หูซ้าย นั่นแสดงว่าเธอมีแฟนแล้ว
  43. ประมาณ 80% ของสัตว์ที่อยู่ในมาดากาสการ์เป็นสัตว์ที่หาไม่ได้ที่ใดในโลก
  44. ทุกๆ ปี 98% ของอะตอมในร่างกายคนเราจะถูกผลัดเปลี่ยนไป
  45. ในเวลาเพียง 10 นาที พายุเฮอริเคนจะปลดปล่อยพลังออกมาเท่ากับอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดในโลกรวมกัน
  46. ยีราฟกำลังสูญพันธุ์อย่างช้าๆ ใน 30 ปีที่ผ่านมาประชากรของยีราฟลดลงไปกว่า 40%
  47. โดยเฉลี่ยแล้วคนเราใช้เวลาประมาณ 2 ปีไปกับการใช้โทรศัพท์
  48. มันฝรั่งทอดถูกคิดค้นโดยเชฟที่หงุดหงิดจากการโดนลูกค้าคนหนึ่งบ่นว่าอยากได้มันฝรั่งที่บางกว่านี้และทอดสุกกว่านี้
  49. ถ้าผู้ชายปัสสาวะใส่ที่ตรวจครรภ์แล้วขึ้นสองขีด เขาอาจเป็นมะเร็ง
  50. “J” คืออักษรตัวสุดท้ายที่ถูกใส่เข้ามาในภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ตัว “Z”

ขอบคุณเนื้อหาจาก Quora: Sadam Parvez’s answer to What is the most useless fact you know?

ประเทศที่มีความสุขทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก

20160123_HappiestEconomy

คือประเทศไทยครับ

อันนี้ไม่ได้มาพูดกันลอยๆ แต่เป็นการให้คะแนนโดย Bloomberg (คู่แข่งคนสำคัญของบริษัท Reuters ในเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารของโลกการเงินและเศรษฐกิจ)

เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว บลูมเบิร์กได้ตีพิมพ์บทความชื่อ The 15 Happiest Economies in the World

โดยบลูมเบิร์กได้สร้าง “ดัชนีความทุกข์” (Misery Index) โดยเอาอัตราการว่างงานมาบวกกับอัตราเงินเฟ้อ (unemployment rate + inflation rate)

ยิ่ง Misery Index ต่ำเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่ามีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

ยกตัวอย่างประเทศนอร์เวย์ ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2% ส่วนอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.75% ดังนั้นคะแนน Misery Index จึงอยู่ที่ 5.95 และถือเป็นประเทศที่มีความสุขทางเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 9 ของโลก

ขณะที่เมืองไทย คะแนน Misery Index แค่ 1.4 เท่านั้น แสดงว่าทั้งอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อต่ำสุดๆ

เรื่องอัตราการว่างงานผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของบริษัทมหาชนเคยเล่าให้ฟังว่าอัตราการว่างงานในเมืองไทยนั้นต่ำมากมาโดยตลอด คนไทยจึงไม่เคยเจอปัญหาไม่มีงานทำ มีแต่ปัญหาไม่ยอมทำงาน (บางชนิด) จนเราต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าว

ส่วนอัตราเงินเฟ้อ ผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยได้ตามข่าวเศรษฐกิจและรู้สึกว่าข้าวของมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ากูเกิ้ลดูก็จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อของบ้านเราเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ -0.5% 

ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำไมบลูมเบิร์กถึงจัดให้เราเป็นอันดับหนึ่ง ชนะประเทศที่เจริญแล้วอย่างสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ญี่ปุ่น หรือ อเมริกา

จริงอยู่ Misery Index นี้จะว่าไปก็ออกจะดูคำนวณง่ายเกินไปหน่อย เพราะความสุขมันไม่ได้มีแค่มิติเรื่องการมีงานทำหรือราคาที่แพงขึ้นของสิ่งของอย่างเดียว แต่อย่างน้อยมันก็เป็นตัวชี้วัดคร่าวๆ ได้

