ไม่ผิดแล้วจะถูกเอง

20160531_nowrong

ถ้าใครเป็นแฟนคลับของหลวงพ่อปราโมทย์ และเคยฟัง mp3 ของท่าน น่าจะจำคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ท่านมักสอนอยู่เสมอ คือ “รู้ว่าผิดแล้วมันจะถูกเอง”

เช่น ถ้าอยากมีสติมากขึ้น ก็แค่คอยรู้ตัวว่าเผลอ หรือรู้ตัวว่าคิดอยู่ สติก็เกิดแล้ว

หรือในศาสนาพุทธ ถ้าอยากเป็นคนดี เราก็ไม่ต้องทำดีก็ได้ แค่ละเว้นจากการทำชั่วด้วยการถือศีลห้า คุณก็เป็นคนดีได้แล้วเช่นกัน

วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมอยากจะใช้เวลาให้มีประโยชน์มากขึ้น เพราะสังเกตตัวเองหลายทีแล้วว่าวันหยุดมักจะหมดเวลาไปกับการอ่านการ์ตูนบนไอแพด หรือนั่งเล่นเฟซบุ๊คในคอมหรือมือถือมากเกินไป

วันนั้นผมจึงไม่มีแผนตายตัว แค่บอกตัวเองว่า อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ก่อนเที่ยงวันนี้จะไม่เล่นมือถือ ไอแพด หรือคอมพิวเตอร์

พอปิดโอกาสตัวเองที่จะผลาญเวลากับอุปกรณ์พวกนี้ ผมก็เลยได้เก็บกวาดห้องนอน พับผ้า ถูพื้น และทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ผัดวันประกันพรุ่งมานานเพราะว่า “ไม่มีเวลา”

วันนั้นจังเป็นวันที่รู้สึก productive มากที่สุดวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่มีแผนการอะไรเลย

คุณผู้อ่านลองเอาเทคนิค “ไม่ผิดแล้วจะถูกเอง” ไปลองใช้ดูบ้างก็ได้นะครับ แค่ระบุว่าอะไรที่เราไม่ควรทำ (เช่นเล่นเฟซบุ๊คหรือเช็คอีเมล์) แล้วก็ลองตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งนั้นซัก 2 ชั่วโมง

แล้วคุณอาจจะแปลกใจกับผลลัพธ์ครับ


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

300,000 ปีของมนุษยชาติ

20160529_HumanHistory2

วันนี้ขอแหวกแนวนิดนึงนะครับ อยากจะมาเล่าให้ฟังเรื่องประวัติศาสตร์มนุษย์ซะหน่อย

เป็นเนื้อหาที่มาจากหนังสือ Sapiens: A Brief History of Mankind  โดย Yuval Noah Harari ซึ่งมีแต่คนกล่าวขวัญว่าดีงาม น่าอ่านสุดๆ

แต่ผมเองยังไม่ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้มา ก็เลยฟังเอาจากสรุปหนังสือจากเว็บ Blinkist ครับ 

ที่ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจจนต้องมาเล่าในบล็อกนี้ เพราะเชื่อว่าการรู้ประวัติศาสตร์ จะทำให้เราเข้าใจปัจจุบัน และอาจทำให้เราพอจะมองออกว่าอนาคตจะดำเนินไปในทิศทางไหนครับ

—–

เราน่าจะรู้กันดีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น เริ่มต้นที่ทวีปแอฟริกา โดยเชื่อกันว่าเราวิวัฒนาการมาจากลิง Australopithecus 

คำว่า Erect แปลว่าตั้งตรง เพราะว่าจากที่เคยเดินสี่ขาหรือเดินหลังค่อมๆ เราก็หันมาเดินหลังตรงนั่นเอง

โฮโมอีเร็คตัสนั้นได้เริ่มอพยพสู่ทวีปอื่นๆ และมีบางส่วนที่ได้พัฒนาไปเป็น Homo Neanderthalensis หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Neanderthal (นีแอนเดอธาล) ในยุโรปและเอเชียเมื่อ 300,000 ปีก่อนคริสตกาล

