คนทำงานดึก 8 ประเภท

20150528_LateNightWorkers

คนทำงานดึก 8 ประเภท

เชื่อว่าทุกคนที่ทำงานในบริษัทจะมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ชอบอยู่ออฟฟิศจนดึกจนดื่นเป็นประจำ

เท่าที่ผมสังเกตดู สามารถจำแนกแจกแจงคนที่ชอบทำงานจนดึกจนดื่นออกมาได้ 8 ประเภท โดยที่บางคนอาจจะอยู่ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม

ถ้าคุณรู้จักใครที่ทำงานดึก (ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวคุณเองด้วย) ลองดูนะครับว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่กล่าวมาหรือเปล่า

1. พวกมนุษย์ค้างคาวโดยธรรมชาติ
กลุ่มนี้เราจะเห็นได้เฉพาะในองค์กรที่ไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน หรือเป็นเจ้าของกิจการซะเอง เป็นพวกไม่ชอบตื่นเช้า (ซัก 8 โมงนี่ถือว่าเช้าสำหรับเขาแล้ว) เข้างานสิบโมงหรือสิบโมงครึ่ง แล้วก็ทำงานไปจนถึงสองสามทุ่ม กลับบ้านแล้วก็ยังมีชีวิตช่วงกลางคืนต่อไปจนถึงตีหนึ่งหรือตีสองถึงจะเข้านอน

2. พวกติดกับดักงานเร่งด่วน
คนกลุ่มนี้คือคนที่ใช้ชีวิตเหมือนมีไฟลนก้นตลอดเวลา พรุ่งนี้ต้องไปนำเสนองานกับลูกค้าแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มทำสไลด์เลยซักหน้า ก็เลยต้องอยู่ทำงานจนดึกจนดื่น และงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในคิวก็จะรวนไปด้วย เพราะจะ “ไม่มีเวลาทำ” จนกว่ามันจะจวนตัวจริงๆ

คนเหล่านี้มักจะเหนื่อยหนักและสุขภาพไม่ค่อยดีเพราะนอนไม่ค่อยพอ ดื่มกาแฟจัด และกินข้าวดึก

3. พวกตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน
ที่งานไม่เดินอาจจะเพราะความจำเป็นเช่นมีประชุมเยอะ หรือระหว่างวันต้องช่วยเหลือคนอื่นจนต้องเก็บงานของตัวเองมาทำตอนที่เพื่อนร่วมงานกลับบ้านไปหมดแล้ว

หรืออีกประเภทหนึ่งคืองานไม่ค่อยเดินเพราะระหว่างวันมัวแต่เมาธ์หรือเล่นเน็ตซะเพลิน รู้ตัวอีกทีก็สี่ห้าโมงเย็นแล้ว เลยต้องอยู่ปั่นงานให้เสร็จ

4. พวกทุ่มเท
มาทำงานเช้าตรู่ และกลับเป็นคนเกือบสุดท้าย ผมเรียกคนเหล่านี้ว่าซุปเปอร์แมน ทำงานเสร็จเยอะและมีแต่คนเข้ามาขอความช่วยเหลือ จนกลายเป็นขวัญใจของเพื่อนร่วมงานทุกคน

5. พวกอยากให้เจ้านายเห็นว่าทุ่มเท
พวกนี้จะไม่ขยันเท่าไหร่หรอก ตอนเย็นอาจจะไปหาอะไรกินหรือทำกิจกรรมสันทนาการจนถึงทุ่มกว่าๆ แล้วค่อยมาทำงานต่ออีกหน่อย อาจมีส่งเมล์ตอนดึกๆ บ้าง โดยแอบหวังลึกๆ ว่าเจ้านายจะเห็นว่าเราทำงานดึกแค่ไหน

ทำอย่างนี้ก็เป็นดาบสองคม เพราะเจ้านายอาจจะมองว่าที่ต้องทำงานดึกเพราะระหว่างวันไม่ค่อยทำงาน หรือจัดการเวลาไม่ดีก็ได้ หรือร้ายไปกว่านั้นเจ้านายเค้าฉลาดพอที่จะมองออกว่าเราแกล้งทำเป็นทำงานดึกไปอย่างนั้นเอง

