พรจากฟ้า (ดูแล้วคิดถึงคนบนฟ้า)

20160512_blessing

วันพ่อที่ผ่านมา ผมได้ไปดูหนังกับที่บ้านกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาครับ

ถือเป็นหนังเรื่องที่สองที่ได้ดูในรอบปี เพราะตั้งแต่มีลูกก็เพิ่งจะมีช่วงนี้แหละที่แฟนยอมออกจากบ้านมานานพอที่จะดูหนังได้

แม่ผมอยากดูพรจากฟ้ามาก อาจเป็นเพราะได้รับข้อความจากทางไลน์ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนไปดูกัน ซึ่งผมก็แปลกใจเล็กน้อยเพราะตอนที่เปิดตัวใหม่ๆ ก็เห็นว่ามีกระแสอยู่พอสมควร แถมหนังเรื่องนี้ยังมีคู่พระคู่นางถึงสามคู่ น่าจะดึงให้คนไปดูได้ไม่ยาก

หนังเรื่องพรจากฟ้าประกอบด้วยสามเรื่องย่อย

เรื่องแรกเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่ได้รู้จักกันในงานเลี้ยงนักเรียนทุนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ (มีนาย นภัทร-วี วิโอเล็ตเป็นพระเอก/นางเอก)

เรื่องที่สองเป็นเรื่องราวของลูกสาวที่ต้องมาดูแลพ่อที่เป็นอัลไซเมอร์ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์-มิว นิษฐา)

และเรื่องสุดท้ายพูดถึงพนักงานออฟฟิศที่คิดตั้งชมรมดนตรีที่บริษัท (เต๋อ ฉันทวิชช์-หนูนา หนึ่งธิดา)

โดยตัวละครของทั้งสามเรื่องมีความเชื่อมโยงกันอย่างหลวมๆ

แต่ละเรื่องนั้นกำกับด้วยผู้กำกับคนละคน อารมณ์ความรู้สึกจึงแตกต่างกันอย่างชัดเจน เรื่องแรกหวาน เรื่องที่สองซึ้ง เรื่องสุดท้ายเน้นเฮฮา

หลังจากดูหนังจบแล้ว พวกเราก็ไปนั่งทานข้าวเที่ยงกัน และสิ่งเหล่านี้คือประเด็นที่อยู่ในบทสนทนาบนโต๊ะทานข้าว

1. ไดอะล็อกหรือบทสนทนาของหนังเรื่องแรกเขียนได้ฉลาด เป็นธรรมชาติ ทำให้น้องนายที่หน้าตาดีอยู่แล้วยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ผมเป็นผู้ชายยังเขินแทนนางเอกเลย

2. เพลงยามเย็นที่นำมาเรียบเรียงให้ร้องเป็นเสียงประสานแบบ  A Cappella และทำท่าเต้นแบบ Body Percussion นั้นทำออกมาได้เจ๋งมาก เล่นเอาผมฮัมเพลงนี้ไปตลอดวัน กลับมาถึงบ้านก็ต้องมาเปิดดูเนื้อร้องเพื่อซึมซับเนื้อหาที่ลึกซึ้งและภาษาที่สละสลวยเหลือเกิน

3. มิวที่ต้องเล่นเป็นลูกสาวดูแลคุณพ่อแสดงได้ดีมาก ส่วนตัวผมชอบฉากที่พ่อกำลังจะขับรถออกจากบ้านไปหาแม่ แต่มิวมาหยุดเอาไว้และพยายามอธิบายให้พ่อฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

4. เราคุยกันว่าถ้าใครในบ้านเป็นอัลไซเมอร์นี่คงลำบากน่าดู น้องชายบอกว่าไม่ใช่แค่ลำบากอย่างเดียว แต่ยังอันตรายด้วย (อันตรายยังไงต้องไปดูในหนัง) ผมบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นี่อาจจะป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้ด้วยการนอนให้เพียงพอ เพราะเวลาเรานอนเซลล์ประสาทจะหดตัว และเปิดทางให้ของเหลวที่ไหลมาจากกระดูกสันหลังได้เข้ามาชะล้างโปรตีนที่มักจะมาเกาะตัวกับเซลล์และก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

