ยอมรับว่าชั่งใจอยู่นานครับว่าวันนี้จะเขียนบทความดีหรือไม่
เพราะใจมันหนักจนไม่อยากเขียนอะไรมาตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดีแล้ว
แต่ตกเย็นใจเริ่มกลับมามีแรง และนึกขึ้นได้ถึงเรื่องพระมหาชนกที่ยังคงว่ายน้ำแม้มองไม่เห็นฝั่ง
จึงขอสรุป 9 บทเรียนที่ได้รับจากสามวันที่ผ่านมาครับ
1. ปัญหาของเรามันจิ๊บจ๊อย
เราทุกคนต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ทำงานหรือปัญหาที่บ้าน แล้วเราก็จะบ่นกับคนโน้นคนนี้ว่าทำไมชีวิตมันถึงยากเย็นนัก
แต่เมื่อมองไปที่พระองค์ท่าน ปัญหาของเราจะกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปทันที
เพราะไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน อีกปีสองปีต่อจากนี้มันแทบจะไม่มีผลอะไรกับชีวิตเราด้วยซ้ำ ขณะที่ปัญหาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องประสบมาตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์นั้นเป็นเรื่องของประเทศชาติและความเป็นอยู่ของพสกนิกรหลายสิบล้านคน
2. สิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านเหนือกว่าคนอื่น
ด้วยความที่เราเทิดทูนพระองค์ท่านมาทั้งชีวิต เราอาจจะลืมไปว่า จริงๆ แล้วพระองค์ท่านก็มีร่างกายเหมือนกับเรา มีเรี่ยวแรงพอๆ กับเรา มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากับเรา
ถึงเราจะแซ่ซ้องว่าพระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในหลายด้าน แต่ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านแตกต่างจากคนทั่วไป คือความวิริยะอุตสาหะ
เพราะอะไรพระองค์ท่านถึงทรงงานดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีวันหยุดราชการ ยอมเดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร และทำทุกอย่างเพื่อพสกนิกรของพระองค์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย?
3. เหตุผลของการดำรงอยู่
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
เหตุผลของพระองค์ท่าน คือการสร้างประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม
เมื่อเหตุผลแข็งแรง บวกกับความวิริยะอุตสาหะเหนือคนธรรมดา ผลลัพธ์จึงน่าอัศจรรย์ใจ
แล้วเหตุผลของเราล่ะ คืออะไร?
4. ความลับของการเป็นที่รัก
เราต่างก็อยากเป็นที่รักของคนอื่นกันทั้งนั้น
และเหตุการณ์นี้ได้เตือนใจผมอีกครั้งว่า การที่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักและเคารพ ไม่ใช่เพราะหน้าตา ฐานะ หรือฐานันดร
แต่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักเพราะเขาได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นต่างหาก
5. ถ้าจะขอเป็นเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ก็ต้องทำตัวให้ดีเสียแต่ชาตินี้
เห็นมีคนขึ้นสเตตัสและรูปโปรไฟล์ว่าจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
แต่ของอย่างนี้ ใช่ว่าโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊คแล้วจะได้ดั่งใจเสียหน่อย
ถ้าเราปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องกลับมาสำรวจตัวเองแล้วว่า วิถีชีวิตของเราในวันนี้มันเอื้อให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิเดียวกับพระองค์ท่านในภายภาคหน้ารึเปล่า
ถ้ายังไม่เอื้อ ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว
6. เรื่องบางเรื่องเอาไว้ทีหลังไม่ได้
น้องคนหนึ่งโพสต์สเตตัสนี้ไว้ในเฟซบุ๊ค
“ทั้งที่ชีวิตนี้โชคดีที่เกิดมาในรัชกาลที่ 9 แต่กลับไม่เคยได้เห็นในหลวงด้วยตาตัวเองหรือพยายามที่จะพาตัวเองไปในจุดที่มีโอกาสจะได้เห็นพระองค์ท่านเหมือนกับหลายๆ คน #เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีทางแก้ไขได้อีก #เป็นบทเรียนอันล้ำค่า #เป็นความผิดพลาดที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก”
ส่วนน้องอีกคนหนึ่งก็โพสต์ว่า
“เสียใจที่สุดคือ มีโอกาสที่จะพาพ่อไปลงนามถวายพระพรท่านที่ศิริราชหลายครั้ง ทุกครั้งพ่อบอกพาไปหน่อย อยู่ตรงไหน พ่ออยากไป แต่เราเลือกที่จะไม่ไป แล้วบอกพ่อว่า เดือนหน้าก็มา เดี๋ยวค่อยไป
