คำแนะนำการใช้ชีวิตจากชายหนุ่มอายุ 21 ปี

Hunter S. Thompson เป็นนักข่าวชาวอเมริกันที่เกิดเมื่อปี 1937 และเสียชีวิตเมื่อปี 2005

ผลงานที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดคือหนังสือ Fear and Loathing in Las Vegas ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นหนังฮอลลีวูด นำแสดงโดย Johnny Depp

ในปี 1958 เพื่อนของทอมป์สันชื่อ Hume Logan ได้เขียนจดหมายมาขอคำแนะนำเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต

จดหมายตอบกลับของทอมป์สันเป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ลึกซึ้งที่สุดที่ผมเคยอ่านมา

เลยขอนำมาถอดความให้ผู้ติดตาม Anontawong’s Musings ได้นำไปขบคิดกันต่อนะครับ


22 เมษายน 1958
57 เพอรี่สตรีท
นิวยอร์ค

สวัสดีฮูม

คุณอยากได้คำแนะนำจากผม – นี่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์และเป็นเรื่องอันตรายมาก! การที่คนคนหนึ่งจะไปแนะนำคนอื่นว่าควรใช้ชีวิตแบบไหนแสดงว่าเขาต้องหลงตัวเองประมาณหนึ่งเลยนะ การที่จะไปชี้ว่าอะไรคือเป้าหมายสูงสุด – ชี้ด้วยนิ้วมืออันสั่นระริกไปในทิศทางที่ “ถูกต้อง” เป็นเรื่องที่มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะกล้าทำ

ผมไม่ใช่คนโง่ แต่ผมก็เคารพในความจริงใจของคุณที่มาขอคำชี้แนะ ผมจึงขอออกตัวก่อนว่าเวลาที่คุณอ่านสิ่งที่ผมจะเขียน คุณควรระลึกไว้เสมอว่าคำแนะนำทุกอย่างล้วนเป็นผลผลิตของคนที่ให้คำแนะนั้น ความจริงของคนคนหนึ่งอาจจะเป็นหายนะของอีกคนก็ได้ ผมไม่อาจมองชีวิตผ่านสายตาของคุณ และคุณก็ไม่อาจมองชีวิตผ่านสายตาผม ถ้าผมพยายามจะให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงมันก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดนำทางให้คนตาบอดอีกคน

“To be, or not to be: that is the question: Whether ’tis nobler in the mind to suffer the slings and arrows of outrageous fortune, or to take arms against a sea of troubles … ” (Shakespeare)

“จะอยู่หรือจะตาย นั่นแหละคือคำถาม: อะไรเล่าจะดีกว่ากัน ระหว่างอยู่สู้ทนกับชีวิตที่มีความสุขเพียงครั้งคราว หรือจะจบมันลงเสียเพื่อจะไม่ต้องเผชิญความทุกข์อันท่วมท้น”
-เชกสเปียร์

ใช่ นี่แหละคือคำถาม ว่าเราควรจะล่องลอยไปกับเกลียวคลื่น หรือควรจะว่ายน้ำฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมาย มันคือสิ่งที่เราต้องเลือกไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม น้อยคนนักที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้! ลองคิดย้อนกลับไปถึงการตัดสินใจที่มีผลต่ออนาคตของคุณดูสิ ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ แต่ผมว่าสุดท้ายแล้วมันคือการเลือกระหว่างทางสองแพร่งที่กล่าวมานั่นแหละว่าจะลอยน้ำหรือจะว่ายน้ำ

แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายแล้ว การลอยตามน้ำก็เป็นเรื่องเข้าท่าไม่ใช่หรือ? นั่นก็เป็นอีกหนึ่งคำถามเช่นกัน ผมว่ามันดีกว่ามากเลยนะที่จะรื่นรมย์ไปกับการลอยคอเมื่อเทียบกับการต้องแหวกว่ายอย่างไร้จุดหมาย

แล้วคนเรานั้นจะหาเป้าหมายได้อย่างไร? ไม่ใช่เป้าหมายฝันเฟื่องอย่างการสร้างปราสาทท่ามกลางหมู่ดาวนะ แต่เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้จริงๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองไม่ได้กำลังออกตามหา “ภูเขาลูกกวาด” อันเป็นเพียงเป้าหมายที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมและไม่มีแก่นสารอันใด