5. เรื่องที่สามที่แสดงโดยเต๋อและหนูนานั้น พวกเราเด็กๆ เห็นตรงกันว่ามันล้นไปนิด แต่ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นการทดลองอะไรบางอย่างของผู้กำกับ (พี่เก้ง จิระ มะลิกุล) ซึ่งก็ต้องขอแสดงความชื่นชมในความกล้าและขอเอาใจช่วยให้ค้นพบจุดที่ลงตัวนะครับ

6. เพลงพรปีใหม่ทำออกมาได้มีสีสันและอลังการมาก แฟนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นคนแต่งเพลงนี้ (ผมเองก็เพิ่งมารู้เมื่อซักสี่ห้าปีที่แล้วนี่เอง)

7. นางเอกทั้งสามคนหน้าสดเกือบตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ดูแปลกตาและน่ารักไปอีกแบบ

8. ตอนที่ดูหนังในโรง แฟนผมสะกิดให้หันไปดูแม่ ที่นั่งตัวตรงหลังไม่ได้พิงเบาะ ราวกับเด็กนักเรียนที่ตั้งใจแบบสุดๆ ออกจากโรงมาแม่ก็บอกว่าจะไปดูอีกรอบ และบอกผมว่าช่วยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ให้หน่อย คนอื่นๆ จะได้มาดูบ้าง

9. ในหนังมีหลายวาระที่ทำให้น้ำตารินได้ ทั้งด้วยตัวบทหนังเอง เพลงที่ไพเราะจับใจ และความจริงที่ว่าคนที่แต่งเพลงเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

หนังเรื่องพรจากฟ้า เป็นหนังที่ดูแลมีอะไรให้กลับมาคิดต่อเพลินๆ ได้มากมาย อยากให้ผู้อ่านได้ไปดูกันครับ ผมเชื่อว่า คุณจะได้รับพลังงานบางอย่างที่คีตราชันได้ประทานไว้ให้เป็นของขวัญสำหรับพวกเราชาวไทยทุกคน และเตือนให้พวกเราได้ตระหนักว่า ท่านไม่ได้จากเราไปไหนเลย 


facebook.com/anontawongblog
anontawong.com/archives
Download eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Youtube: พรจากฟ้า

อย่าร้องไห้เพราะมันจบลงแล้ว

20161016_dontcry

จงยิ้มเพราะมันได้เกิดขึ้นดีกว่า

Don’t cry because it’s over.
Smile because it happened.
-Unknown

วันนี้เป็นวันแรกในรอบสี่วันที่ผมไม่เสียน้ำตา

หนึ่ง เพราะตั้งใจเล่นเฟซบุ๊คให้น้อยลง

สอง เพราะออกไปข้างนอกมากขึ้น ทั้งไปจ่ายตลาดให้เจ้าตัวเล็ก และไปกินข้าวกับครอบครัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา

สาม เพราะพระองค์ท่านคงไม่โปรดให้พสกนิกรของพระองค์หม่นหมองจนไม่เป็นอันทำอะไร

Don’t cry because it’s over.
Smile because it happened.

เมื่อเศร้าจนพอแล้ว ก็ขอให้ยิ้มออกมาเถิด

ยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเอง ที่ได้เคยอยู่ภายใต้ร่มเงาของมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐถึงเพียงนี้

พรุ่งนี้วันจันทร์แล้ว ออกไปทำหน้าที่ของเราให้ถึงพร้อม เหมือนที่พ่อหลวงเคยทำให้ดูเป็นแบบอย่างกันนะครับ


ป.ล. นับจากวันเกิดเหตุ ผมเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสามตอนคือ นิทานปาฏิหาริย์   9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา และ อย่าร้องไห้เพราะมันจบลงแล้ว  จากพรุ่งนี้ไป Anontawong’s Musings จะขอกลับเข้าสู่โหมดเดิมนะครับ อย่าให้เศร้าไปกว่านี้เลย

facebook.com/anontawongblog

anontawong.com/archives

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

9 บทเรียนจากสามวันที่ผ่านมา

20161015_9lessons

ยอมรับว่าชั่งใจอยู่นานครับว่าวันนี้จะเขียนบทความดีหรือไม่

เพราะใจมันหนักจนไม่อยากเขียนอะไรมาตั้งแต่ค่ำวันพฤหัสบดีแล้ว

แต่ตกเย็นใจเริ่มกลับมามีแรง และนึกขึ้นได้ถึงเรื่องพระมหาชนกที่ยังคงว่ายน้ำแม้มองไม่เห็นฝั่ง