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือประมาณ 250,000 ปีก่อนคริสตกาล ก็เกิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกา

มนุษย์กลุ่มนั้นได้รับชื่อในภายหลังว่า Homo sapiens

ซึ่งก็คือมนุษย์พันธุ์เดียวกับที่กำลังนั่งอ่านบล็อกอยู่นี่เอง


Homo Sapiens นั้นตามรอย Homo erectus ด้วยการออกเดินทางจากแอฟริกา และแผ่ขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งทวีปที่อยู่ห่างไกลหลายพันกิโลกอย่างออสเตรเลีย

ความมหัศจรรย์ของโฮโมเซเปี้ยนส์ก็คือ ไม่ว่าไปที่ไหน “มนุษย์” ที่อยู่มาก่อนหน้านั้นอย่าง Homo erectus และ Neanderthal ก็สูญพันธุ์หมด รวมถึงสัตว์โบราณหลายๆ ชนิด

ทั้งๆ ที่ขนาดร่างกายและสมองของ Homo sapiens ก็มีพอๆ กับ Neanderthal แต่เพราะเหตุใด จึงสามารถ “ทำลายล้าง” เผ่าพันธุ์อื่นๆ อย่างราบคาบได้ถึงเพียงนี้?

หนังสือเล่มนี้บอกว่า เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว สมองของโฮโมเซเปี้ยนส์มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด (Cognitive Revolution) ทำให้โฮโมเซเปี้ยนส์สร้างเครื่องไม้เครื่องมือและรวมกันเป็นกลุ่มได้ใหญ่กว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามนุษย์กลุ่มนี้สามารถที่จะดำรงชีพอยู่ได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย และหาอาหารได้เก่งกว่ามนุษย์เผ่าพันธ์ุอื่นๆ

แต่หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่สุดที่ทำให้เผ่าพันธุ์โฮโมเซเปี้ยนส์อยู่เหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็คือ…

ความสามารถในการใช้ภาษาครับ

ภาษา ทำให้โฮโมเซเปี้ยนส์สามารถส่งต่อข้อมูลสำคัญๆ ให้กับเพื่อนๆ ภายในกลุ่มได้ เช่นบอกกล่าวว่าแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์อยู่ตรงไหน หรือตำแหน่งของรังสัตว์ดุร้ายที่ไม่ควรเข้าใกล้

นอกจากภาษาจะทำให้โฮโมเซเปี้ยนส์คุยกันเรื่องการหาอยู่หากินและการเอาชีวิตรอดแล้ว ภาษายังเปิดทางให้เผ่าพันธุ์นี้ได้พูดคุยในเรื่องที่เป็นนามธรรมอย่างเรื่อง เทพเจ้าหรือเรื่องสิทธิเสรีภาพได้อีกด้วย (นีแอนเดอธาลที่ไม่มีภาษาย่อมไม่สามารถสื่อสารกันในเรื่องเหล่านี้ได้เลย)

อีกปรากฎการณ์หนึ่งที่มีผลต่อประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างมหาศาล คือแทนที่จะออกล่าสัตว์และเก็บผลหมากรากไม้ เผ่าพันธุ์โฮโมเซเปี้ยนส์เริ่มทำการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เมื่อประมาณ 12000 ปีที่แล้ว และในเวลาเพียง 10,000 ปี สังคมที่เคยเอาแต่เข้าป่าล่าสัตว์ก็ได้เปลี่ยนเป็นสังคมกสิกรรมแบบเต็มตัว

การทำกสิกรรมและปศุสัตว์นั้นทำให้มนุษย์โฮโมเซเปี้ยนส์มีอาหารกินตลอดปี ทำให้ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ จึงลงหลักปักฐานและเริ่มสร้างเมือง ขนาดสังคมของโฮโมเซเปี้ยนส์จึงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

การมาของสังคมกสิกรรม ยังเป็นต้นกำเนิดของเงินตราและภาษาเขียนอีกด้วย เพราะเมื่อมนุษย์เริ่มปลูกพืชผลหรือเลี้ยงสัตว์อะไรเองได้ ก็เริ่มมีการนำของที่ตัวเองมีมาแลกเปลี่ยนกัน (หรือที่ฝรั่งเรียกว่าระบบ bartering นั่นเอง) เช่นเอาผักมาแลกกับปลา เอาวัวไปแลกกับมีดเป็นต้น