คำตอบ – ซึ่งในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโศกนาฏกรรมของชีวิตด้วย ก็คือเราพยายามที่จะเข้าใจเป้าหมาย แต่เรากลับไม่ได้พยายามเข้าใจตนเอง เราตั้งเป้าหมายขึ้นมา และเป้าหมายนั้นก็เรียกร้องให้เราทำอะไรบางอย่าง แล้วเราก็ลงมือทำสิ่งเหล่านั้น เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของเป้าหมาย ซึ่งผมว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

ตอนที่คุณเป็นเด็ก คุณอาจเคยอยากเป็นนักดับเพลิง แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณไม่ได้อยากเป็นนักดับเพลิงแล้ว ทำไมล่ะ? เพราะมุมมองของคุณได้เปลี่ยนไปแล้วยังไงล่ะ นักดับเพลิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คนที่เปลี่ยนคือคุณต่างหาก มนุษย์ทุกคนคือผลรวมของการตอบสนองต่อประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เมื่อประสบการณ์เริ่มหลากหลายและทวีคูณ คุณก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง และมุมมองของคุณก็ย่อมเปลี่ยนไป กระบวนการนี้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกการตอบสนองคือการเรียนรู้ และทุกประสบการณ์ที่สำคัญจะเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของคุณ

มันจึงเป็นเรื่องไม่ฉลาดเท่าไหร่ที่เราจะปรับแต่งชีวิตของเราเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เป้าหมายเรียกร้อง เพราะมุมมองที่เรามีต่อเป้าหมายนั้นเปลี่ยนไปทุกวัน ยิ่งพยายามเท่าไหร่ยิ่งอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้

ดังนั้นคำตอบจึงไม่ได้อยู่ในเป้าหมายอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเป้าหมายที่จับต้องได้ คงต้องใช้กระดาษหลายรีมถึงจะสาธยายเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด ไม่มีใครรู้หรอกว่ามีคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับ “ความหมายของชีวิต” ออกมาแล้วกี่เล่ม และไม่มีใครรู้หรอกว่ามีคนขบคิดเรื่องนี้มาแล้วกี่ครั้ง จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่ผมจะพยายามให้คำตอบโดยสังเขป เพราะผมขาดคุณสมบัติทุกข้อที่จะมาบอกเล่าความหมายของชีวิตได้ภายในไม่กี่ย่อหน้า

ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงคำว่า “อัตถิภาวนิยม” [existentialism ปรัชญาที่ว่าคนเรานั้นอิสระ] แต่คุณอาจจะอยากทดคำนี้ไว้ในใจ ถ้าสนใจคุณลองอ่านหนังสือ Being and Nothingness ของ Jean-Paul Sartre ดูก็ได้ ส่วนหนังสือชื่อ Existentialism from Dostoevsky to Sartre นั่นก็ดี แต่นี่เป็นแค่คำแนะนำเฉยๆ นะ ถ้าคุณรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตอยู่แล้วก็ควรหนีห่างจากหนังสือทั้งสองเล่มนี้

เอาล่ะ กลับเข้าเรื่อง อย่างที่บอกไป การที่คุณยึดมั่นในเป้าหมายที่จับต้องได้นั้นอาจเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนัก เพราะเราไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นนักดับเพลิง เราไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นนายธนาคาร เราไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นตำรวจหรือเป็นหมอ – เรามุ่งหมายที่จะเป็นตัวของตัวเองต่างหาก (we strive to be ourselves)

แต่อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นนักดับเพลิงหรือเป็นหมอไม่ได้ แต่เราต้องทำให้เป้าหมายนั้นสอดคล้องกับคน ไม่ใช่ทำให้คนสอดคล้องกับเป้าหมาย (we must make the goal conform to the individual, rather than make the individual conform to the goal.)

มนุษย์ทุกคนถูกโปรแกรมมาโดยพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมให้มีความสามารถและความมุ่งมาดปรารถนาที่จะทำอะไรบางอย่างให้ชีวิตของเขามีความหมาย คนเราล้วนมุ่งหวังจะเป็นอะไรสักอย่าง เราทุกคนล้วนอยากมีคุณค่า

สำหรับผม ผมคิดว่าสมการน่าจะเป็นประมาณนี้ – คนคนหนึ่งจะต้องเลือกทางเดินที่เอื้อให้เขาได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุในสิ่งที่เขามุ่งมาดปรารถนา

