อย่างเรื่องสายตาผู้อื่น เอาเข้าจริง ๆ แล้วจะมีใครซีเรียสกับเรากี่คน เขาอาจจะมองเราแค่ผ่าน ๆ จากนั้นก็ลืม แล้วทำไมจึงต้องปล่อยให้มันมีผลต่อการใช้ชีวิตของเราทั้งวัน ทั้งเดือน หรือกระทั่งทั้งชีวิต
เท่าที่ผมสังเกตโลกมาบ้าง พบว่าคนเราเอาใจใส่กันน้อยนิดเต็มที โดยปกติแล้วไม่ว่าเราทำอะไร เพื่อนแท้ย่อมเข้าใจ คนทั่วไปไม่สังเกต ส่วนศัตรูนั้น ยังไง ๆ มันก็มองเราไม่ขึ้น
ฉะนี้ ความเป็นตัวของตัวเอง คงไม่แพงอย่างที่คิดเสมอไป
– เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
—–
สมัยผมเรียนม.ปลายอยู่ที่นิวซีแลนด์ เวลาจะไปไหนก็มักจะเดินหรือไม่ก็ใช้จักรยาน ซึ่งเพียงพอสำหรับเมืองเล็กๆ อย่างเทมูก้า (Temuka) ที่มีประชากรเพียง 4,000 คน (น้อยกว่าจำนวนคนในตึกอื้อจื่อเหลียงที่ผมทำงานซะอีก)
และการปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนในวันหนึ่ง ก็ได้ให้บทสรุปกับผมที่คล้ายคลึงกับประโยคของคุณเสกสรรค์ข้างต้น
ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นผมน่าจะปั่นจักรยานไปบ้านเพื่อนชื่อสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาปั่นไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง
วันนั้นแดดไม่ออก เห็นได้ชัดว่ามีลมพอสมควร ผมถามตัวเองว่าจะใส่เสื้อไปกี่ชั้นดี และจะใส่ถุงมือกับหมวกไหมพรมไปดีมั้ย
ผมตัดสินใจใส่เสื้อแค่สองชั้น ได้แก่เสื้อยืดและเสื้อไหมพรม cotton wool และไม่ได้ใส่ถุงมือหรือหมวกไป
เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ตอนนั้นมันยังไม่เข้าหน้าหนาว ถ้าผมใส่เสื้อผ้าไปสามสี่ชั้น แล้วใส่หมวกไหมพรม ใส่ถุงมือซะ “เต็มยศ” มันจะดูไม่อ่อนแอ ไม่ cool สุดๆ
ผมจำได้แม่นเลยว่าตอนนั้นผมกำลังปั่นได้ครึ่งทางอยู่บนถนน Richard Pearse Drive ลมเย็นพัดมาทีก็หนาวเข้ากระดูกเพราะเสื้อมันไม่ได้กันลม แถมมือกับหูก็เย็นจนเจ็บจนชาไปหมด ผมปั่นจักรยานสั่นงั่กๆ มองมือที่กำแฮนด์จักรยานไว้แน่น แล้วก็บ่นกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “กูไม่น่าเลย”
แล้วผมก็คิดได้ว่า มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากที่ต้องมาทรมานกับความหนาว เพียงเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างดูถูก
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมถือคติเลยว่า ไม่เท่ไม่เป็นไร ขอให้อุ่นไว้ก่อน
เพราะเอาเข้าจริง ใครจะไปสนใจว่าเราใส่เสื้อผ้าอะไรบ้าง ขนาดเราเองยังจำคนอื่นไม่ได้เลย
—–
“โดยปกติแล้วไม่ว่าเราทำอะไร เพื่อนแท้ย่อมเข้าใจ คนทั่วไปไม่สังเกต ส่วนศัตรูนั้น ยังไง ๆ มันก็มองเราไม่ขึ้น”
อาจจะด้วยประโยคนี้ ทำให้ผมไม่ค่อยจะเถียงหรือสู้รบปรบมือกับใคร รวมถึงขี้เกียจที่จะแก้ต่างเรื่องบางเรื่องที่คนเข้าใจผิดด้วย เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น คนที่เขามองเราในแง่ลบ ต่อให้เรายกเหตุผลหรือหลักฐานอะไรมา เขาก็ยังพร้อมจะมองเราในแง่ลบอยู่ดี
แล้วเอาเข้าจริงๆ สิ่งที่คนเหล่านั้นคิดหรือพูด ก็แทบไม่ได้ให้คุณให้โทษอะไรกับเราเลย
ยิ่งสมัยนี้ที่ทุกอย่างมาไวไปไว พรุ่งนี้มะรืนนี้เขาก็ลืมเรื่องของเราและไปเมาธ์เรื่องคนอื่นแล้ว
ถ้าเราสามารถจะปล่อยวางความต้องการที่จะดูดีในสายตาคนอื่น และสนใจความรู้สึก-ความต้องการของตัวเองและคนใกล้ชิดให้มากขึ้น
ผมว่าชีวิตเราจะเหนื่อยน้อยลงเยอะเลย
—–
ดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี
หากท่านใดสนใจหนังสือ eBook “เกิดใหม่” ซึ่งรวบรวม 17 บทความเกี่ยวกับธรรมะใกล้ตัว ใช้ภาษาวัยรุ่น ไม่ต้องปีนกะไดอ่าน ขอเชิญได้ที่นี่เลยครับ
Pingback: คนทำงานดึก 8 ประเภท | Anontawong's Musings