วิธีทำให้ชีวิตยืนยาว

20160105_LongLife

เมื่อคืนวันสิ้นปี 2558 ผมถามแฟนว่ามีอะไรเป็นไฮไลท์สำหรับปีที่ผ่านมาบ้าง

แฟนผมคิดอยู่แป๊บนึงแล้วก็ตอบว่า เที่ยวยุโรป มีลูก แล้วก็ย้ายเข้าบ้านใหม่

คราวนี้เธอถามผมกลับบ้าง ผมก็คิดอยู่ซักพักก่อนจะตอบว่า เที่ยวยุโรป มีลูก ย้ายเข้าบ้านใหม่ แล้วก็เขียนบล็อก

แฟนทักท้วงว่าผมลอกกันนี่ เพราะตอบเหมือนเธอเป๊ะยกเว้นเรื่องเขียนบล็อก

ผมพยายามคิดเพิ่มว่ามีเรื่องอะไรอีกมั้ยที่เป็นไฮไลท์ในปี 2015 ที่ผ่านมา ก็คิดออกอีกว่าช่วงสงกรานต์ผมกับแฟนไปพักโรงแรมมารีน่าภูเก็ตรีสอร์ท โรงแรมสวยมาก กินอยู่อย่างราชา และได้ทำตัวขี้เกียจแบบสุดๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต

นอกจากห้าเรื่องนี้ ผมก็คิดไฮไลท์อย่างอื่นไม่ออกแล้ว

คุณล่ะครับ ปีที่แล้วมีไฮไลท์อะไรบ้าง ลองใช้เวลานึกซัก 30 วินาที…

—–

ช่วงหยุดปีใหม่ ผมได้อ่านบทความใน Medium ชื่อว่า How to Time Travel ที่เขียนโดย Brian Chesky CEO ของ Airbnb เว็บที่เปลี่ยนห้องว่างในบ้านให้กลายเป็นโรงแรม (ใครไม่เคยใช้ Airbnb ขอบอกเลยว่าต้องลอง)

ไบรอันพูดถึงนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่ชื่อว่าชาร์ลี

“Brian, I travel because it makes my life seem longer.”

“ไบรอัน ผมชอบเดินทางเพราะว่ามันทำให้ชีวิตดูยืนยาวขึ้น”

ไบรอันก็งงว่าการเดินทางมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตยืนยาว ชาร์ลีเลยอธิบายต่อว่า

“When I am on my death bed, I want to look back at my life, and have all these vivid memories. I want them to be full and different every single day.”

“ในชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ตอนที่ผมย้อนระลึกเรื่องราวต่างๆ ผมอยากจะเห็นภาพที่ทุกวันแตกต่าง เต็มอิ่ม และเจิดจรัส”

ไบรอันฟังแล้วก็คิดได้ว่า ตอนเด็กๆ เขาเคยต้องนั่งรถบัสไปโรงเรียนปีละ 200 วันเป็นเวลาถึง 10 ปี รวมกันแล้ว 2,000 วัน แต่วันเหล่านั้นแทบไม่มีอะไรให้จดจำเลย ภาพทุกอย่างเบลอรวมกันหมด

แต่ไบรอันก็จำได้อีกว่า ในช่วงวัยเด็ก ทุกๆ ปีไบรอันจะได้ไปเที่ยวต่างเมืองกับครอบครัวปีละครั้ง แต่ละครั้งก็เที่ยวต่างที่กันไป ไม่ว่าจะเป็น เซนต์หลุยส์ ดัลลาส บัลติมอร์ ชิคาโก ซีแอตเติล และไบรอันก็จำวันเวลาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน

แล้วไบรอันก็ได้ข้อสรุปว่า

My life is longer because of the journeys I have taken.

ชีวิตของผมดูเหมือนจะยืนยาวขึ้นเพราะการได้เดินทาง

และ

Repetition doesn’t create memories. New experiences do.

อะไรก็ตามที่ทำซ้ำๆ มันไม่ได้สร้างความทรงจำหรอกนะ ประสบการณ์แปลกใหม่ต่างหากที่จะสร้างความทรงจำให้กับคุณ

—–

ปีที่แล้วอะไรเป็นไฮไลท์ของคุณบ้างครับ?