ยิ่งถ้าเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่ท้ายๆ ตารางอย่าง สเปน (Misery Index = 24), อาร์เจนตินา (32) และเวเนซูเอล่า (86.5)

เมืองไทยของเราก็น่าอยู่กว่าจริงๆ ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก

Bloomberg: The 15 Happiest Economies in the World

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย: รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำไตรมาสที่ 1/2558 และคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2558

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคริสต์มาส

20151225_Christmas

เทศกาลของฝรั่ง นอกจากวาเลนไทน์และฮาโลวีนแล้ว ก็เห็นจะมีคริสต์มาสนี่แหละที่ถูกจริตคนไทยมากกว่าใคร และบรรยากาศก็ถือว่าพอได้เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาวพอดี

วันนี้ผมเลยไปหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับคริสต์มาสมาเล่าให้ฟังครับ ถ้ามีข้อมูลคลาดเคลื่อนประการใด ยินดีให้ผู้รู้ชี้แนะนะครับ

1. พระเยซูไม่ได้ประสูติวันที่ 25 ธันวาคม
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่เคยระบุไว้ว่าพระเยซูเกิดเมื่อไหร่ จริงๆ แล้วถ้าจะดูจากเนื้อหาในไบเบิ้ลว่าวันที่พระเยซูประสูติ “มีเด็กเลี้ยงแกะทำงานอยู่ในทุ่งนา” ‘shepherds were in the fields watching their flocks at the time of Jesus’ birth (Luke 2:7-8).

ธันวาคมนั้นอากาศหนาวเกินกว่าที่แกะจะออกมาเดินเล่นได้ ดังนั้นนักวิชาการหลายท่านคิดว่าพระเยซูน่าจะประสูติช่วงฤดูใบไม้ผลิมากกว่า

แล้ววันที่ 25 ธันวาคมมาได้อย่างไร? ในคริสตศตวรรษที่ 4 โป๊ปจูเลียสที่ 1 แห่งนิกายโรมันคาธอลิกได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันที่พระเยซูประสูติครับ

2. รัสเซียจัดคริสต์มาสวันที่ 7 มกราคม
ประชาชนในรัสเซีย กรีซ เอธิโอเปีย และอีก 13 ประเทศนั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายรัสเชี่ยนออโธด๊อกซ์ซึ่งยังยึดถือปฏิทินแบบจูเลี่ยน (Julian Calendar) ส่วนปฏิทินสากลที่เราใช้กันอยู่ทั่วโลกคือปฏิทินเกรกกอเรี่ยน (Gregorian Calendar)

ปฏิทินจูเลี่ยนนั้นช้ากว่าปฏิทินเกรกอเรียนอยู่ 13 วัน ดังนั้นจริงๆ แล้วรัสเซียก็จัดคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลี่ยน แต่พอแปลงมาเป็นวันที่ตามปฏิทินสากลก็คือ 7 มกราคมครับ

3. การเฉลิมฉลองคริสต์มาสเคยเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ในปี 1644 ประเทศอังกฤษประกาศห้ามไม่ให้มีการเฉลิมฉลองคริสต์มาสเพราะมองว่ามัน “รื่นเริงเกินไป” และกว่าอเมริกาจะประกาศให้คริสต์มาสเป็นวันหยุด (holiday) ก็ต้องรอถึงปี 1870 ครับ

 

4. เพลงจิงเกิลเบลส์ไม่ได้ถูกแต่งเพื่อวันคริสต์มาส
คริสต์มาสมาพร้อมกับซานตาคลอสและเพลงจิงเกิลเบลส์ (Jingle Bells) แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นในปี 1850 เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนในเมืองบอสตันแห่งหนึ่งร้องในวัน Thanksgiving (วันขอบคุณพระเจ้า)