เมื่อทำตามกระบวนการนี้ เขาจะได้สนองความต้องการที่จะสร้างอัตลักษณ์ด้วยการทำอะไรตามแบบแผนเพื่อเข้าสู่เป้าหมายที่วางไว้ เขาจะปลดปล่อยศักยภาพของตนด้วยการเลือกเส้นทางที่จะไม่จำกัดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง และเขาจะไม่ต้องเจอว่าเป้าหมายที่มีนั้นเสื่อมสิ้นมนต์ขลังในช่วงที่เขาเข้าใกล้เป้าหมาย เพราะแทนที่เขาจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เป้าหมายเรียกร้อง เขาจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อให้มันสอดคล้องกับความสามารถและความปรารถนาที่เขามีในปัจจุบัน

หรือถ้าจะให้พูดสั้นๆ ก็คือ เราไม่ควรทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ แต่เราควรเลือกเส้นทางชีวิตที่เรารู้ว่าเราจะสนุกไปกับมัน เป้าหมายนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง การเดินทางไปสู่เป้าหมายต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ

และอาจฟังดูตลกที่ผมจะต้องขอย้ำเตือนว่า คนเราต้องได้เดินไปในเส้นทางที่เขาเป็นคนเลือก เพราะการปล่อยให้คนอื่นมาขีดเส้นทางให้เรานับเป็นการทิ้งขว้างสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต นั่นคือเจตจำนงเสรีที่มอบความเป็นปัจเจกให้มนุษย์คนหนึ่ง

สมมติว่าคุณมีทางเดินให้เลือก 8 ทาง (และแน่นอนว่าเป็นเส้นทางที่กำหนดเอาไว้แล้ว) และสมมติว่าคุณไม่เห็นประโยชน์ที่จะเดินทางใดทางหนึ่งใน 8 เส้นทางนี้เลย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องมองหาเส้นทางที่ 9 – และนี่คือใจความสำคัญทั้งหมดที่ผมต้องการจะสื่อ

แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะที่ผ่านมาชีวิตของคุณค่อนข้างคับแคบ เป็นชีวิตแนวดิ่งมากกว่าชีวิตแนวราบ จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมคุณถึงกำลังรู้สึกเช่นนี้ แต่ใครก็ตามที่ไม่ยอมตัดสินใจเลือกทางเดินของตน สุดท้ายเขาจะต้องจำใจเลือกเพราะถูกสถานการณ์บังคับอยู่ดี

ถ้าคุณกำลังท้อแท้ คุณก็มีเพียงสองทางเลือก นั่นคือยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเสาะแสวงหาหนทางใหม่อย่างจริงจัง แต่ขอเตือนว่าอย่าเผลอไปแสวงหาเป้าหมาย แต่ขอให้แสวงหา way of life – จงตัดสินใจว่าคุณอยากจะมีชีวิตแบบไหน แล้วค่อยดูว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างในการหาเลี้ยงชีพเพื่อที่จะได้มีชีวิตอย่างที่คุณอยากมี

คุณอาจจะตัดพ้อว่า “ผมไม่รู้ว่าจะมองหาที่ไหน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังมองหาอะไร”

ประเด็นมันก็อยู่ตรงนี้แหละ มันคุ้มกันมั้ยที่จะยอมทิ้งสิ่งที่เรามีเพื่อออกแสวงหาสิ่งใหม่? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณคิดว่ามันคุ้มรึเปล่าล่ะ? ไม่มีใครตัดสินเรื่องนี้แทนคุณได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยแค่เราตัดสินใจว่า “จะลองมองหาดู” ก็ช่วยให้เราเข้าใกล้คำตอบมากขึ้นแล้ว

ถ้าผมไม่หยุดเขียนเสียแต่ตอนนี้ สงสัยจะได้หนังสือเป็นเล่มๆ แน่ ผมหวังว่าข้อความนี้จะไม่ทำให้สับสนเท่ากับตอนที่คุณเห็นมันครั้งแรกนะ แน่นอนว่าคุณต้องทดไว้ในใจเสมอว่านี่คือวิธีการมองโลกในแบบของผม ผมคิดว่ามันน่าจะประยุกต์ใช้ได้กับคนทั่วไป แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เราทุกคนล้วนต้องยึดมั่นชุดความเชื่ออะไรบางอย่าง และนี่ก็เป็นเพียงชุดความเชื่อของผมเท่านั้นเอง

หากเจอข้อความใดในจดหมายนี้ที่อ่านแล้วไม่รู้เรื่องก็บอกผมได้เลย ผมไม่ได้พยายามจะส่งคุณไปตามหาปราสาทในเทพนิยาย แค่อยากจะชี้ให้เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องยอมรับทางเลือกที่คนอื่นยื่นมาให้เรา ชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีใครต้องทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำไปชั่วชีวิต แต่ถ้าสุดท้ายแล้วคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็ขอให้บอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่คุณเลี่ยงไม่ได้ มีคนที่ตกอยู่ในกลุ่มนี้มากมายดังนั้นคุณไม่ต้องกลัวเหงาเลย

