เริ่มต้นให้ถูกฝั่ง แล้วมันจะเครียดน้อยลง
เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้ไปพูดงาน HR Day ที่จัดโดย PMAT
หนึ่งในประเด็นที่ได้พูดคุยกันก็คือสมัยนี้เวลา HR จัด training หรือ event ก็ต้องลุ้นกันจนเหนื่อยว่าจะมีคนมาร่วมเยอะพอมั้ย เพราะหลายองค์กรคนติดใจทำงานที่บ้านแล้ว
ในฐานะคนที่เคยจัดอบรมให้พนักงานมาก่อนผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
กลัวน้องไม่มา กลัวขายหน้าวิทยากร จนบางทีต้องใช้วิธีเกณฑ์คนในทีมมานั่งเป็นหน้าม้าเพื่อให้ห้องไม่โหลงเหลงเกินไป
แต่เมื่อวานซืนนี้ทีมของผมเพิ่งจัดเทรนนิ่งออนไลน์ที่มีพนักงานระดับ manager เข้าฟังเกิน 160 กว่าคน น่าจะเป็นหนึ่งในการจัดอบรมที่คนเข้าฟังเยอะที่สุดของปีนี้
หัวข้อที่ผมพูดคือ Performance Management Guide for Managers
เนื่องจากตอนนี้เข้าฤดูกาลประเมินผล หัวหน้าทีมก็เลยมาเข้าฟังเทรนนิ่งนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะมันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเขา
Seth Godin เคยตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีจำนวนหน้าเท่ากันแทบทุกวัน แต่จริงๆ แล้วบางวันมันก็ไม่ได้มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ หนังสือพิมพ์ก็เลยต้องแก้ปัญหาด้วยการเอาข่าวอะไรก็ไม่รู้มาใส่เอาไว้เพื่อ fill the space ให้ครบตามจำนวนหน้า
เซธบอกว่า สิ่งที่ควรจะเป็น คือถ้าวันไหนมีข่าวน้อย หนังสือพิมพ์ก็ควรพิมพ์หน้าน้อยๆ ถ้าวันไหนข่าวเยอะ หนังสือพิมพ์ก็ค่อยมีหน้าเยอะๆ
[ผมว่าเซธรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันทำได้ยากในทางปฎิบัติ แต่ประเด็นของเซธก็น่าสนใจ ว่าปริมาณข่าวสารที่หนังสือพิมพ์ทำออกมาไม่ควรถูกกำหนดด้วยจำนวนหน้าที่เท่ากันทุกวัน]
เคยมีคนถามจี้ Jim Cramer ผู้ประกาศข่าวของช่อง CNBC ว่าทำไม่ช่อง CNBC ถึงมักมีข่าวที่ขัดแย้งกันเองและข่าวที่ไม่ค่อยมีสาระ
จิมตอบว่า “ฟังนะ เราต้องทำรายการสดถึงวันละ 17 ชั่วโมงเชียวนะ” (Look, we’ve got 17 hours of live TV a day to do.)
