เปลือกหรือแก่น

20150531_WannasingHealthy

คนไทยรักสุขภาพมาก เพราะว่าเราเซนเซอร์คนดูดบุหรี่ในทีวี แต่ยอมให้ผู้หญิงมาตบแย่งผัวกันหลังข่าวทุกคืน

– วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

—–

วันนี้ไปงานแต่งงานเพื่อนที่เอเชี่ยนยู เลยได้เจอเพื่อนเก่าๆ ซึ่งรวมถึงเพื่อนที่เรียนวิศวะมาด้วยกันคือไก่ เต้อ โอ

มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งสมัยผมเรียนอยู่ปีสามที่ผมเคยตวาดใส่โอ

ที่ยังจำได้เพราะธรรมดาผมไม่ค่อยว่าใครแรงๆ แต่ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่หนที่พูดออกไป และก็ยังแอบรู้สึกผิด (ระคนภูมิใจ) มาจนถึงวันนี้

ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมขอพูดถึงบริบทก่อน

พวกเราเป็นรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยเอเชี่ยนยู ตอนนั้นมีเด็กปริญญาตรีเพียง 13 คน แบ่งเป็นเด็กวิศวะ 6 คน เด็กบริหารธุรกิจ 7 คน (ตอนแรกมี 20 คนแต่พอจบปีสองแล้วเราเหลือกันแค่นี้)

ค่าเทอมของ Asian U ในตอนนั้นแพงมาก อาจจะแพงที่สุดในเมืองไทยด้วยซ้ำ คือเทอมละ 150,000 บาท หรือปีละ 300,000 ถ้ารวมค่าหอพักอีกปีละ 60,000 และค่าใช้จ่ายรายเดือน ก็แสดงว่าต้องใช้เงินถึงปีละ 400,000 บาทเลยทีเดียว

ข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่คือมีมอบทุนการศึกษาแบบไม่มีข้อผูกมัด โดยสมัยนั้นจะมีทุนสามระดับคือ 400,000 บาท 200,000 บาท และ 100,000 บาทต่อปี

คณะวิศวะของเราที่มี 6 คนนั้น แบ่งเป็นนักเรียนทุนกับนักเรียนที่(พ่อแม่)จ่ายตังค์เองอย่างละครึ่ง

นักเรียนที่จ่ายตังค์เองก็มีไก่ โอ และ เจ (เจคือผู้หญิงคนเดียวของรุ่น)

ส่วนนักเรียนทุนก็คือฮิม เต้อ และ-อะแฮ่ม-ผมเอง (สองคนแรกทุนเต็ม ส่วนผมทุนสองแสน)

ผู้อ่านอาจจะพอนึกภาพออกว่าเด็กทุนจะเป็นกลุ่มที่ขยันกว่า เพราะเราต้องรักษาเกรดเฉลี่ยให้ได้เกิน 3.0 เจก็ขยันบ้างเวลาที่มีกำลังใจ ส่วนโอกับไก่จะออกรักสนุกนิดนึง ชอบเล่นเกมดึกๆ จนบางวันก็ตื่นไปเรียนไม่ไหว

พอจะสอบกันทีก็ต้องปิดห้องติวกัน หรือถ้าใครสอบตกก็ต้องมาช่วยนั่งทำงานเสริม แต่ผมก็ชอบบรรยากาศอย่างนี้นะ อบอุ่นดี เพราะพวกเราต่างก็หวังว่ารุ่นแรกจะจบพร้อมกันทุกคน มีอะไรก็เลยช่วยเหลือกันเต็มที่

ด้วยความที่เอเชี่ยนยูเด็กยังน้อยมาก แจกทุนก็เยอะ แถมเจ้าของยังเป็นคนมัธยัสถ์ด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ เช่นห้องน้ำไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น อุปกรณ์ในห้องแล็บมีน้อยเกินไป สปอร์ตคลับไม่ติดแอร์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จึงตกเป็นเป้าให้นักศึกษาได้ตำหนิเป็นประจำ โดยเฉพาะนักศึกษาที่พ่อแม่ต้องจ่ายตังค์มาเรียนเอง