เจ็บใจตัวเอง ที่ครั้งเดียวในชีวิตพ่อเราทำให้เค้าไม่ได้
ไปศิริราชเดือนหน้าก็ไม่มีท่านแล้ว เจ็บใจจริงๆ
ทำไม แค่นิดเดียวถึงเลือกที่จะไม่ไป”
ผมเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
เป็นสิบปีมาแล้ว ที่ดูทีวีเห็นเขาจุดเทียนถวายพระพรที่สนามหลวง และมีความคิดว่าอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไป สุดท้ายก็สูญเสียโอกาสนี้ไปตลอดกาล
เรื่องบางเรื่องมัน “เอาไว้ก่อน” ไม่ได้จริงๆ
7. ถึงเวลาต้องโตได้แล้ว
จะว่าไปเราคนไทยก็เหมือนลูกแหง่
เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่เราคิดว่าเริ่มยากเกินแก้ไข เราจะมองหา “พ่อ” ให้เข้ามาช่วยเสมอ
เพราะเราเชื่อว่าพ่อของเราแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่ท่านเคยแก้วิกฤติให้บ้านเมืองมาแล้วหลายครั้ง
ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปเราต้องหัดพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น เข้มแข็งให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาให้มากขึ้น
เพื่อจะได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง
เพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
8. อย่าให้เหตุการณ์นี้สูญเปล่า
สามวันที่ผ่านมา เราคนไทยอยู่ในหัวอกเดียวกัน ได้แสดงความมีน้ำใจต่อกัน ได้มีเวลากลับไปอ่าน-ไปซึมซับเรื่องราวของพระองค์ท่าน
แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ว่า อีกสามเดือนหรือหกเดือน ผมจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป และกลับไปใช้ชีวิตด้วยทัศนคติแบบเดียวกับตอนก่อนเกิดเหตุ
ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้ผมได้ทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เข้าใจโลกกว่าเดิม และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ท่านได้เป็นแบบอย่างให้เรามาตลอดหลายสิบปี
9. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
เย็นวันนี้ แดดร่มลมตก ผมกับแฟนจึงพาลูกนั่งรถเข็นไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน
เดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ได้ยินนกหลายตัวกำลังส่งเสียงจอแจอยู่ในพุ่มไม้
พอเงยหน้า ก็มองเห็นท้องฟ้าสีครามตัดกับแสงสีทองของพระอาทิตย์
ในวันที่คนไทยทั้งชาติกำลังโศกเศร้ากับการสูญเสีย พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง และนกยังคงร้องเพลง
ราวจะบอกกับเราว่า ถ้าอยากร้องไห้ก็จงร้องไปเถอะ แต่เมื่อร้องจนหนำใจแล้ว ก็จงเช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของเราต่อไป
มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่เพื่อนผมได้แชร์เอาไว้ตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ
“อานนท์ ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก
พุทธะ อยู่ในทุกหนแห่ง
ในใบไม้ ในแม่น้ำ หรือว่าในแสงแดดลมที่สัมผัสตัวเจ้าก็คือพรจากเราอานนท์
เรายังอยู่ในดินทรายนี่ด้วยนะอานนท์ เราอยู่ในใจเจ้า เราอยู่ในตัวเจ้า
นอกกายเจ้า เราปกคลุมเจ้าจากทุกหนแห่ง”
ใช่แล้ว พระองค์ท่านไม่เคยจากเราไปไหน และจะไม่จากเราไปไหน
ตราบใดที่คนไทยไม่ทิ้งพระองค์ออกจากใจ บารมีและคุณงามความดีของพระองค์จะอยู่ดูแลแผ่นดินนี้ไปอีกนานแสนนาน
—–
อ่านแล้วอ่านอีก อ่านเมื่อไรก็สุขใจทุกครั้ง
LikeLike
สุดยอดมากเลยค่ะ อ่านแล้วประทับใจในความรู้สึกและเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกล่าวมาทั้งหมด
LikeLike
ดีจริงๆค่ะ
LikeLike
ขอบคุณมากค่ะ
จะขอเก็บไว้เตือนใจและปฎิบัติ เพื่อพ่อหลวงจะได้ไม่เปนกังวลในตัวเราค่ะ
ถ้าทั้ง70ล้านคนคิดและทำได้พ่อหลวงคงเบาใจ
LikeLike
Thanks for your meaningful article.
LikeLike
ขอบคุณสำหรับบทความ และข้อคิดดีๆนะคะ
LikeLike
ขอบคุณสำหรับบทความที่สร้างสรรค์
พระองค์ต้องภูมิใจในตัวลูกหลานเช่นนี้
ใช่ค่ะ เราต้องโต
เลิกเป็นลูกแหง่ กันที
นันทพร วิดเลอร์
LikeLike