แต่การเอาสิ่งของมาแลกกันก็มีข้อจำกัด เพราะถ้าผมเป็นช่างตีมีดที่อยากจะเอามีดของผมไปแลกกับวัวของชาวนา ชาวนาเขาอจมีมีดอยู่เต็มบ้านแล้วก็ได้ หรือเขาอาจจะต้องการมีดของเรา แต่วัวของเขายังโตไม่พอ ถ้าเราให้มีดเขาไปก่อน ชาวนาก็อาจจะเบี้ยวเราก็ได้

ดังนั้น เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว ชาวสุเมเรียนแห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย จึงเริ่มมีการ “จดข้อมูล” โดยใชัสัญลักษณ์ง่ายๆ ลงบนกระดานที่ทำมาจากดินเหนียว (นี่น่าจะเป็นจุดกำเนิดของภาษาเขียน)

นอกจากนี้แล้ว ชาวสุเมเรียนก็ได้เริ่มใช้เมล็ดข้าวบาร์ลีย์แทนเงินสด (barley money) โดยใช้วิธีตวงเอา เช่นมีดหนึ่งเล่มเท่ามีมูลค่าเท่ากับข้าวบาร์ลีย์สามถ้วย เป็นต้น

แต่แน่นอน เมื่อมากคนก็มากความ และมนุษย์สมัยนั้นก็ยังป่าเถื่อน จึงจำเป็นต้องมีระบอบการปกครองขึ้นมา ซึ่งระบอบแรกที่เกิดขึ้นก็คือระบอบกษัตริย์

แต่การรวบรวมคนต่างเผ่าให้มาเชื่อฟังและอยู่ภายใต้การปกครองของคนๆ เดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงจำเป็นต้องอ้างอิงสิ่งที่สูงส่งไปกว่านั้นคือเทพเจ้า โดยกษัตริย์ในสมัยแรกๆ นั้นมักจะอ้างว่าตัวเองได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าให้มาปกครองคนในเมืองนี้ อย่างเช่นกษัตริย์นามฮัมมูราบีที่อ้างว่าตัวเองได้รับบัญชาการจากพระเจ้าให้มาปกครองประชาชนในเมโสโปเตเมีย และได้ร่างกฎหมายฉบับแรกของโลก – Hammurabi Code เพื่อเป็นกฎเกณฑ์สำหรับราษฎรของพระองค์อีกด้วย การมีชนชั้นปกครองและกฎหมาย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนต่างถิ่น ต่างเผ่า ต่างความเชื่อ มารวมศูนย์และเริ่มมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน จนกลายมาเป็นรัฐและประเทศนั่นเอง


พอมาถึงคริสศตวรรษที่ 16 และ 17* ก็เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (scientific revolution) นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกอย่างดาวินชี กาลิเลโอ หรือนิวตันก็เกิดในยุคนี้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์และฟิสิกส์ทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นมาก รวมทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจให้โชติช่วงชัชวาลด้วย

แฟชั่นของคนมีอำนาจสมัยนั้น ก็คือการ “สปอนเซอร์” นักสำรวจให้ออกไปหา “ดินแดนใหม่” เพื่อจะนำทรัพยากรธรรมชาติหรือวัตถุดิบแปลกใหม่มาสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเอง ยกตัวอย่างเช่นกษัตริย์คาสติลล์แห่งสเปนที่ส่งโคลัมบัสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจนไปเจอทวีปอเมริกา ส่วนรัฐบาลอังกฤษก็ส่งกัปตันเจมส์ คุก ไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกและได้ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ไปครอง ยุคล่าอาณานิคมได้เกิดขึ้นแล้ว!