อยู่มาวันหนึ่ง ที่ห้องทานข้าวชั้นหนึ่งหอพักชาย ไก่กับโอก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัยกันอย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยหัวข้อเดิมๆ ว่าด้วยสิ่งต่างๆ ที่เอชียนยูควรจะมีให้สมฐานะมหาวิทยาลัยค่าเทอมสี่แสน

ผมเองก็เบื่อที่ต้องมานั่งฟังเพื่อนบ่นอยู่เหมือนกัน เพราะบ่นเสร็จแล้วก็ไม่เห็นทำอะไร แต่ก็ทนฟังไปโดยไม่ได้โต้เถียงอะไรมากนัก…

จนถึงประโยคหนึ่งที่โอพูดออกมาว่า “ที่กูบ่นอย่างนี้ เพราะเสียดายเงินพ่อแม่เว้ย”

ผมเลยสวนกลับทันทีว่า “ถ้าเสียดายเงินพ่อแม่ ก็ตั้งใจเรียนสิวะ”

โอหยุดชะงัก

ผมพูดต่ออีกว่า “แยกให้ออกสิว่าอันไหนแก่น อันไหนเปลือก”

ผมจำเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้ไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ โอกับไก่หยุดวิจารณ์มหาลัย เพราะแม้สิ่งที่ผมพูดมันจะดูแรง แต่มันก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง

เพราะคาบแรกเมื่อเช้านี้มันก็ไม่ได้ไปเรียน

—–

หากมองไปรอบๆ ตัว เราจะเห็นการแก้ปัญหาที่เปลือกอยู่ไม่น้อย

เราเซ็นเซอร์ปืนในทีวี แต่เราไม่เคยเห็นละครเรื่องไหนที่พระเอกข่มขืนนางเอกแล้วจะโดนตำรวจจับด้วยข้อหากระทำชำเรา

เราเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน แต่เราก็ยังยอมจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือใช้เส้นสายเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่เราหมายมั่นปั้นมือ

เราอยากจะใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า แต่พอว่างเมื่อไหร่เราก็ก้มดูมือถือ

คนเราชอบแก้ปัญหาที่เปลือกเพราะว่ามัน “ง่ายดี” และ “ไม่ต้องคิดเยอะ”

ไม่ผิดครับ อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ผมห่วงแค่เพียงอย่างเดียว

ว่าถ้าเรามัวใส่ใจแต่เรื่องเปลือก จนไปสำคัญผิดว่ามันเป็นแก่นแล้วล่ะก็

เราอาจจะไม่มีวันได้สิ่งที่เราต้องการเลยก็ได้

—–
ขอบคุณรูปภาพจาก Wikipedia 

จ้าง 500 เล่น 5,000

20150530_500_5000

จงสร้างนิสัย จ้าง 500 แต่เล่น 5,000 แล้วจะมีคนจ้างคุณ 50,000

– บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ

—–

คำว่าจ้าง 500 เล่นซะ 5000 นี่ถือเป็นคำแซวคนที่ทำอะไรโอเว่อร์เกินไป

แต่คุณบอย วิสูตร แสงอรุณเ ผู้เขียนหนังสือ Bestseller หลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น “งานไม่ประจำทำเงินกว่า” หรือ “อิสระเราราคาเท่าไหร่” สามารถพลิกมุมมองให้เป็นประโยคชวนคิดได้

ชวนให้นึกถึงเพลง “สุดสุดไปเลย” ของนูโว

ไม่มีบ่น ไม่ทำเป็นเหมือนคนงอแง
ไม่มีแต่ ไม่มัวแต่นั่งทำสงสัย
ไม่ลังเล ใส่เกียร์เดินหน้าลุยมันเข้าไป
ถ้าหากต้องการได้สิ่งไหน ลุยไปไม่ต้องยั้ง

ชีวิตการทำงานก็เช่นกัน เขาจ้างจะจ้างเรามาด้วยเงินกี่มากน้อยก็แล้วแต่ เมื่อเราตัดสินใจรับข้อเสนอแล้ว ก็ควรจะซื่อตรงกับวิชาชีพของตัวเอง

ถ้ามัวคิดแต่คิดว่า เจ้านายลำเอียง ให้เงินเดือนเราน้อยกว่าคนอื่น ก็มีแนวโน้มที่เราจะทำงานในแต่ละวันด้วย “เกียร์หนึ่ง” เป็นเพียงรถหวานเย็นฉิ่งฉับ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง

ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ไปสนใจว่ารายได้ของเราจะมากหรือน้อยกว่าเพื่อนร่วมงาน หรือ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดแค่ไหน

แต่สนใจเพียงแค่ว่า แต่ละวันเราได้ใช้ “เกียร์สี่” และได้ลงมือสุดฝีมือแล้วหรือยัง

ไม่มีบ่น ไม่เป็นคนงอแง ไม่มัวแต่มานั่งสงสัย

ความสามารถของเราก็จะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่งงานและเงินเดือนที่เหมาะสมก็จะวิ่งเข้ามาหาเราเอง

ผมเชื่ออย่างนั้นครับ

ตอนเลิกกัน ใครเจ็บกว่า?

20150529_BreakUpWhoHurtsMore

ผมอ่านเจอเรื่องนี้ใน Quora และ “ตัดเก็บ” เอาไว้นานแล้ว

วันนี้วันศุกร์สบายๆ เลยอยากเอามาแชร์ให้ฟังนะครับ

คำถามก็คือ Who is affected more by a breakup, the boy or the girl?

เวลาเลิกกัน ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายที่ได้รับผลกระทบมากกว่ากัน?

คำตอบที่ได้รับโหวตอย่างท่วมท้นที่สุดมาจาก Shivam Mishra ครับ

Ever seen two kids playing with a rubber band? Two innocent kids holding on to a rubber band and both stretching it.

Do you know who gets hurt when the rubber band breaks or if someone lets go?

The person holding on to it…

เคยเห็นเด็กสองคนเล่นหนังยางกันมั้ย? เด็กไร้เดียงสาที่ต่างเกี่ยวหนังยางเอาไว้คนละด้าน และดึงหนังยางให้ห่างออกจากกัน

รู้มั้ยว่าเวลาที่หนังยางมันขาด หรือเวลาที่คนใดคนหนึ่งปล่อยหนังยาง ใครกันที่เจ็บตัว?

คนที่ไม่ยอมปล่อยหนังยางไง

คนทำงานดึก 8 ประเภท

20150528_LateNightWorkers

คนทำงานดึก 8 ประเภท

เชื่อว่าทุกคนที่ทำงานในบริษัทจะมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ชอบอยู่ออฟฟิศจนดึกจนดื่นเป็นประจำ

เท่าที่ผมสังเกตดู สามารถจำแนกแจกแจงคนที่ชอบทำงานจนดึกจนดื่นออกมาได้ 8 ประเภท โดยที่บางคนอาจจะอยู่ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม

ถ้าคุณรู้จักใครที่ทำงานดึก (ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวคุณเองด้วย) ลองดูนะครับว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่กล่าวมาหรือเปล่า

1. พวกมนุษย์ค้างคาวโดยธรรมชาติ
กลุ่มนี้เราจะเห็นได้เฉพาะในองค์กรที่ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน หรือเป็นเจ้าของกิจการซะเอง เป็นพวกไม่ชอบตื่นเช้า (ซัก 8 โมงนี่ถือว่าเช้าสำหรับเขาแล้ว) เข้างานสิบโมงหรือสิบโมงครึ่ง แล้วก็ทำงานไปจนถึงสองสามทุ่ม กลับบ้านแล้วก็ยังมีชีวิตช่วงกลางคืนต่อไปจนถึงตีหนึ่งหรือตีสองถึงจะเข้านอน

2. พวกติดกับดักงานเร่งด่วน
คนกลุ่มนี้คือคนที่ใช้ชีวิตเหมือนมีไฟลนก้นตลอดเวลา พรุ่งนี้ต้องไปนำเสนองานกับลูกค้าแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มทำสไลด์เลยซักหน้า ก็เลยต้องอยู่ทำงานจนดึกจนดื่น และงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในคิวก็จะรวนไปด้วย เพราะจะ “ไม่มีเวลาทำ” จนกว่ามันจะจวนตัวจริงๆ

คนเหล่านี้มักจะเหนื่อยหนักและสุขภาพไม่ค่อยดีเพราะนอนไม่ค่อยพอ ดื่มกาแฟจัด และกินข้าวดึก

3. พวกตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน
ที่งานไม่เดินอาจจะเพราะความจำเป็นเช่นมีประชุมเยอะ หรือระหว่างวันต้องช่วยเหลือคนอื่นจนต้องเก็บงานของตัวเองมาทำตอนที่เพื่อนร่วมงานกลับบ้านไปหมดแล้ว

หรืออีกประเภทหนึ่งคืองานไม่ค่อยเดินเพราะระหว่างวันมัวแต่เมาธ์หรือเล่นเน็ตซะเพลิน รู้ตัวอีกทีก็สี่ห้าโมงเย็นแล้ว เลยต้องอยู่ปั่นงานให้เสร็จ

4. พวกทุ่มเท
มาทำงานเช้าตรู่ และกลับเป็นคนเกือบสุดท้าย ผมเรียกคนเหล่านี้ว่าซุปเปอร์แมน ทำงานเสร็จเยอะและมีแต่คนเข้ามาขอความช่วยเหลือ จนกลายเป็นขวัญใจของเพื่อนร่วมงานทุกคน

5. พวกอยากให้เจ้านายเห็นว่าทุ่มเท
พวกนี้จะไม่ขยันเท่าไหร่หรอก ตอนเย็นอาจจะไปหาอะไรกินหรือทำกิจกรรมสันทนาการจนถึงทุ่มกว่าๆ แล้วค่อยมาทำงานต่ออีกหน่อย อาจมีส่งเมล์ตอนดึกๆ บ้าง โดยแอบหวังลึกๆ ว่าเจ้านายจะเห็นว่าเราทำงานดึกแค่ไหน

ทำอย่างนี้ก็เป็นดาบสองคม เพราะเจ้านายอาจจะมองว่าที่ต้องทำงานดึกเพราะระหว่างวันไม่ค่อยทำงาน หรือจัดการเวลาไม่ดีก็ได้ หรือร้ายไปกว่านั้นเจ้านายเค้าฉลาดพอที่จะมองออกว่าเราแกล้งทำเป็นทำงานดึกไปอย่างนั้นเอง

6. พวกต้องทำงานกับฝรั่ง
ถ้าต้องทำงานกับบริษัทที่ “truly international ” การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่ยุโรปหรืออเมริกาอาจจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก เวลานัดประชุมกัน กว่าเพื่อนร่วมงานที่นิวยอร์คจะถึงออฟฟิศ ที่บ้านเราก็สองทุ่มเข้าไปแล้ว

ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยการผลัดกันอยู่ดึก เช่นเดือนนี้เรายอมประชุมตอนสองทุ่มบ้านเรา-แปดโมงบ้านเค้า ส่วนเดือนหน้าก็ประชุมแปดโมงบ้านเรา สองทุ่มบ้านเค้า หรืออีกวิธีที่นิยมใช้กันคือประชุมที่บ้านครับ เพราะส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีประชุมผ่านโทรศัพท์ที่เรียกว่า teleconference อยู่แล้ว

7. พวกติดร่างแหวัฒนธรรมองค์กร
องค์กรบางแห่งต้องทำงานดึกเป็นประจำ อย่างพวกเอเจนซี่โฆษณานี่ปั่นงานกันเลยเที่ยงคืนเป็นว่าเล่น

ถึงงานเราจะเสร็จแล้ว แต่ถ้าเพื่อนอยู่ดึก แถมหัวหน้าก็อยู่ดึก หากเรากลับเร็วก็อาจจะกลายเป็นแกะดำได้

8. พวกไม่มีชีวิตนอกที่ทำงาน
กลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่ม “ผู้หญิงเก่ง” (ทำไมเราไม่มีคำว่า “ผู้ชายเก่ง”?) ที่ทำแต่งาน จนงานกลายมาเป็นอัตลักษณ์และเป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับความสำเร็จหรือความสุขของเขา กลุ่มนี้จะน่าเห็นใจตรงที่ “ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากงาน” หรือ “ไม่รู้จะกลับบ้านเร็วไปทำอะไร” เพราะไม่มีแฟน ไม่มีงานอดิเรก ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน ก็เลยเอาเวลาและความสนใจมาลงกับงานอย่างเดียว กลุ่มนี้ดูไม่ยากเพราะหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงาน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนหรือเป็นวันอะไรของสัปดาห์