ถ้าคุณเป็นเหมือนผมกับแฟน ชาร์ลี และไบรอัน ไฮไลท์ของคุณน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ เช่นการไปเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวต่างประเทศ หรือการได้ลองเล่น-ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ

แต่ถ้าปีที่แล้วคุณไม่ได้ไปไหนเลย วันๆ อยู่แต่กับที่ทำงานและเสาร์อาทิตย์อยู่กับบ้าน ก็อาจจะไม่มีอะไรที่เป็นไฮไลท์มากนัก

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะคุณอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้

แต่อีกยี่สิบปีต่อจากนี้ เมื่อคุณมองย้อนกลับมา 365 วันในปี 2558 ก็อาจจะรู้สึกเหมือนแค่ 1 วัน

แต่ถ้าปี 2559 นี้ คุณอยากให้ชีวิตมีเรื่องราวกว่าเดิม แตกต่างกว่าเดิม และเจิดจรัสกว่าเดิม ก็อาจจะต้องสร้างความทรงจำใหม่ๆ ดูบ้าง

เล่นเฟซบุ๊ค คงไม่ช่วยสร้างความทรงจำใหม่ๆ แน่ๆ

เล่นเกมออนไลน์ ก็คงไม่ช่วย

เดินห้าง ก็คงไม่ช่วย

หรือแม้กระทั่งอ่านบล็อกนี้ ก็คงไม่ช่วย

ไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ฟังอะไรที่ไม่เคยฟัง ลองอะไรที่ไม่เคยลอง

แล้วปี 2559 นี้ อาจจะยาวนานกว่าปีที่ผ่านๆ มาครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก Medium: How to Time Travel by Brian Chesky 

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

รอยยิ้มบนรถไฟ

20151226_AnontawongMusingSlides

วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของปี!

เช่นเดียวกับทุกเช้า ผมมาทำงานด้วยรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ก่อนจะลงที่สถานีมักกะสัน และต่อรถไฟใต้ดินสถานีเพชรบุรีตัดใหม่

วินาทีที่ก้าวขึ้นบนรถใต้ดิน ผมก็นึกถึงสิ่งหนึ่งที่ผมเคยสงสัยมานานแล้ว

ว่าทำไมหน้าตาทุกคนที่อยู่ในรถไฟถึงดูบึ้งตึงกันจัง

โอเคล่ะ วันนี้เป็นวันจันทร์ด้วย แถมเป็นการกลับมาทำงานครั้งแรกในรอบหลายวัน จึงไม่แปลกที่จะอารมณ์บ่จอยที่จะมาทำงาน

แต่เท่าที่ผมเห็น ไม่ว่าวันไหนๆ ผู้โดยสารก็หน้าตาประมาณนี้กันเกือบหมดเลย

ใจหนึ่งอาจจะเป็นผมที่อคติไปเอง คือจริงๆ แล้วเขาก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ หรืออาจจะแค่เมื่อคืนนอนไม่พอ ก็เลยยังมึนๆ อึนๆ อยู่

แต่อีกใจหนึ่งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ที่คนเราไม่ยิ้ม เพราะว่าลึกๆ แล้วเราไม่มีความสุข หรืออยู่กับความตึงเครียดจนเคยตัวรึเปล่า

เราใช้เวลาสัปดาห์ละเป็นสิบชั่วโมงในการเดินทาง ถ้าสิบชั่วโมงนั้นต้องถูกรายล้อมด้วยคนหน้าบึ้งทั้งขบวนรถไฟ ผมว่ามันก็หดหู่เกินไปหน่อยนะ

แล้วผมก็กลับมาถามตัวเองว่า แล้วเราล่ะ ยิ้มรึเปล่า?

เออ ผมเองก็ไม่ได้ยิ้มแฮะ

เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็เลยยิ้มออกมาทีหนึ่ง

แล้วก็อมยิ้มนิดๆ ตลอดการเดินทาง

ด้วยหวังว่า ใครที่เงยหน้าจากจอมือถือมาเห็นรอยยิ้มของผม จะรู้สึกอยากยิ้มขึ้นมาบ้าง

—–

ธรรมดาคนเราต้องอารมณ์ดีถึงจะยิ้ม

แต่การยิ้มก็ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้นได้เช่นกัน เพราะใบหน้าเราจะผ่อนคลายลง และเราจะมีความรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น

การยิ้มไม่มีพิษไม่มีภัย แถมยังช่วยตระเตรียมจิตใจให้เริ่มการทำงานในอารมณ์ที่เหมาะสม

ผมเลยอยากจะชวนคุณมาร่วมขบวนการครับ

ถ้าคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่บนรถไฟฟ้า รถใต้ดิน หรือแอร์พอร์ตลิงค์ พออ่านจบแล้วช่วยเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กๆ ซักหนึ่งทีได้มั้ยครับ ถือว่าผมขอก็แล้วกัน