ในคริสตศตวรรษที่ 19 ยุโรปจึงเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริง อังกฤษมีอาณาเขตครอบคลุมถึงครึ่งหนึ่งของโลก และ “ชุดความคิด-ชุดความเชื่อ” จากยุโรปก็ได้ส่งต่อไปยังทุกๆ ที่ที่ชาวยุโรปเข้าไปยึดครอง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ประชาธิปไตย และวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์

แต่ “ชุดความเชื่อ” จากยุโรปที่มีอิทธิพลมากที่สุดกับคนทั้งโลกก็คือเรื่องของ ระบอบทุนนิยม และยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากเท่าไหร่ คนก็หยุดเชื่อเรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น คนที่รู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าและโลกหน้าไม่มีเหตุผลและพิสูจน์ไม่ได้ จึงเน้นกับการทำอย่างไรก็ได้ให้มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ ซึ่งก็เป็นตัวเสริมให้ทุนนิยมยิ่งเข้มแข็ง เพราะมนุษย์ก็จะขยันทำงานเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายและเสพสุขนั่นเอง

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของทุนนิยมและการทำมาค้าขายกันข้ามโลกก็คือมันนำมาซึ่งความสงบ

หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันสงบตรงไหน ก็เห็นรบกันอยู่ปาวๆ แต่ทุนนิยมนั้นนำมาซึ่งการเชื่อมโยงและพึ่งพากันทางเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าประเทศไหนมีปัญหา ก็ย่อมจะเกิดผลกระทบตามมาเป็นโดมิโน (เหมือนที่วิกฤติต้มยำกุ้งของไทยทำให้เศรษฐกิจอาเซียนสั่นสะเทือน) ดังนั้นประเทศต่างๆ จึงพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบสุขของโลกใบนี้ (world peace) เพราะรู้ดีแก่ใจว่า ถ้าประเทศอื่นเดือนร้อน ประเทศเราก็จะพาเดือดร้อนไปด้วย

แล้วอนาคตของโฮโมเซเปียนส์จะเป็นอย่างไร? หนังสือเล่มนี้บอกว่ามนุษย์จะเริ่มเสริมสร้างร่างกายด้วยสิ่งที่เรียกว่า bionics หรือชีวประดิษฐศาสตร์ (ลองดูตัวอย่างของคนที่มีขา bionics ได้ในบล็อกตอนนี้ครับ) และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์อาจจะมีเครื่องกลอยู่ในร่างกายมากกว่าเลือดเนื้อจริงๆ ก็ได้

เมื่อวันนั้นมาถึง (ซึ่งอาจจะเป็นรุ่นหลานหรือรุ่นเหลนเราก็ได้) เราอาจไม่สามารถเรียกตัวเองว่า Homo sapiens ได้อีกต่อไปครับ

 

ป.ล. สรุปหนังสือที่ผมอ่านมา เหมือนจะมีการ “ขาดตอน” คือไม่ได้สรุปให้ฟังว่า แล้วช่วงระหว่างเริ่มต้นคริสตกาล มาจนถึงคริสศตวรรษที่ 16 นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมจึงต้องขอเว้นไว้ก่อน ไว้ถ้าได้อ่านหนังสือฉบับเต็มๆ จะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Blinkist: Sapiens: A Brief History of Mankind  *

ขอบคุณภาพจาก Flickr: Vector Open Stock 

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

* ลิงค์ของ Blinkist ด้านบนนั้นเป็น affiliate link ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณผู้อ่านสมัครสมาชิก (ฟรี) ผ่านลิงค์นี้ ผมจะได้ค่าขนมจาก Blinkist 50 เซ็นต์ครับ

Banner468x60ver1.jpg

เหตุผลที่เราควรมีเมตตา

20160529_BeKind

“Be kind, for everyone you meet is fighting a hard battle.”