6. พวกต้องทำงานกับฝรั่ง
ถ้าต้องทำงานกับบริษัทที่ “truly international ” การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่ยุโรปหรืออเมริกาอาจจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก เวลานัดประชุมกัน กว่าเพื่อนร่วมงานที่นิวยอร์คจะถึงออฟฟิศ ที่บ้านเราก็สองทุ่มเข้าไปแล้ว

ปัญหานี้บรรเทาได้ด้วยการผลัดกันอยู่ดึก เช่นเดือนนี้เรายอมประชุมตอนสองทุ่มบ้านเรา-แปดโมงบ้านเค้า ส่วนเดือนหน้าก็ประชุมแปดโมงบ้านเรา สองทุ่มบ้านเค้า หรืออีกวิธีที่นิยมใช้กันคือประชุมที่บ้านครับ เพราะส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีประชุมผ่านโทรศัพท์ที่เรียกว่า teleconference อยู่แล้ว

7. พวกติดร่างแหวัฒนธรรมองค์กร
องค์กรบางแห่งต้องทำงานดึกเป็นประจำ อย่างพวกเอเจนซี่โฆษณานี่ปั่นงานกันเลยเที่ยงคืนเป็นว่าเล่น

ถึงงานเราจะเสร็จแล้ว แต่ถ้าเพื่อนอยู่ดึก แถมหัวหน้าก็อยู่ดึก หากเรากลับเร็วก็อาจจะกลายเป็นแกะดำได้

8. พวกไม่มีชีวิตนอกที่ทำงาน
กลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่ม “ผู้หญิงเก่ง” (ทำไมเราไม่มีคำว่า “ผู้ชายเก่ง”?) ที่ทำแต่งาน จนงานกลายมาเป็นอัตลักษณ์และเป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับความสำเร็จหรือความสุขของเขา กลุ่มนี้จะน่าเห็นใจตรงที่ “ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากงาน” หรือ “ไม่รู้จะกลับบ้านเร็วไปทำอะไร” เพราะไม่มีแฟน ไม่มีงานอดิเรก ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน ก็เลยเอาเวลาและความสนใจมาลงกับงานอย่างเดียว กลุ่มนี้ดูไม่ยากเพราะหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงาน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนหรือเป็นวันอะไรของสัปดาห์

—–

ถ้าใครติดกับการทำงานดึกแล้วอยากจะออกจากวงจรนี้ ผมก็มีข้อเสนอมาให้พิจารณานะครับ

– ในกรณีที่ทีมอยู่ดึก อาจจะต้องเลิกแคร์สายตาคนอื่นบ้าง เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้าเพื่อให้เขาเข้าใจในความต้องการ/ความจำเป็นของเรา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่า ถึงเราจะกลับบ้านเร็วแต่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเรานั้นยังเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

– ในกรณีที่คุยกับหัวหน้าแล้วเขาไม่ยอมให้เราเปลี่ยน อาจต้องลองหาทางย้ายทีมหรือย้ายองค์กร

– ในกรณีที่ตอนกลางวันงานไม่ค่อยเดิน หรือติดกับดักงานเร่งด่วนตลอดเวลา ขอให้ลองใส่ใจกับงานที่ “สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” ให้มากขึ้น เพราะมันจะทำให้เราป้องกันเรื่องเร่งด่วนได้ไม่น้อย

– ในกรณีที่ “งานเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมี” ก็ลองหาสิ่งอื่นทำดูบ้าง เช่นไปลงเรียนโยคะ เข้าคอรส์ฟิตเนส เข้ากลุ่ม Meetup หรือนัดเจอเพื่อน ผมว่านี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะทำให้ชีวิตเรามีมิติ และมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและใจครับ

เคยพูดไปแล้วแต่ขอพูดอีกครั้ง:

Nobody on their deathbed wished they had spent more time at the office – ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่มีใครบ่นหรอกนะว่า “แหม ฉันน่าจะใช้เวลาที่ออฟฟิศให้มากกว่านี้ซักหน่อย

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี

หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 เรื่องราวที่อาจจะช่วยให้คุณได้มองโลกในมุมใหม่ๆ ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ

20150316_RebornCover

เสรีทัศนะ

20150527_FreeSpeech

What this country needs is more free speech worth listening to.