5. คริสต์มาสทำให้อังกฤษและเยอรมันหยุดรบกันชั่วคราว
สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคมปี 1914 และในคืนวันที่ 24 ธันวาคมในปีเดียวกันนี้เอง ทหารของเยอรมัน และทหารของอังกฤษซึ่งเป็นศัตรูกัน ผลัดกันร้องเพลงเฉลิมฉลองคริสต์มาส (Christmas Carols) พอรุ่งเช้าวันที่ 25 ธันวาคม ทหารเยอรมันก็เดินตัวเปล่าแบบไม่มีอาวุธเข้าไปยังเขต no man’s land (พื้นที่ตรงกลางระหว่างกองทัพของสองฝ่าย) แล้วตะโกนบอกทหารของอีกฝั่งเป็นภาษาอังกฤษว่า Merry Christmas

สุดท้ายทหารสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนของขวัญอย่างเช่นบุหรี่และ plum pudding แถมยังมีแข่งฟุตบอลกันด้วย

ถือเป็นการหยุดรบในตำนานที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้

 

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก
United Church of God: Biblical evidence shows Jesus wasn’t born on Dec. 25
Live Science: When was Jesus born?
whychristmas: Why is Christmas Day on the 25th December?
The Telegraph: Do they know it’s Christmas? 16 countries where people are celebrating today
Live Science: Why was Christmas banned in America
mental_floss: “Jingle Bells” Was Originally Written for Thanksgiving
History: Christmas Truce of 1914 

 

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ชนชั้นของภาษา

20151112_LanguageHierarchy

เมื่อวันก่อนมีนักเรียนจากอเมริกาเข้ามาขอสัมภาษณ์ผมเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับงานวิจัยปริญญาโทของเขา

พอคุยกันเรื่องงานสื่อสารของผมเสร็จแล้ว เขาก็ถามด้วยความสงสัยเฉยๆ ว่า ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ในกรุงเทพนี่ตั้งใจเอาไว้ให้ใครอ่าน? (Who’s the target group?)

ที่เขาถามอย่างนี้ เพราะเขาสังเกตเห็นว่า ป้ายโฆษณาเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ เขาเห็นตั้งแต่ออกจากสุวรรณภูมิแล้ว จึงนึกว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยว แต่พอเข้ามาในเมือง เขาก็เห็นอีกว่าป้ายก็ยังเป็นภาษาอังกฤษเยอะอยู่ดี สมมติฐานถัดมาก็คือ ป้ายโฆษณาเหล่านี้เอาไว้ให้ฝรั่งที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยอ่านรึเปล่า

ผมก็ออกความเห็นไปว่า เป้าหมายของป้ายโฆษณาเหล่านี้ก็คือคนไทยนี่แหละ แต่ที่ต้องทำเป็นภาษาอังกฤษก็เพราะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์

ผมบอกเขาไปว่าสินค้าในเมืองไทย น้อยมากที่จะใช้ชื่อภาษาไทยเพราะมันจะทำให้ดูเป็นของราคาถูกหรือเชยไปเลย

สินค้า บริการ และชื่อร้านที่อยู๋ในเมืองส่วนใหญ่ถึงมีแต่ชื่อภาษาอังกฤษ (หรือถึงจะเป็นชื่อไทยก็ใช้อักษรภาษาอังกฤษ)

ทั้งนี้เพราะภาษาอังกฤษถูกยึดโยง (associate) กับของที่มีราคาสูงกว่าและคุณภาพสูงกว่า ซึ่งย่อมหมายถึงสามารถตั้งราคาได้แพงกว่าและทำกำไรได้มากกว่านั่นเอง

ผมเดินไปหยิบหลอดยาสีฟันเดนทิสเต้มาให้เขาดู เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าบนหลอดไม่มีภาษาไทยเลย ทั้งๆ ที่เป็นของคนไทย