– Plato


ที่เมืองไทยเราอาจจะไม่ค่อยมีปัญหา “เด็กเกเรที่ชอบรังแกคนอื่น”

แต่ฝรั่งจะมีคำที่เรียกเด็กเหล่านี้โดยเฉพาะ นั่นคือคำว่า “bully”

ผมเดาว่าคำนี้น่าจะมาจากคำว่า bull หรือวัวกระทิงที่ดุดัน

ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Back to the future น่าจะจำพอจำได้ว่าพ่อของพระเอกเป็นเด็กหงอและมักเจอบุลลี่ที่ชื่อ Biff และลิ่วล้อรังแกเป็นประจำ

ผมเคยอ่านเจอใน Quora ว่า เด็กๆ ที่เป็นบุลลี่นั้น ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่พ่อชอบใช้ความรุนแรง

เช่นเด็กที่โตมาในบ้านของทหารที่เพิ่งไปรบกลับมา

พ่อไปสู้ศึกสงคราม แบกรับบาดแผลกลับมาที่บ้าน แล้วมาระบายกับแม่และลูก

ลูกที่สู้พ่อไม่ได้ ก็เลยทนรับความรุนแรงของพ่อ แล้วมาปล่อยกับเพื่อนร่วมรุ่นที่โรงเรียน

จะเห็นได้ว่าทุกคนเป็น “เหยื่อ” ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหงอที่โดนรังแก หรือเด็กเกเรที่ถูกพ่อใช้ความรุนแรง หรือแม้กระทั่งตัวพ่อเองที่ถูกทำร้ายจากสงครามที่เขาไม่ได้เริ่ม


แต่ละวันเราจะเจอคนที่ทำให้เราหงุดหงิดหรือผิดหวัง

อาจจะเป็นคนที่ขับรถปาดหน้า พูดจาไม่เข้าหู หรือทำตัวไม่น่ารัก

สิ่งที่ทำให้เขาแสดงออกมาอย่างนั้น อาจไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย

เขาเองน่าจะบาดเจ็บจากอะไรมา ก็เลยต้องระบายสู่คนรอบข้าง แม้จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

เราเองบางครั้งก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน อาจจะเครียดจากเรื่องงานแล้วทำให้พูดจาไม่ดีกับแม่ หรือทะเลาะกับใครมาก็เลยขับรถไร้มารยาท ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ตัวตนของเราซักหน่อย

“Be kind, for everyone you meet is fighting a hard battle.”

ใช่แล้ว ทุกคนก็มีเรื่องทุกข์อยู่ข้างในจนปริ่ม จึงเป็นธรรมดาที่บางส่วนอาจจะล้นออกมาโดนคนอื่น

ถ้าเราไม่ลืมประเด็นนี้ เราจะมีเมตตากับคนรอบกายมากขึ้น

โดยเฉพาะคนที่ทำตัวไม่น่ารัก


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

คนข้างหลัง

20160527_behind

ถาม: มองเห็นอะไรในกีฬาวอลเลย์บอลบ้างคะ
ตอบ: มันมีเสน่ห์อยู่ในนั้น มีความรัก มีความสามัคคี มีความผูกพัน คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลก ถึงคุณจะเล่นกีฬาประเภทเดี่ยว แต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมีเพื่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเห็นความผูกพัน เห็นมิตรภาพที่ยั่งยืนยาวนานของคน ถ้าให้ผมมองทีมผม สิ่งที่เห็นก็คือมันมีเบื้องหลังอยู่มากมาย มันมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม แต่ละคนมุ่งมั่นอะไร มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝัน ฝันของเขาคืออะไร ไม่ใช่แค่ไปโอลิมปิกอย่างเดียว แต่อยากเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ ผมเห็นความฝันของคนที่อยู่ข้างหลังเขา เวลาที่เขาแพ้ เวลาที่เขาบาดเจ็บ ไม่ไหว ท้อแท้ ร้องไห้ ผมมองเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา พยายามผลักเขาขึ้น ผมมองเห็นในสิ่งหลายคนอาจจะมองไม่เห็น เวลาที่ทีมเราแพ้ ใครที่คอยให้กำลังใจเราถ้าไม่ใช่ครอบครัว คนใกล้ตัว ผู้บริหารสมาคม แฟนคลับ เรามีแฟนคลับเยอะแยะที่คอยเป็นกำลังใจให้เรา ผมมองเห็นคนที่ไม่รู้ว่าจะจินตนาการเป็นหน้าใคร แต่วาดหน้าได้ว่าเป็นสีธงสามสี ก็คือคนไทยที่ให้อภัยกันและพยายามช่วยกัน สิ่งที่ผมทำ ที่ผมสร้างพวกเขามา พวกเขาไม่เคยเลยที่จะเล่นกีฬาแบบเหยาะแหยะ เล่นแบบไม่สู้ พวกเขาสู้ทุกเกม นี่คือสิ่งที่ผมพอใจและภูมิใจในตัวพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผมเห็นในกีฬาวอลเลย์บอล

– เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
a day BULLETIN issue 216, 7-13 Sep 2012
สัมภาษณ์ วสิตา กิจปรีชา
ถ่ายภาพ กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร

If you want to go fast, go alone.
If you want to go far, go together

– African proverb


ช่วงนี้วงการกีฬาของไทยเราคึกคักเป็นพิเศษ

ไม่ว่าจะเป็นน้องเมย์ รัชนกที่ได้ขึ้นเป็นนักแบดหญิงมือหนึ่งของโลก (แม้จะแค่ชั่วคราว)

หรือนักฟุตบอลชายที่กำลังลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

และล่าสุดคือนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงของเราที่แพ้ญี่ปุ่นไปอย่างดราม่าและชนะเกาหลีแบบสุดสะใจ

และถึงแม้ทีมวอลเลย์จะไม่ได้ไปโอลิมปิก แต่วันจันทร์ที่ผ่านมาก็มีคนไปต้อนรับที่สนามบินอย่างล้นหลาม

สาวๆ นักตบได้ใจของพวกเราไปเต็มๆ เพราะความสู้ไม่ถอย คนดูจึงเชียร์สนุกและมีความสุขมาก

แต่กว่าเขาจะมาเล่นวอลเลย์ให้เรามีรอยยิ้ม เขาต้องผ่านการร้องไห้และเจ็บปวดมาเท่าไหร่ ต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนักแค่ไหนถึงได้กลายเป็นหนึ่งในทีมระดับต้นๆ ของเอเชีย

คงมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขามาได้ไกลขนาดนี้

ปัจจัยแรกก็คือตัวนักกีฬาเองที่มีความสามารถ มีความฝัน และมีความมุ่งมั่นที่จะได้ไปแข่งขันในระดับโลก

ปัจจัยต่อมาก็คือทีมงานที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นโค้ช สมาคมวอลเลย์บอล หรือแม้กระทั่งสปอนเซอร์ที่ร่วมสนับสนุน

แต่ปัจจัยหนึ่งที่เราอาจลืมคิดถึง ก็คือครอบครัวที่คอยเป็น “ลมใต้ปีก” ให้นักกีฬาแต่ละคนตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ต้องยอมให้ลูกไปเก็บตัวซ้อมเป็นเวลาหลายหลายเดือน หรือแฟนที่แม้อยากจะพาไปเที่ยวที่ไหนก็อาจไม่ค่อยได้ไป

คนกลุ่มนี้ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อจะช่วยผลักดันให้เหล่าๆ นักตบสาวได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้

ดังนั้น เวลาที่พวกเธอลงสนามแข่ง เธอจึงไม่ได้เล่นเพื่อตัวเอง หรือเล่นเพื่อทีมชาติเท่านั้น แต่เธอกำลังเล่นเพื่อคนที่อยู่ข้างหลังเธอตลอดมาด้วย

ฝันของเขาคืออะไร ไม่ใช่แค่ไปโอลิมปิกอย่างเดียว แต่อยากเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ ผมเห็นความฝันของคนที่อยู่ข้างหลังเขา เวลาที่เขาแพ้ เวลาที่เขาบาดเจ็บ ไม่ไหว ท้อแท้ ร้องไห้ ผมมองเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา พยายามผลักเขาขึ้น ผมมองเห็นในสิ่งหลายคนอาจจะมองไม่เห็น

ผมว่าความงดงามของชีวิตคนมันอยู่ตรงนี้แหละ

เราทุกคนมีความฝัน มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่อยากจะทำ แต่การทำตามความฝันให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