ผมคงต้องพอแต่เพียงเท่านี้ จนกว่าผมจะได้ยินข่าวจากคุณอีกครั้ง ผมยังคงเป็น

เพื่อนคุณเสมอ
ฮันเตอร์


ขอบคุณเนื้อหาจาก Farnam Street: Hunter S. Thompson’s Letter on Finding Your Purpose and Living a Meaningful Life

ความจริงที่ควรพูดกับความจริงที่ไม่ควรพูด

ใช่ มันเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยก็ในมุมของเรา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ควรมองด้วยว่า

ความจริงนี้มันเยียวยาหรือทำร้าย

ความจริงนี้มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์

ความจริงนี้มันช่วยกระชับหรือทำลายความสัมพันธ์

ความจริงนี้มันมีวิธีพูดแบบอื่นที่จะรักษาน้ำใจกันไว้ได้หรือเปล่า

สุดท้ายแล้วเราจะเลือกพูดความจริงข้อไหน หรือพูดความจริงด้วยวิธีใด คงแล้วแต่ว่าเรายึดอะไรเป็นสรณะ

ถ้าเรายึดว่าพูดความจริงเสียอย่างจะไปกลัวอะไร ก็ต้องยอมรับผลกระทบที่จะตามมา

แต่ถ้าเราเชื่อว่า ในบางบริบทความจริงบางข้อก็ไม่ควรหลุดออกจากปาก ชีวิตก็อาจสงบสุขกว่านี้

“Everything you say should be true but not everything true should be said.”
-Voltaire

ขอให้แยกแยะให้ออก ว่าเวลาไหนควรพูด และเวลาไหนควรสงวนวาจาครับ

ลำดับการพูดคุย

เมื่อวานนี้ ระหว่างที่นั่งแท็กซี่กลับจากสนามบินและกำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาเช็คข้อความต่างๆ รวมถึง social media ผมก็คิดขึ้นได้ว่า มนุษย์เรามีคนให้คุยด้วย 3 กลุ่มด้วยกัน

พูดคุยกับตัวเอง – ว่าวันนี้เรารู้สึกยังไง อารมณ์สดใสหรือขุ่นมัว พลังงานของเราสูงหรือต่ำ วันนี้เราอยากทำอะไรให้สำเร็จ สัปดาห์นี้มีอะไรที่จะทำให้ชีวิต spark joy บ้าง

พูดคุยกับคนขัางๆ – วันนี้เป็นยังไงบ้าง กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ วันนี้มีประชุมเยอะมั้ย เที่ยงนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

พูดคุยกับคนอื่น – มีคำถามอะไรให้เราบ้าง มีงานอะไรให้เราทำ ไปเที่ยวที่ไหนมา เรื่องไหนกำลังอยู่ในกระแส เพลงอะไรที่กำลังชอบฟัง

ลำดับที่ควรจะเป็น คือพูดคุยกับตัวเองก่อน เพื่อสำรวจอารมณ์และความรู้สึกว่าเรานั้นโอเค จากนั้นจึงพูดคุยกับคนข้างๆ เพราะเขาคือคนสำคัญและจะมีผลต่อชีวิตกับเราไปอีกยาวนาน สุดท้ายค่อยพูดคุยกับคนอื่นทั้งในเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

แต่ที่คนจำนวนมากเป็นกันอยู่ คือเราคุยกับคนอื่นก่อน ผ่าน social media เพื่อดูว่าคนอื่นไปทำอะไรมา ฟังเพลงอะไรอยู่ กำลังอินกับเรื่องอะไร จากนั้นก็เช็คอีเมลและข้อความเพื่อจะได้ติดตามว่ามีงานอะไรต้องทำบ้าง

เมื่อก้มหน้ามองมือถือตลอดเวลา คนข้างๆ ก็เลยพลอยก้มมองมือถือไปด้วย บทสนทนาที่ควรเกิดจึงไม่ได้เกิด คนใกล้ชิดเลยเริ่มเหินห่าง

เมื่อเราพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอด บ่อยครั้งเราจึงหมดเวลาทั้งวันไปกับความยุ่งเหยิงจากภายนอกจนไม่ได้คุยกับภายในเลยว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง อะไรที่อยากทำให้สำเร็จ อะไรคือสิ่งที่อยากทำเพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ

ถ้ารู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีอะไรที่ spark joy ลองสลับลำดับการพูดคุยดูนะครับ