หลายคนคงได้ยินหรือดูวีดีโอเรื่องอาจารย์กับโถหนึ่งใบ หินก้อนใหญ่ ก้อนกรวด และเม็ดทราย
อาจารย์ใส่หินก้อนใหญ่ลงไปในโถและถามเด็กนักเรียนว่าโถเต็มรึยัง เด็กตอบว่าเต็มแล้ว
แต่อาจารย์ก็ใส่ก้อนกรวดลงไปในโถได้อีก และถามว่าโถเต็มรึยัง เด็กตอบว่าเต็มแล้ว
แต่อาจารย์ก็ยังใส่ทรายลงไปได้อีก (แถมยังเติมเบียร์ลงไปได้อีกด้วย)
อาจารย์บอกว่า ถ้าเราใส่หินก้อนใหญ่ลงไปก่อน เราจะมีพื้นที่ให้กรวดและทรายเสมอ
แต่ถ้าเราใส่ทรายลงไปก่อน เราจะไม่พื้นที่เหลือให้หินก้อนใหญ่เลย
หินก้อนใหญ่คือเรื่องสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความสัมพันธ์ สิ่งที่เรารัก
ก้อนกรวดคือเรื่องสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถ
ทรายคือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่สำคัญกับชีวิตเท่าไหร่นัก
—–
Eisenhower Matrix ระบุไว้ว่ากิจกรรมในชีวิตคนเรามีสี่แบบ
Q1 เรื่องสำคัญและเร่งด่วน
Q2 เรื่องสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
Q3 เรื่องไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
Q4 เรื่องไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
สำหรับอาจารย์ หินก้อนใหญ่ก็คงเป็น Q1 & Q2 ก้อนกรวดคือ Q3 และทรายคือ Q4
ถ้าเราจัดตารางให้ Q2 หรือเรื่องสำคัญและไม่เร่งด่วนลงไปก่อน ตามด้วย Q1 คือสิ่งที่ถูกบังคับให้ต้องทำอยู่แล้ว เราก็จะมีเวลาน้อยลงสำหรับการทำ Q3 และ Q4 ไปโดยปริยาย ซึ่งไม่เป็นไร เพราะเอาจริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้น
ผมสังเกตตัวเองว่าวันไหนที่สนุกกับงาน สนุกกับการออกกำลังกาย หรือสนุกกับการอยู่กับผู้คน ผมจะเล่นมือถือ (Q4) น้อยลงไปโดยไม่ต้องพยายาม
—–
ผมเพิ่งได้ฟังรายการ Impact Theory สัมภาษณ์ Sal DiStefano ที่เป็นกูรูด้านฟิตเนส
ดีสเตฟาโน่บอกว่า แต่ก่อนเวลามีนักเรียนมาขอความช่วยเหลือในการลดน้ำหนัก เขาจะให้การบ้านนักเรียนไปจดทุกอย่างที่กินเป็นเวลาสองสัปดาห์
จากนั้นดีสเตฟาโน่ก็จะรีวิวรายการอาหารเหล่านั้น และสั่งนักเรียนว่าต้องตัดอะไรทิ้งบ้าง
ซึ่งก็ทำให้นักเรียนน้ำหนักลดลงได้จริง แต่หลังจากจบโปรแกรมไป นักเรียนส่วนใหญ่จะกลับมาน้ำหนักเท่าเดิมภายในเวลาหนึ่งปี
ดีสเตฟาโน่เชื่อว่า เวลาเราไปบังคับหรือจำกัดสิทธิ์ใครสักคน – เช่นห้ามกินคุกกี้ – คนที่โดนห้ามนั้นจะมี “ตัวตน” ที่ซ่อนอยู่ข้างในที่คอยต่อต้านว่า “ทำไมฉันจะกินไม่ได้?” ช่วงที่โดนบังคับอาจจะห้ามใจไม่แตะคุกกี้ได้ก็จริง แต่เมื่อจบโปรแกรมและไม่โดนบังคับอีกต่อไป ตัวตนที่ต่อต้านนั้นจะโผล่ออกมาและทำการ “ล้างแค้น” ด้วยการกินคุกกี้หมดห่อได้ในคราวเดียว
เมื่อดีสเตฟาโน่เข้าใจแล้วว่าการบังคับหรือการจำกัดอาหารนั้นไม่ยั่งยืน เขาเลยเปลี่ยนแนวทาง
เวลามีนักเรียนใหม่มา เขาจะบอกนักเรียนเลยว่า
“อยากกินอะไร กินเท่าไหร่ก็กินไปเลย ขออย่างเดียวว่าให้กินแต่ whole foods เท่านั้น (อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป)”
ซึ่งปรากฎว่าแค่หันมากินแต่ whole foods อย่างเดียว ก็ลดน้ำหนักได้อย่างชัดเจนแม้จะกินอาหารปริมาณเท่าเดิม
หรือไม่เขาก็อาจจะบอกว่า ให้นักเรียนกินเหมือนที่เคยกินมาเลย ขอแค่สองอย่าง คือกินโปรตีนให้ถึง 150 กรัม และดื่มน้ำเปล่าวันละสองขวดใหญ่
ดีสเตฟาโน่รู้ดีว่า ถ้ากินโปรตีน 150 กรัม มันก็จะอิ่มมากอยู่แล้ว ทำให้ท้องไม่อยากกินอาหารอื่นๆ (ที่เสียสุขภาพ) ไปโดยปริยาย และถ้าคนคนหนึ่งดื่มน้ำเปล่าวันละสองขวดใหญ่ ก็คงไม่มีพื้นที่เหลือให้ดื่มน้ำหวานมากเท่าไหร่แล้ว
แทนที่จะบังคับไม่ให้กินคุกกี้หรือไม่ให้ดื่มน้ำหวาน ดีสเตฟาโน่เปลี่ยนเป็นขอให้กินโปรตีนและดื่มน้ำเปล่า
ผมว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจ และอาจสอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถหักห้ามใจหรือมีวินัยได้ขนาดนั้น แถมคนเหล่านี้ยังมีทางเลือกอย่างเต็มที่ว่าจะกินอะไรและกินเยอะแค่ไหน จึงไม่เกิดการต่อต้านจากตัวตนข้างใน
เมื่อใส่หินก้อนใหญ่ มันจะเหลือที่ให้ใส่ทรายน้อยลง
เมื่อใส่สิ่งที่ถูกลงไป มันจะเหลือที่ให้สิ่งที่ผิดน้อยลงครับ