แล้ววันต่อจากนี้ เมื่อไหร่ที่ขึ้นรถไฟฯ ต่อให้คนจะเยอะจะเบียดเสียดกันแค่ไหน ก็ลองไม่ลืมที่จะยิ้มออกมาซักครั้ง

ผมเชื่อว่ามันจะทำให้วันทำงานของคนกรุงสดใสขึ้นอีกนิด

ใครจะรู้…

วันหนึ่งคุณกับผมอาจจะได้ยิ้มให้กันก็ได้

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

 

หนึ่งปี 358 บทความ: บทเรียนจากการเขียนบล็อกปี 58

20150104_2015Review

 

ผมเปิดบล็อก anontawong.com ใน Tumblr เมื่อเดือนมกราคมปี 2555

และในช่วงสามปีแรก ผมเขียนบล็อกไป 15 ตอน เฉลี่ยปีละ 5 ตอน

เมื่อวันที่ 2 มกราคมปี 2558 หลังจากเที่ยวปีใหม่และกลับถึงกรุงเทพ ผมลองย้ายบล็อกของผมจาก Tumblr มา WordPress และตั้งใจว่าจะเขียนบทความลง anontawong.com ติดต่อกัน 3 วัน

โดยตอนแรกของปี 2015 ชื่อว่า “เกิดใหม่” ซึ่งจะว่าไปก็แอบขี้โกงเพราะเป็นการเอาบทความที่มีอยู่แล้วในหนังสือที่ผมแจกเป็นของชำร่วยในงานแต่งงานมาลง

พอเขียนติดต่อกันได้สามวัน ก็เริ่มขยับเป้าเปลี่ยนเป็น 7 วัน

พอเขียนได้ 7 วันก็ขยับเป้าเป็นหนึ่งเดือน…สองเดือน…และสามเดือน

จนวันที่ 30 มีนาคม ผมก็ประกาศออกสื่อว่าจะเขียนบล็อกทุกวันจากนี้ไป!

โดยแอบฝันหวานว่า วันที่ 2 มกราคมปี 2559 จะได้มาเขียนบทความชื่อ “หนึ่งปี 365 บทความ: บทเรียนจากการเขียนบล็อกทุกวัน” ซึ่งผมคิดว่ามันคงเท่น่าดู

แต่แล้วก็มีเหตุขัดข้องจนทำให้เขียนไม่ครบ ซึ่งก็ไม่เป็นไร ผมยังขอดื่มด่ำกับ 358 บทความในขวบปีแรกของการเขียนบล็อกอย่างจริงจัง และขอสรุปบทเรียนที่ได้รับมา เผื่อมันจะช่วยเป็นแนวทางให้คนอื่นที่คิดอยากจะลองทำดูบ้างนะครับ

เขียนทุกวันง่ายกว่าเขียนแบบกะปริบกะปรอย
เพราะเราไม่ต้องมานั่งตัดสินใจว่า วันนี้จะเขียนบล็อกดีหรือเปล่า คือตัดสินใจไปเลยว่าเราจะเขียนทุกวัน เราก็จะเหลือแค่เรื่องเดียวที่ต้องตัดสินใจคือจะเขียนเรื่องอะไร

และเขียนทุกวันในความหมายของผม ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง publish ทุกวันนะครับ เพราะบางคนอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อหนึ่งบทความ ดังนั้นจะให้ “ตีพิมพ์” บล็อกตัวเองทุกวันก็อาจจะเป็นการรบกวนเวลาเกินไป

แต่สิ่งที่ผมสนับสนุนคือเราควรมีเวลาให้กับการเขียนทุกวันครับ เขียนสามวันเสร็จแล้วค่อยตีพิมพ์ดีกว่าสามวันเขียนครั้ง

เพราะการเขียนทุกวันจะทำให้เราติดเป็นนิสัย และอะไรที่เป็นนิสัยเสียแล้วเราจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก เหมือนที่เราไม่ต้องพยายามแปรงฟันหรือพยายามเก็บที่นอนครับ

หาวัตถุดิบด้วยการสังเกตสิ่งรอบตัวและ “สิ่งรอบใจ”
มีคนชอบถามผมว่าทำยังไงถึงมีเรื่องมาเขียนได้ทุกวัน

