คนไทยรักสุขภาพมาก เพราะว่าเราเซนเซอร์คนดูดบุหรี่ในทีวี แต่ยอมให้ผู้หญิงมาตบแย่งผัวกันหลังข่าวทุกคืน
– วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
—–
วันนี้ไปงานแต่งงานเพื่อนที่เอเชี่ยนยู เลยได้เจอเพื่อนเก่าๆ ซึ่งรวมถึงเพื่อนที่เรียนวิศวะมาด้วยกันคือไก่ เต้อ โอ
มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งสมัยผมเรียนอยู่ปีสามที่ผมเคยตวาดใส่โอ
ที่ยังจำได้เพราะธรรมดาผมไม่ค่อยว่าใครแรงๆ แต่ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่หนที่พูดออกไป และก็ยังแอบรู้สึกผิด (ระคนภูมิใจ) มาจนถึงวันนี้
ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมขอพูดถึงบริบทก่อน
พวกเราเป็นรุ่นแรกของมหาวิทยาลัยเอเชี่ยนยู ตอนนั้นมีเด็กปริญญาตรีเพียง 13 คน แบ่งเป็นเด็กวิศวะ 6 คน เด็กบริหารธุรกิจ 7 คน (ตอนแรกมี 20 คนแต่พอจบปีสองแล้วเราเหลือกันแค่นี้)
ค่าเทอมของ Asian U ในตอนนั้นแพงมาก อาจจะแพงที่สุดในเมืองไทยด้วยซ้ำ คือเทอมละ 150,000 บาท หรือปีละ 300,000 ถ้ารวมค่าหอพักอีกปีละ 60,000 และค่าใช้จ่ายรายเดือน ก็แสดงว่าต้องใช้เงินถึงปีละ 400,000 บาทเลยทีเดียว
ข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่คือมีมอบทุนการศึกษาแบบไม่มีข้อผูกมัด โดยสมัยนั้นจะมีทุนสามระดับคือ 400,000 บาท 200,000 บาท และ 100,000 บาทต่อปี
คณะวิศวะของเราที่มี 6 คนนั้น แบ่งเป็นนักเรียนทุนกับนักเรียนที่(พ่อแม่)จ่ายตังค์เองอย่างละครึ่ง
นักเรียนที่จ่ายตังค์เองก็มีไก่ โอ และ เจ (เจคือผู้หญิงคนเดียวของรุ่น)
ส่วนนักเรียนทุนก็คือฮิม เต้อ และ-อะแฮ่ม-ผมเอง (สองคนแรกทุนเต็ม ส่วนผมทุนสองแสน)
ผู้อ่านอาจจะพอนึกภาพออกว่าเด็กทุนจะเป็นกลุ่มที่ขยันกว่า เพราะเราต้องรักษาเกรดเฉลี่ยให้ได้เกิน 3.0 เจก็ขยันบ้างเวลาที่มีกำลังใจ ส่วนโอกับไก่จะออกรักสนุกนิดนึง ชอบเล่นเกมดึกๆ จนบางวันก็ตื่นไปเรียนไม่ไหว
พอจะสอบกันทีก็ต้องปิดห้องติวกัน หรือถ้าใครสอบตกก็ต้องมาช่วยนั่งทำงานเสริม แต่ผมก็ชอบบรรยากาศอย่างนี้นะ อบอุ่นดี เพราะพวกเราต่างก็หวังว่ารุ่นแรกจะจบพร้อมกันทุกคน มีอะไรก็เลยช่วยเหลือกันเต็มที่
ด้วยความที่เอเชี่ยนยูเด็กยังน้อยมาก แจกทุนก็เยอะ แถมเจ้าของยังเป็นคนมัธยัสถ์ด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ เช่นห้องน้ำไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น อุปกรณ์ในห้องแล็บมีน้อยเกินไป สปอร์ตคลับไม่ติดแอร์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จึงตกเป็นเป้าให้นักศึกษาได้ตำหนิเป็นประจำ โดยเฉพาะนักศึกษาที่พ่อแม่ต้องจ่ายตังค์มาเรียนเอง
อยู่มาวันหนึ่ง ที่ห้องทานข้าวชั้นหนึ่งหอพักชาย ไก่กับโอก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัยกันอย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยหัวข้อเดิมๆ ว่าด้วยสิ่งต่างๆ ที่เอชียนยูควรจะมีให้สมฐานะมหาวิทยาลัยค่าเทอมสี่แสน
ผมเองก็เบื่อที่ต้องมานั่งฟังเพื่อนบ่นอยู่เหมือนกัน เพราะบ่นเสร็จแล้วก็ไม่เห็นทำอะไร แต่ก็ทนฟังไปโดยไม่ได้โต้เถียงอะไรมากนัก…
จนถึงประโยคหนึ่งที่โอพูดออกมาว่า “ที่กูบ่นอย่างนี้ เพราะเสียดายเงินพ่อแม่เว้ย”
ผมเลยสวนกลับทันทีว่า “ถ้าเสียดายเงินพ่อแม่ ก็ตั้งใจเรียนสิวะ”
โอหยุดชะงัก
ผมพูดต่ออีกว่า “แยกให้ออกสิว่าอันไหนแก่น อันไหนเปลือก”
ผมจำเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้ไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ โอกับไก่หยุดวิจารณ์มหาลัย เพราะแม้สิ่งที่ผมพูดมันจะดูแรง แต่มันก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง
เพราะคาบแรกเมื่อเช้านี้มันก็ไม่ได้ไปเรียน
—–
หากมองไปรอบๆ ตัว เราจะเห็นการแก้ปัญหาที่เปลือกอยู่ไม่น้อย
เราเซ็นเซอร์ปืนในทีวี แต่เราไม่เคยเห็นละครเรื่องไหนที่พระเอกข่มขืนนางเอกแล้วจะโดนตำรวจจับด้วยข้อหากระทำชำเรา
เราเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน แต่เราก็ยังยอมจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะหรือใช้เส้นสายเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่เราหมายมั่นปั้นมือ
เราอยากจะใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า แต่พอว่างเมื่อไหร่เราก็ก้มดูมือถือ
คนเราชอบแก้ปัญหาที่เปลือกเพราะว่ามัน “ง่ายดี” และ “ไม่ต้องคิดเยอะ”
ไม่ผิดครับ อย่างน้อยก็อาจจะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ผมห่วงแค่เพียงอย่างเดียว
ว่าถ้าเรามัวใส่ใจแต่เรื่องเปลือก จนไปสำคัญผิดว่ามันเป็นแก่นแล้วล่ะก็
เราอาจจะไม่มีวันได้สิ่งที่เราต้องการเลยก็ได้
—–
ขอบคุณรูปภาพจาก Wikipedia
ขอบคุณครับสำหรับเรื่องเล่าดีๆ ที่นำมาแชร์ให้อ่าน ^^
LikeLiked by 1 person
Pingback: เหตุผลที่ผมเลิกเล่นการพนัน | Anontawong's Musings