จึงขอสรุป 9 บทเรียนที่ได้รับจากสามวันที่ผ่านมาครับ

1. ปัญหาของเรามันจิ๊บจ๊อย
เราทุกคนต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ทำงานหรือปัญหาที่บ้าน แล้วเราก็จะบ่นกับคนโน้นคนนี้ว่าทำไมชีวิตมันถึงยากเย็นนัก

แต่เมื่อมองไปที่พระองค์ท่าน ปัญหาของเราจะกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปทันที

เพราะไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักหนาสาหัสแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องของคนไม่กี่คน อีกปีสองปีต่อจากนี้มันแทบจะไม่มีผลอะไรกับชีวิตเราด้วยซ้ำ ขณะที่ปัญหาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องประสบมาตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์นั้นเป็นเรื่องของประเทศชาติและความเป็นอยู่ของพสกนิกรหลายสิบล้านคน

2. สิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านเหนือกว่าคนอื่น
ด้วยความที่เราเทิดทูนพระองค์ท่านมาทั้งชีวิต เราอาจจะลืมไปว่า จริงๆ แล้วพระองค์ท่านก็มีร่างกายเหมือนกับเรา มีเรี่ยวแรงพอๆ กับเรา มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากับเรา

ถึงเราจะแซ่ซ้องว่าพระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในหลายด้าน แต่ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้พระองค์ท่านแตกต่างจากคนทั่วไป คือความวิริยะอุตสาหะ

เพราะอะไรพระองค์ท่านถึงทรงงานดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีวันหยุดราชการ ยอมเดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร และทำทุกอย่างเพื่อพสกนิกรของพระองค์โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย?

3. เหตุผลของการดำรงอยู่
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

เหตุผลของพระองค์ท่าน คือการสร้างประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม

เมื่อเหตุผลแข็งแรง บวกกับความวิริยะอุตสาหะเหนือคนธรรมดา ผลลัพธ์จึงน่าอัศจรรย์ใจ

แล้วเหตุผลของเราล่ะ คืออะไร?

4. ความลับของการเป็นที่รัก
เราต่างก็อยากเป็นที่รักของคนอื่นกันทั้งนั้น

และเหตุการณ์นี้ได้เตือนใจผมอีกครั้งว่า การที่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักและเคารพ ไม่ใช่เพราะหน้าตา ฐานะ หรือฐานันดร

แต่คนๆ หนึ่งจะเป็นที่รักเพราะเขาได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นต่างหาก

5. ถ้าจะขอเป็นเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ก็ต้องทำตัวให้ดีเสียแต่ชาตินี้
เห็นมีคนขึ้นสเตตัสและรูปโปรไฟล์ว่าจะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

แต่ของอย่างนี้ ใช่ว่าโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊คแล้วจะได้ดั่งใจเสียหน่อย

ถ้าเราปรารถนาอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องกลับมาสำรวจตัวเองแล้วว่า วิถีชีวิตของเราในวันนี้มันเอื้อให้เราได้ไปเกิดในภพภูมิเดียวกับพระองค์ท่านในภายภาคหน้ารึเปล่า

ถ้ายังไม่เอื้อ ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

6. เรื่องบางเรื่องเอาไว้ทีหลังไม่ได้
น้องคนหนึ่งโพสต์สเตตัสนี้ไว้ในเฟซบุ๊ค

“ทั้งที่ชีวิตนี้โชคดีที่เกิดมาในรัชกาลที่ 9 แต่กลับไม่เคยได้เห็นในหลวงด้วยตาตัวเองหรือพยายามที่จะพาตัวเองไปในจุดที่มีโอกาสจะได้เห็นพระองค์ท่านเหมือนกับหลายๆ คน #เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีทางแก้ไขได้อีก #เป็นบทเรียนอันล้ำค่า #เป็นความผิดพลาดที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