คำตอบคือ มันก็ไม่ได้ง่ายดอกน้อง บางวันต้องคิดแทบตายกว่าจะได้เรื่องมาซักเรื่อง บางทีคิดไม่ออกก็ต้องหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหลายสิบหน้ากว่าจะเจอบางประโยคที่เราสามารถนำมาเขียนต่อได้

แต่ส่วนใหญ่ บทความที่ผมจะเขียนได้ดี เกิดจากการเก็บตกเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่อ่านใน Quora บทสนทนากับพี่ที่ออฟฟิศ หรือเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราอดตั้งคำถามไม่ได้

พอรู้ตัวว่าต้องเขียนอะไรทุกวัน เราก็จะช่างสังเกตมากขึ้น และยิ่งถ้าเรื่องนั้นมันกระทบกับใจเราจนวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมจากไปไหน ก็เป็นสัญญาณว่าเราควรจะเขียนถึงเรื่องนี้ครับ

อย่าพยายามเยอะเกินไป
ผมสังเกตหลายครั้งแล้วว่า บทความเชิงความรู้จิปาถะของผมไม่ค่อยมีคนแชร์เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ใช้เวลากับการศึกษาข้อมูลเยอะมาก อย่างบทความเรื่อง บิลเกตส์และเรื่องคริสต์มาส ผมใช้ เวลาบทความละไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง แต่คนแชร์แค่สามสิบครั้ง ขณะที่บทความเรื่องทำไมผู้บริหารถึงโต๊ะสะอาดที่ผมใช้เวลาเขียนแค่ห้านาที มีคนแชร์เกือบร้อยครั้ง

ที่เป็นอย่างนี้ ผมสันนิษฐานว่าถ้าเรื่องใดเราต้องหาข้อมูลเยอะ นั่นแสดงว่าเราอาจจะยังรู้เรื่องนั้นไม่ดีพอ จนไม่สามารถหาแง่มุมที่มันเจ๋งกว่าที่เราอ่านเจอในเว็บไซต์ทั่วๆ ไปได้อยู่แล้ว คนอ่านแล้วจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไร

เลือกให้ดีระหว่างเขียนลงบล็อกกับเขียนลงเฟซบุ๊ค
ช่วงแรกๆ ผมชั่งใจหนักมากว่าจะเขียนลงบล็อกแล้วแชร์ในเฟซบุ๊คอย่างเดียว หรือจะเขียนซ้ำอีกรอบในรูปแบบเฟซบุ๊คสเตตัสอัพเดตด้วย เพราะในช่วงสองสัปดาห์แรกที่ลองเขียนลงเฟซบุ๊คด้วย จะเห็นเลยว่าคนจะอ่านเยอะกว่า กดไลค์เยอะกว่า ตอนนั้นมักมากอยากได้ไลค์เลยเริ่มโอนเอียงมาทางเขียนลงเฟซบุ๊คตรงๆ

แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเขียนลงบล็อก และใช้เฟซบุ๊คสำหรับการแชร์ลิงค์บทความนั้นอย่างเดียว เพราะมองแล้วว่าระยะยาวอยากให้คนเข้ามาที่เว็บ anontawong.com มากกว่า แม้ว่าจะได้ไลค์หรือแชร์น้อยกว่าก็เถอะ

และตอนนี้ผมก็ดีใจที่คิดว่าตัดสินใจถูกต้อง

ยอดไลค์ของเพจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยให้บทความของเราไปถึงคนหมู่มาก
สมมติว่าเพจเรามีคนไลค์ 1000 คน แต่ก่อนเวลาเราโพสต์อะไรไปจะมีคนเห็นประมาณ 30% หรือ 300 คน

แต่เดี๋ยวนี้ เฟซบุ๊คเขาเปลี่ยน algorithm ที่ทำให้ reach น้อยลงไปอย่างมาก ถ้าเพจเรามีคนไลค์ 1000 คน เวลาเราแชร์หนึ่งครั้งจะมีคนที่กดไลค์เห็นโพสต์ของเราแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น

ดังนั้น ยอดจำนวนไลค์ในเพจจึงสร้างความแตกต่างน้อยมากในแง่ของการเข้าถึงคนอ่าน เพราะทุกๆ 10 ไลค์ที่เราได้มา ก็เหมือนเราได้คนอ่านจริงๆ เพิ่มขึ้นแค่หนึ่งคนเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดที่จะให้แน่ใจว่าบทความของเราจะไปถึงคนจำนวนมากได้ ก็คือการเขียนบทความที่ดีจริงๆ มีประโยชน์จริงๆ เพื่อให้คน 10% ที่ได้อ่านบทความนี้ของเราช่วยแชร์ต่อ