จิมคงต้องการจะสื่อว่า ในเมื่อมันต้องสร้าง content เพื่อให้ทั้ง 17 ชั่วโมงนั้นไม่มี dead air เลย การจะมีเนื้อหาที่ไม่ค่อยมีประโยชน์บ้างนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
กลับมาที่การจัดอบรมของบริษัท
เวลาที่เราจัดงานแล้วคนไม่ค่อยมาร่วม นั่นแสดงว่าสิ่งที่เราจัดนั้นอาจไม่ดึงดูด หรือไม่ได้ตอบโจทย์ของพนักงาน แล้วก็ต้องมาแก้ปัญหาภายหลังด้วยการเคี่ยวเข็ญหรือเกณฑ์คน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น
ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ อาจเป็นเพราะเรามีวิธีคิดคล้ายหนังสือพิมพ์หรือช่อง CNBC ที่เรามีตารางเทรนนิ่งและตั้งงบเอาไว้แล้วว่าจะต้องจัดเดือนละกี่ครั้งและต้องใช้งบให้หมด ไม่ต่างอะไรกับจำนวนหน้าหนังสือพิมพ์ หรือจำนวนชั่วโมงของแต่ละช่องที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว ยังไงต้องหา content อะไรซักอย่างมาลงแม้ว่ามันจะไม่ได้ตอบโจทย์ใครเลยก็ตาม
วิธีที่อาจจะช่วยได้ น่าจะมีสามอย่าง
- ไม่ต้องกำหนดว่าจะสอนอะไร แต่มีงบให้พนักงานเลือกไปลงเรียนข้างนอกแล้วมาเบิก
- สอนในเรื่องที่ต้องใช้แน่ๆ เช่นหัวข้อ Performance Management ที่กล่าวไปข้างต้น
- คุยกับแต่ละทีมว่ามี pain points อะไร และจัดสอนโดยใช้เนื้อหาและโจทย์ที่ทีมนั้นกำลังประสบอยู่จริงๆ ซึ่งย่อมได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าแผนกให้ลูกทีมมาเรียน
และถ้าช่วงไหนมันไม่ได้มีความต้องให้สอนอะไร เราก็ไม่จำเป็นต้องไปฝืนเปิดสอนคลาสตามตารางหรือตามงบที่วางไว้ เพราะการอบรมก็มี high season / low season ของมันได้เหมือนกัน
ถ้าเราจัดอบรมเท่าที่จำเป็นและตอบโจทย์คนในองค์กรอย่างแท้จริง เราจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยลุ้นว่าจะมีคนมาเรียนหรือไม่
ผมยกตัวอย่างเรื่องการจัดอบรมก็จริง แต่ประเด็นที่อยากจะชวนคิดคือการตั้งต้นให้ถูกฝั่ง
แทนที่จะตั้งต้นว่าเราจะมีสอนเดือนละ 4 คลาสแล้วค่อยหาอะไรมาลง ให้ตั้งต้นว่าความต้องการของคนมีอะไรและเยอะแค่ไหน แล้วค่อยจัดตารางไปตามนั้น โดยต้องดูให้เหมาะสมตามกำลังของเราด้วย
หนังสือพิมพ์กับทีวีอาจจะไม่มีทางเลือกตรงนี้ แต่กับหลายสิ่งในชีวิต เรามีทางเลือกว่าจะเริ่มต้นจากด้านไหน
แต่ก่อนผมเคยตั้งเป้าว่าจะเขียนบล็อกทุกวัน แม้ในวันที่ไม่รู้จะเขียนอะไรก็จะพยายามดิ้นรนเค้นมันออกมา ซึ่งในด้านหนึ่งมันก็เป็นการฝึกวินัยที่ดี แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจได้บทความที่ไม่ค่อยมีสาระแก่นสารเท่าที่ควร
วันนี้ผมเลยจุดนั้นมาแล้ว เลยไม่ได้คาดคั้นว่าต้องเขียนบล็อกทุกวัน แต่เขียนเมื่อมีประเด็นที่อยากเขียน ด้วยวิธีการนี้มันก็เลยไม่ต้องเค้น และรู้สึกมีความสุขกับการเขียนบล็อกมากขึ้น
หรือแต่ก่อนผมเคยตั้งเป้าว่าอยากจะได้คนติดตามบล็อก xx คนภายในเวลาเมื่อนั้นเมื่อนี้ พอไม่เป็นไปตามแผนก็เฟล สุดท้ายผมก็เลยไม่สนใจเรื่องยอดฟอล เลิกตั้งเป้าในสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม แล้วหันมาให้ความสำคัญในสิ่งที่ตัวเองควบคุมได้ นั่นคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์และเราภูมิใจ
ลองสำรวจตัวเองดูนะครับ หากว่าเรามีอะไรที่ต้องคอยลุ้นจนเหนื่อยอยู่เสมอ ความเป็นไปได้คือเราอาจกำลังเริ่มต้นผิดฝั่งอยู่
เริ่มต้นให้ถูกฝั่ง แล้วมันจะเครียดน้อยลงครับ