ส่วนน้องอีกคนหนึ่งก็โพสต์ว่า

“เสียใจที่สุดคือ มีโอกาสที่จะพาพ่อไปลงนามถวายพระพรท่านที่ศิริราชหลายครั้ง ทุกครั้งพ่อบอกพาไปหน่อย อยู่ตรงไหน พ่ออยากไป แต่เราเลือกที่จะไม่ไป แล้วบอกพ่อว่า เดือนหน้าก็มา เดี๋ยวค่อยไป

เจ็บใจตัวเอง ที่ครั้งเดียวในชีวิตพ่อเราทำให้เค้าไม่ได้
ไปศิริราชเดือนหน้าก็ไม่มีท่านแล้ว เจ็บใจจริงๆ
ทำไม แค่นิดเดียวถึงเลือกที่จะไม่ไป”

ผมเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

เป็นสิบปีมาแล้ว ที่ดูทีวีเห็นเขาจุดเทียนถวายพระพรที่สนามหลวง และมีความคิดว่าอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไป สุดท้ายก็สูญเสียโอกาสนี้ไปตลอดกาล

เรื่องบางเรื่องมัน “เอาไว้ก่อน” ไม่ได้จริงๆ

7. ถึงเวลาต้องโตได้แล้ว
จะว่าไปเราคนไทยก็เหมือนลูกแหง่

เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่เราคิดว่าเริ่มยากเกินแก้ไข เราจะมองหา “พ่อ” ให้เข้ามาช่วยเสมอ

เพราะเราเชื่อว่าพ่อของเราแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่ท่านเคยแก้วิกฤติให้บ้านเมืองมาแล้วหลายครั้ง

ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปเราต้องหัดพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น เข้มแข็งให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาให้มากขึ้น

เพื่อจะได้แก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

8. อย่าให้เหตุการณ์นี้สูญเปล่า
สามวันที่ผ่านมา เราคนไทยอยู่ในหัวอกเดียวกัน ได้แสดงความมีน้ำใจต่อกัน ได้มีเวลากลับไปอ่าน-ไปซึมซับเรื่องราวของพระองค์ท่าน

แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ว่า อีกสามเดือนหรือหกเดือน ผมจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป และกลับไปใช้ชีวิตด้วยทัศนคติแบบเดียวกับตอนก่อนเกิดเหตุ

ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้ผมได้ทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เข้าใจโลกกว่าเดิม และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ท่านได้เป็นแบบอย่างให้เรามาตลอดหลายสิบปี

9. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
เย็นวันนี้ แดดร่มลมตก ผมกับแฟนจึงพาลูกนั่งรถเข็นไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน

เดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ได้ยินนกหลายตัวกำลังส่งเสียงจอแจอยู่ในพุ่มไม้

พอเงยหน้า ก็มองเห็นท้องฟ้าสีครามตัดกับแสงสีทองของพระอาทิตย์

ในวันที่คนไทยทั้งชาติกำลังโศกเศร้ากับการสูญเสีย พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง และนกยังคงร้องเพลง

ราวจะบอกกับเราว่า ถ้าอยากร้องไห้ก็จงร้องไปเถอะ แต่เมื่อร้องจนหนำใจแล้ว ก็จงเช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของเราต่อไป

มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่เพื่อนผมได้แชร์เอาไว้ตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ

“อานนท์ ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก
พุทธะ อยู่ในทุกหนแห่ง
ในใบไม้ ในแม่น้ำ หรือว่าในแสงแดด

ลมที่สัมผัสตัวเจ้าก็คือพรจากเราอานนท์
เรายังอยู่ในดินทรายนี่ด้วยนะ

อานนท์ เราอยู่ในใจเจ้า เราอยู่ในตัวเจ้า
นอกกายเจ้า เราปกคลุมเจ้าจากทุกหนแห่ง”

พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

ใช่แล้ว พระองค์ท่านไม่เคยจากเราไปไหน และจะไม่จากเราไปไหน

ตราบใดที่คนไทยไม่ทิ้งพระองค์ออกจากใจ บารมีและคุณงามความดีของพระองค์จะอยู่ดูแลแผ่นดินนี้ไปอีกนานแสนนาน

—–

facebook.com/anontawongblog

anontawong.com/archives