—–

ถ้าใครติดกับการทำงานดึกแล้วอยากจะออกจากวงจรนี้ ผมก็มีข้อเสนอมาให้พิจารณานะครับ

– ในกรณีที่ทีมอยู่ดึก อาจจะต้องเลิกแคร์สายตาคนอื่นบ้าง เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้าเพื่อให้เขาเข้าใจในความต้องการ/ความจำเป็นของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่า ถึงเราจะกลับบ้านเร็วแต่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเรานั้นยังเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

– ในกรณีที่คุยกับหัวหน้าแล้วเขาไม่ยอมให้เราเปลี่ยน อาจต้องลองหาทางย้ายทีมหรือย้ายองค์กร

– ในกรณีที่ตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน หรือติดกับดักงานเร่งด่วนตลอดเวลา ขอให้ลองใส่ใจกับงานที่ “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” ให้มากขึ้น เพราะมันจะทำให้เราป้องกันเรื่องเร่งด่วนได้ไม่น้อย

– ในกรณีที่ “งานเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมี” ก็ลองหาสิ่งอื่นทำดูบ้าง เช่นไปลงเรียนโยคะ เข้าคอรส์ฟิตเนส เข้ากลุ่ม Meetup หรือนัดเจอเพื่อน ผมว่านี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะทำให้ชีวิตเรามีมิติ และมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจครับ

เคยพูดไปแล้วแต่ขอพูดอีกครั้ง:

Nobody on their deathbed wished they had spent more time at the office – ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่มีใครบ่นหรอกนะว่า “แหม ฉันน่าจะใช้เวลาที่ออฟฟิศให้มากกว่านี้ซักหน่อย

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี

หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 เรื่องราวที่อาจจะช่วยให้คุณได้มองโลกในมุมใหม่ๆ ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ

20150316_RebornCover

เสรีทัศนะ

20150527_FreeSpeech

What this country needs is more free speech worth listening to.

สิ่งที่ประเทศนี้ต้องการคือทัศนะเสรีที่ควรค่าแก่การฟัง

– Hansell B. Duckett

—–

แม้บ้านเมืองเราจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่(ยัง) ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ผมว่าคนไทยเราเองมีเสรีภาพในการแสดงออกมากกว่ายุคก่อนๆ เสียอีก

เหตุผลหลักคือสื่อกลางที่เปลี่ยนไป แต่ก่อนเวลาเราจะบ่น (หรือพ่น) เรื่องอะไรออกมา คนที่ได้ฟังก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือคนที่เราคุยโทรศัพท์ด้วยไม่กี่คน

แต่ในยุคที่เกือบทุกคนใช้เฟซบุ๊ค ไม่ว่าเราจะพิมพ์อะไรลงใน status update ก็จะมีคนเห็นเป็นสิบ เป็นร้อย หรือเป็นพันคน

แม้สิ่งที่เราเขียนบ่นจะอยู่ใน “พื้นที่ส่วนตัว” ของเรา แต่เมื่อมันไปโผล่ใน News Feed ของคนอื่น เส้นคั่นระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะจึงไม่มีอีกต่อไป

ดังนั้น ถ้าผมเจอความคิดเห็นชนิดดุเดือดเข้มข้นของเพื่อนบางคนโผล่เข้ามาใน News feed ของผมบ่อยๆ ผมอาจจำเป็นต้องตั้งค่าเฟซบุ๊คเสียใหม่ให้มันไม่แสดงอัพเดตของเพื่อนคนนั้น

ยังรักเพื่อนเหมือนเดิมนะ และพร้อมรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วย แต่บางถ้อยคำอ่านแล้วมันนำพาความไม่สบายใจมาให้ เป็นมลภาวะทางสายตาและอารมณ์ จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้อง “พื้นที่ส่วนตัว” ของผมเองบ้างเช่นกัน

สนับสนุนให้ทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดครับ แต่ก็แอบหวังว่าพวกเราจะใช้เสรีภาพนั้นด้วยความรอบคอบ ความรับผิดชอบ และความเคารพซึ่งกันและกันครับ