การ Boost Post มีประโยชน์เมื่อบทความของเราดี
ถ้าบทความที่เราเขียนออกมามีคนแชร์มากกว่าปกติ ผมแนะนำให้ลอง Boost Post ดูนะครับ

การ Boost Post ก็คือการจ่ายเงินเฟซบุ๊คให้ช่วยโปรโมตโพสต์ของเรา โดยค่าบู๊สท์ขั้นต่ำคือ 30 บาท และโดยปกติมันจะให้เราบู๊สท์เป็นเวลาหนึ่งวัน

ส่วนตัว ถ้าบล็อกของผมมีคนแชร์เกิน 100 ครั้งในช่วงครึ่งวันแรก ผมจะใช้เงินประมาณ 100 บาทเพื่อบู๊สท์โพสต์ ซึ่งจะทำให้คนเห็นโพสต์เพิ่มขึ้นสองสามพันคนเป็นอย่างน้อยครับ

คุณเดาไม่ถูกหรอกว่าบทความไหนจะฮิต
เรื่องบางเรื่องผมมั่นใจว่าฮิตแน่ๆ อย่างมหากาพย์เยือนโอลด์แทรฟฟอร์ดที่ผมใช้เวลากับมันไปไม่น้อย หมายมั่นปั้นมือว่าซีรี่ส์นี้ทำบล็อกผมเกิดแน่ๆ

แต่บทความเกี่ยวกับการเยือนโอลด์แทรฟฟอร์ดที่ผมเขียนรวมกันตั้ง 7 ตอนนี้ มียอดแชร์ตกเฉลี่ยตอนละสิบกว่าแชร์เท่านั้น

ขณะที่บทความบางตอนเขียนไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ใช้เวลาเขียนไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอย่าง  10 สิ่งอำนวยความสะดวกของคนไทยที่ฝรั่งไม่มีกลับฮิตติดลมบนจนเพจใหญ่ๆ อย่างทีนิวส์ มาติดต่อขอเอาไปลงเว็บของเขา

บทความเกี่ยวกับเรื่องการทำงานมักได้รับความนิยม
แม้ว่าจะเดาไม่ได้ว่าบทความไหนจะดัง แต่เท่าที่พบ บทความที่เป็นเคล็ดลับการทำงานมักได้รับความนิยมเกินคาดเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกฎ 10/20/30 ของการทำสไลด์ หรือเหตุผลที่อเมซอนไม่ใช้ Powerpoint ในการประชุม หรือการทำงานให้ดีขึ้นด้วย Kanban Board

อย่าหลงระเริง
ว่าบล็อกของคุณจะป๊อปปูล่าร์แล้ว เพราะเหตุการณ์สามารถพลิกผันกันได้ชั่วข้ามคืน อย่างบทความเรื่อง เหตุผลที่อเมซอนไม่ใช่ Powerpoint ในการประชุมมีคนแชร์เกือบหมื่นครั้ง วันถัดมาบทความเรื่องหนังสือพิมพ์ขายอะไรมีคนแชร์ห้าสิบกว่าครั้งเท่านั้น

บทความที่ทันเหตุการณ์มักได้รับความสนใจ
ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยตามข่าว จึงไม่ค่อยได้เขียนบทความที่ทันเหตุการณ์ แต่เท่าที่จำได้ผมเคยเขียนเรื่องที่เป็นประเด็นฮ็อตอยู่สามครั้งแล้วก็ได้ยอดแชร์เยอะกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นกรณีแตงโม-โตโน่, ระเบิดที่ราชประสงค์, หรือ ทีมบอลไทยได้แชมป์ซีเกมส์

การเติบโตแบบก้าวกระโดดมีอยู่จริง
ตอนต้นปีผมมียอดไลค์อยู่ที่ประมาณ 70 ไลค์ และด้วยกฎ “ดีขึ้นวันละ 1%” ผมหวังว่าภายในปลายปีน่าจะมีซัก 2000 ไลค์

เข้าเดือนสิงหาคมเพจผมมียอดไลค์ประมาณ 1300 ผมก็คิดว่าภายในสิ้นปีคงไม่น่าถึง 2000 ไลค์หรอก

แต่ภายในเดือนสิงหาคมเดือนเดียวก็เติบโตแบบก้าวกระโดด คือเพิ่มจาก 1300 เป็น 3000 เพราะฟลุ๊คที่มีบทความอยู่สองสามบทความที่ได้รับความนิยมแบบคาดไม่ถึง