สิ่งที่ประเทศนี้ต้องการคือทัศนะเสรีที่ควรค่าแก่การฟัง

– Hansell B. Duckett

—–

แม้บ้านเมืองเราจะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่(ยัง) ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ผมว่าคนไทยเราเองมีเสรีภาพในการแสดงออกมากกว่ายุคก่อนๆ เสียอีก

เหตุผลหลักคือสื่อกลางที่เปลี่ยนไป แต่ก่อนเวลาเราจะบ่น (หรือพ่น) เรื่องอะไรออกมา คนที่ได้ฟังก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือคนที่เราคุยโทรศัพท์ด้วยไม่กี่คน

แต่ในยุคที่เกือบทุกคนใช้เฟซบุ๊ค ไม่ว่าเราจะพิมพ์อะไรลงใน status update ก็จะมีคนเห็นเป็นสิบ เป็นร้อย หรือเป็นพันคน

แม้สิ่งที่เราเขียนบ่นจะอยู่ใน “พื้นที่ส่วนตัว” ของเรา แต่เมื่อมันไปโผล่ใน News Feed ของคนอื่น เส้นคั่นระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะจึงไม่มีอีกต่อไป

ดังนั้น ถ้าผมเจอความคิดเห็นชนิดดุเดือดเข้มข้นของเพื่อนบางคนโผล่เข้ามาใน News feed ของผมบ่อยๆ ผมอาจจำเป็นต้องตั้งค่าเฟซบุ๊คเสียใหม่ให้มันไม่แสดงอัพเดตของเพื่อนคนนั้น

ยังรักเพื่อนเหมือนเดิมนะ และพร้อมรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วย แต่บางถ้อยคำอ่านแล้วมันนำพาความไม่สบายใจมาให้ เป็นมลภาวะทางสายตาและอารมณ์ จึงต้องลุกขึ้นมาปกป้อง “พื้นที่ส่วนตัว” ของผมเองบ้างเช่นกัน

สนับสนุนให้ทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดครับ แต่ก็แอบหวังว่าพวกเราจะใช้เสรีภาพนั้นด้วยความรอบคอบ ความรับผิดชอบ และความเคารพซึ่งกันและกันครับ

เป็นตัวของตัวเองเถอะ

20150510_SeksanEnemy

อย่างเรื่องสายตาผู้อื่น เอาเข้าจริง ๆ แล้วจะมีใครซีเรียสกับเรากี่คน เขาอาจจะมองเราแค่ผ่าน ๆ จากนั้นก็ลืม แล้วทำไมจึงต้องปล่อยให้มันมีผลต่อการใช้ชีวิตของเราทั้งวัน ทั้งเดือน หรือกระทั่งทั้งชีวิต

เท่าที่ผมสังเกตโลกมาบ้าง พบว่าคนเราเอาใจใส่กันน้อยนิดเต็มที โดยปกติแล้วไม่ว่าเราทำอะไร เพื่อนแท้ย่อมเข้าใจ คนทั่วไปไม่สังเกต ส่วนศัตรูนั้น ยังไง ๆ มันก็มองเราไม่ขึ้น

ฉะนี้ ความเป็นตัวของตัวเอง คงไม่แพงอย่างที่คิดเสมอไป

– เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

—–

สมัยผมเรียนม.ปลายอยู่ที่นิวซีแลนด์ เวลาจะไปไหนก็มักจะเดินหรือไม่ก็ใช้จักรยาน ซึ่งเพียงพอสำหรับเมืองเล็กๆ อย่างเทมูก้า (Temuka) ที่มีประชากรเพียง 4,000 คน (น้อยกว่าจำนวนคนในตึกอื้อจื่อเหลียงที่ผมทำงานซะอีก)

และการปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนในวันหนึ่ง ก็ได้ให้บทสรุปกับผมที่คล้ายคลึงกับประโยคของคุณเสกสรรค์ข้างต้น

ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นผมน่าจะปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนชื่อสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาปั่นไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง

วันนั้นแดดไม่ออก เห็นได้ชัดว่ามีลมพอสมควร ผมถามตัวเองว่าจะใส่เสื้อไปกี่ชั้นดี และจะใส่ถุงมือกับหมวกไหมพรมไปดีมั้ย

ผมตัดสินใจใส่เสื้อแค่สองชั้น ได้แก่เสื้อยืดและเสื้อไหมพรม cotton wool และไม่ได้ใส่ถุงมือหรือหมวกไป

เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ตอนนั้นมันยังไม่เข้าหน้าหนาว ถ้าผมใส่เสื้อผ้าไปสามสี่ชั้น แล้วใส่หมวกไหมพรม ใส่ถุงมือซะ “เต็มยศ” มันจะดูไม่อ่อนแอ ไม่ cool สุดๆ

ผมจำได้แม่นเลยว่าตอนนั้นผมกำลังปั่นได้ครึ่งทางอยู่บนถนน Richard Pearse Drive ลมเย็นพัดมาทีก็หนาวเข้ากระดูกเพราะเสื้อมันไม่ได้กันลม แถมมือกับหูก็เย็นจนเจ็บจนชาไปหมด ผมปั่นจักรยานสั่นงั่กๆ มองมือที่กำแฮนด์จักรยานไว้แน่น แล้วก็บ่นกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “กูไม่น่าเลย”

แล้วผมก็คิดได้ว่า มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากที่ต้องมาทรมานกับความหนาว เพียงเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างดูถูก

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมถือคติเลยว่า ไม่เท่ไม่เป็นไร ขอให้อุ่นไว้ก่อน

เพราะเอาเข้าจริง ใครจะไปสนใจว่าเราใส่เสื้อผ้าอะไรบ้าง ขนาดเราเองยังจำคนอื่นไม่ได้เลย

—–

“โดยปกติแล้วไม่ว่าเราทำอะไร เพื่อนแท้ย่อมเข้าใจ คนทั่วไปไม่สังเกต ส่วนศัตรูนั้น ยังไง ๆ มันก็มองเราไม่ขึ้น”

อาจจะด้วยประโยคนี้ ทำให้ผมไม่ค่อยจะเถียงหรือสู้รบปรบมือกับใคร รวมถึงขี้เกียจที่จะแก้ต่างเรื่องบางเรื่องที่คนเข้าใจผิดด้วย เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น คนที่เขามองเราในแง่ลบ ต่อให้เรายกเหตุผลหรือหลักฐานอะไรมา เขาก็ยังพร้อมจะมองเราในแง่ลบอยู่ดี

แล้วเอาเข้าจริงๆ สิ่งที่คนเหล่านั้นคิดหรือพูด ก็แทบไม่ได้ให้คุณให้โทษอะไรกับเราเลย

ยิ่งสมัยนี้ที่ทุกอย่างมาไวไปไว พรุ่งนี้มะรืนนี้เขาก็ลืมเรื่องของเราและไปเมาธ์เรื่องคนอื่นแล้ว

ถ้าเราสามารถจะปล่อยวางความต้องการที่จะดูดีในสายตาคนอื่น และสนใจความรู้สึก-ความต้องการของตัวเองและคนใกล้ชิดให้มากขึ้น

ผมว่าชีวิตเราจะเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย

—–

ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี

หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 บทความเกี่ยวกับธรรมะใกล้ตัว ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ

20150316_RebornCover