เล่าไปก็แอบรู้สึกอายไปด้วยเล็กน้อย ที่เรามีภาษาของเราเองแท้ๆ แต่กลับให้ “คุณค่า” และ “มูลค่า” กับภาษาต่างชาติมากกว่า

—–

ผมบอกเขาอีกว่า สำหรับเมืองไทย ถ้าไม่ตั้งชื่อยี่ห้อเป็นภาษาอังกฤษ ก็ยังมีอีกทางหนึ่งคือตั้งชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะนี่ก็เป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์โดยที่แทบไม่ต้องลงทุนใดๆ เช่นกัน

ในเซเว่นเรามีไข่ต้ม ซึ่งราคาน่าจะเท่ากับไข่ลวก แต่ไข่ออนเซ็นจะกระโดดไปอีกราคาหนึ่งเลย

ที่ออฟฟิศผม ชั้น 9 จะมีโรงอาหาร ซึ่งก็มีร้านหนึ่งที่ตั้งชื่อเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด ทั้งๆ ที่รสชาติอาหารก็ไม่ได้รู้สึกว่าญี่ปุ่นอะไร แต่ตั้งราคาจานละ 60-80 บาทกันเลยทีเดียว

——

ตอนผมเรียนปริญญาโทที่นิด้า มีวิชาหนึ่งที่เรียกว่า Sociolinguistics

Socio -> society -> สังคม
Linguistics -> language -> ภาษา

วิชานี้จึงว่าด้วยความเชื่อมโยงของภาษาและสภาพสังคม

ภาษาของเราจะปรับเปลี่ยนไปตามคนที่เราสังคมด้วย เช่นเวลาคุยกับพ่อแม่เราพูดแบบหนึ่ง เวลาคุยกับเพื่อนเราพูดอีกแบบหนึ่ง และเวลาคุยกับหัวหน้าเราก็พูดอีกแบบหนึ่ง

นอกจากนั้น ภาษายังบ่งชี้ถึงชนชั้นในสังคมอีกต่างหาก โดย “ภาพลักษณ์” ของภาษาหรือสำเนียงท้องถิ่นน่าจะไล่เรียงได้ตามนี้ (ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ คนอื่นอาจจะไม่ได้เรียงแบบนี้)

ภาษากลาง > ภาษาเหนือ > ภาษาใต้ > ภาษาอีสาน

ลองคิดภาพว่าคุณเป็นผู้จัดการบริษัทซอฟท์แวร์ชั้นนำของโลก ต้องสัมภาษณ์เด็กสองคนที่เก่งพอๆ กัน คนหนึ่งตอบเป็นสำเนียงคนกรุงเทพ อีกคนหนึ่งตอบเป็นสำเนียงคนอีสาน คุณมีแนวโน้มที่จะเลือกคนไหน?

ในความเป็นจริง คงไม่มีคนอีสานคนไหนมาสัมภาษณ์งานประเภทนี้แล้วพูดภาษาอีสานหรอกครับ ด้วยรู้ตัวดีว่าจะทำให้เขา “ดูไม่ดี” เลยต้องตอบเป็นสำเนียงภาคกลางอยู่แล้ว

และด้วยความที่สำเนียงของคนกรุงเทพมีมูลค่าสูงที่สุดนั่นเอง (เมื่อเทียบกับภาษาไทยด้วยกัน) คนต่างจังหวัดจึงต้องหัดพูดภาษากลาง แต่คนกรุงเทพไม่เคยต้องหัดพูดภาษาของภาคอื่นเลย

—–

ที่เขียนมายืดยาวนี่ไม่ใช่ต้องการหยามเหยียดภาษาของภาคไหนเลยนะครับ เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นบางมุมที่พวกเราอาจมองข้ามไป เพราะเรา “ลำเอียง” กับภาษาบางภาษาหรือสำเนียงบางสำเนียงซะจนชิน

เผื่อว่าในอนาคต เจอใครที่พูดสำเนียงไม่เหมือนเรา เราจะได้รู้ทันความลำเอียงของตัวเอง