มันคงจะดีมาก หากจะมีใครสักคนที่เห็นและเชื่อสิ่งที่เราฝันเหมือนกัน แม้เขาอาจจะไม่ได้มาลงแรง แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าวันที่เราเหนื่อยและพ่ายแพ้ ก็ยังมีใครคนหนึ่งที่พร้อมจะกอดเราไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ พักก่อนแล้วค่อยกลับไปลุยใหม่

เมื่อความฝันของเราได้กลายเป็นความฝันของคนอื่นด้วย เราก็พร้อมที่จะสู้ยิบตา

เพราะเรารู้แล้วว่าเราสู้ไปทำไม

และเราสู้ไปเพื่อใคร


ขอบคุณรูปภาพจาก ISSUU.com: a day BULLETIN issue 216, 7-13 Sep 2012

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

นิทานเพื่อนซี้

20160526_bestfriends

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

แจ๊คกับบ๊อบเป็นเพื่อนรักกันมานานถึงสามสิบปี เพราะชอบสกีเหมือนกันจึงไปเล่นสกีด้วยกันทุกฤดูหนาว

ปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่แจ๊คกับบ๊อบนัดไปเล่นสกีช่วงสุดสัปดาห์ แต่ระหว่างทางไปสกีรีสอร์ตกลับเจอหิมะตกหนัก ทั้งสองจึงแวะฟาร์มแห่งหนึ่งและไปเคาะประตูบ้านหลังใหญ่

คนที่มาเปิดประตูให้เป็นหญิงสาวหน้าตาดีทีเดียว

แจ๊ค: สวัสดีครับคุณผู้หญิง เราสองคนจะไปเล่นสกีกัน แต่หิมะตกหนักมาก ขับรถไปสกีรีสอร์ตไม่ไหว เราจะขอพักที่นี่ซักคืนได้มั้ยครับ?

หญิงสาว: ฉันเห็นใจคุณนะคะ บ้านก็ยังมีห้องว่างอยู่หลายห้องและฉันก็อยู่คนเดียวด้วย แต่ฉันเพิ่งจะสูญเสียสามีไปไม่นาน ถ้าให้คุณเข้ามาพักที่นี่เพื่อนบ้านจะนินทาเอาได้

แจ๊ค: ไม่เป็นไรครับ พวกเราขอนอนในยุ้งฉางก็ได้ พรุ่งนี้เช้าหิมะพอหิมะหยุดตกแล้วเราก็จะรีบออกเดินทางทันทีเลยครับ

หญิงสาวตกลง แจ๊คกับบ๊อบจึงได้นอนที่ยุ้งฉางในคืนนั้น วันรุ่งขึ้นอากาศแจ่มใส ทั้งสองจึงขับรถไปถึงรีสอร์ตและได้เล่นสกีตามทีตั้งใจไว้

9 เดือนถัดมา แจ๊คก็ต้องประหลาดใจที่ได้รับจดหมายจากทนายความ ใช้เวลาสักครู่จึงพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้  จึงรีบไปหาบ๊อบที่บ้าน

แจ๊ค: มึงจำวันที่เราไปเล่นสกีแล้วต้องไปนอนในยุ้งฉางเพราะติดพายุหิมะได้มั้ย?

บ๊อบ: จำได้สิ

แจ๊ค: แล้วมึง…ลุกขึ้นมากลางดึกแล้วแวะไปเยี่ยมเจ้าของบ้านรึเปล่า?

บ๊อบ (หน้าแดง): ใช่ว่ะ กูไปหาเขา

แจ๊ค: แล้วมึงก็บอกเขาไปว่ามึงชื่อ “แจ๊ค จอห์นสัน” ใช่ม้้ย?

บ๊อบ: ใช่…เฮ้ยกูขอโทษจริงๆ ที่อ้างชื่อมึง…กูทำให้มึงเดือดร้อนรึเปล่าเนี่ย?

แจ๊ค: ก็ไม่เชิงว่ะ ผู้หญิงคนนั้นเธอเพิ่งเสีย แล้วคุณเธอดันทิ้งมรดกไว้ให้กูหมดเลย


ขอบคุณภาพจาก The Guardian: France Holiday + Adventure Travel

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่