และเผื่อว่าเจอใครที่พูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ ก็จะได้ไม่เผลอคิดไปว่าเขาเก่งกว่าเราเสียทุกเรื่องครับ

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ฆาตกรในไลน์

20151104_killer

เมื่อค่ำนี้แฟนโชว์ข้อความหนึ่งที่มีคนแชร์ในไลน์มาให้ดู

องค์การอนามัยโลกรายงาน
โรคมะเร็งตอนนี้ไทยเป็นเบอร์ 1 ของเอเซียแล้ว
อัตรา 1 คนจาก 8 คน
สาเหตุเกิดจาก
1. กินเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง
2. กินอาหารกะทิค้างคืน
3. กล้วยแขก ปาท่องโก๋และขนมครก
4. ผัดผักค้างคืนกินไม่หมด
5.ใช้กล่องโฟม สัมผัสสารก่อมะเร็ง

กรุณาส่งให้เพื่อน ๆ ญาติๆ คน เป็นธรรมทาน

อ่านข่าวนี้จบ ผมบอกแฟนให้ถามคนส่งกลับไปว่า WHO เค้ารู้จักขนมครกด้วยเหรอ?

ลองกูเกิ้ลดู ก็ไม่เคยเจอว่า WHO เคยจัดอันดับเรื่องพวกนี้ มีก็แต่ Cancer country profiles 2014  และอัตราการตายจากมะเร็งของ World Health Ranking  และ World Cancer Research Fund International ซึ่งอัตราของคนไทยนั้นต่ำกว่าประเทศอย่างเกาหลีเหนือและญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป

ที่เป็นตลกร้ายคือตอนท้ายข้อความยังบอกให้ส่งต่อเป็นธรรมทานด้วย ทั้งๆ ที่มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับธรรมะตรงไหน และจะเรียกว่าวิทยาทานก็ไม่ได้เพราะเนื้อหาแทบไม่มีความเป็นจริงเลย

แทนที่จะเป็นธรรมทาน ยิ่งส่งต่อยิ่งเป็นการทำบาปด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะทำให้เข้าใจอะไรผิดๆ แล้ว ยังเป็นการทำให้คนอื่นเสียเวลาที่มีจำกัดและมีค่ายิ่งอีกด้วย

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนข้อความนี้ขึ้นมา และไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร แต่เดาว่าคงนึกว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุกและน่าภูมิใจที่เห็นข่าวลวงที่ตัวเองแต่งได้รับการแชร์ไปเยอะๆ

แต่ผมต้องขอใช้คำว่า “ประณาม” กับคนที่สร้างข่าวลวงเหล่านี้

ขณะนี้มีคนไทยใช้ไลน์ 33 ล้านคน

ถ้าในแต่ละวันคนใช้ไลน์ต้องเสียเวลาไปกับข้อความขยะแค่คนละ 1 นาที นั่นหมายความว่าคนไทยจะสูญเสียเวลาร่วมกันไปถึงวันละ 33 ล้านนาที หรือ 62.7 ปี

ข้อความขยะหนึ่งข้อความ ทำให้เสียเวลาเกือบจะเท่ากับอายุขัยของคนหนึ่งคน

ดังนั้นคนที่แต่งข่าวลวงขึ้นมา ก็ไม่ต่างอะไรกับฆาตกร

ฟังดูแรงไปหน่อย แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลังสนุกกับการแต่งเรื่องขึ้นมา ผมขอให้หยุดเถอะครับ เพราะคุณกำลังสร้างบาปกรรมแบบทบเท่าทวีคูณเลย

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก
WHO: Cancer country profiles 2014
World Health Ranking: All Cancers by Countries
World Cancer Research Fund International Data for cancer frequency by country
Positioning Magazine: กางแผน “ไลน์” จากแชตแอป สู่ “ซิงเกิลแพลตฟอร์ม”

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่