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม ผมมีคนเข้ามาอ่านเต็มที่ไม่เกิน 15,000 คน

แต่เดือนสิงหาคม ตัวเลขกระโดดไปที่ 280,000 คนครับ

รูปข้างล่างนี้คือยอดผู้อ่านบล็อกในแต่ละเดือนครับ

Stats

ถ้าอยากได้ยอดไลค์/แชร์เยอะๆ ให้ quote “ประโยคตีแสกหน้า”
ใน 5 บทความที่มียอดแชร์สูงสุด สามในห้านั้นมีเนื้อหาตั้งต้นเป็น “ประโยคตีแสกหน้า” หมายความว่าได้ยินแล้วมันจี๊ด มันแรง มันสะใจ

ไม่ว่าจะเป็นของคุณโอปอล์:

ไม่มีใครโดนจ้างมาเป็นขี้ข้าใคร ดังนั้นช่วยเคารพทุกคนให้เท่ากันด้วย ถ้าคุณเคารพผู้กำกับยังไง คุณต้องเคารพช่างไฟอย่างนั้น

พี่โน๊ส อุดม:

ประเทศนี้แรงบันดาลใจมันเยอะเกินไปแล้วว่ะ สังคมไทยตอนนี้มันเต็มไปด้วยคำคมกับแรงบันดาลใจ ซึ่งของที่มันเยอะเกินไปมากๆ มันก็เป็นขยะได้ไง

หรือพี่โจน จันได:

โรงเรียนทั้งหลายมันเป็นแค่โรงงานฝึกทาส

ซึ่งแม้ผมจะรู้แล้วว่ามันถูกใจคนหมู่มาก ผมก็พยายามระวังไม่หากินกับคำพูดสไตล์นี้บ่อยเกินไปนัก

Online Influencers มีพลังมหาศาล
บทความเรื่องความเคารพเป็นบทความที่มียอดแชร์สูงสุดถึงเจ็ดหมื่นกว่าแชร์ ซึ่งคงจะไม่มีทางได้เยอะเท่านี้ถ้าคุณ Pearypie เมคอัพอาร์ททิสต์ชื่อดังไม่ได้ช่วยแชร์ให้

11850853_1150337668315853_1392794265_n

อย่าทะเลาะกับคนที่มาคอมเม้นท์
แน่นอน เมื่อเราเอาตัวเข้ามาอยู่ในสปอตไลท์ ย่อมมีทั้งคนรักและคนเกลียด คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถ้าเขามาเห็นแย้งด้วยเหตุด้วยผล เราก็คุยกับเขาดีๆ ได้ แต่ถ้าเขามาแนวเย้วๆ โจมตีตัวบุคคลแทนที่จะโจมตีเนื้อหา ผมก็จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดเกินควร (แต่ใจหนึ่งก็ขอบคุณเขานะครับที่อุตส่าห์เขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นที่มีต่อบทความของเรา แม้สิ่งที่เขาเขียนมันจะไม่เข้าหู-เข้าตาเราก็ตาม)

มีคนรออ่านงานของคุณมากกว่าที่คุณคิด
ผมแปลกใจหลายครั้งแล้วที่ได้รู้ว่าเพื่อนในเฟซบางคนที่ไม่เคยกดไลค์ แชร์ หรือ คอมเม้นท์บล็อกของผมเลย แต่พอเจอหน้ากันก็จะบอกผมว่า เออ ตามอ่านอยู่นะ เข้าข่ายรักนะ แต่ไม่แสดงออก

ดังนั้น อย่ามัวแต่คิดว่าสิ่งที่เราจะเขียนไม่มีคนอยากอ่าน ตราบใดที่เนื้อหาของบทความเรามีประโยชน์และเข้าถึงได้ง่าย จะมีคนอ่านแน่นอน

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งผมได้จากสองแหล่งคือคนใกล้ตัวและผู้อ่านที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว

กำลังใจจากคนใกล้ตัวอย่างแฟน น้องชาย และพ่อก็คือการตามอ่านบล็อกของผมและช่วยแชร์ตลอด (ส่วนแม่ผมไม่มีเฟซแต่ก็ยังเข้าไปอ่านทางไอแพดอยู่เรื่อยๆ)

ส่วนกำลังใจจากผู้อ่านก็คือการเข้ามาแสดงความเห็น เข้ามาขอบคุณ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่ากับเขา

ดังนั้น อย่าลืมให้คนใกล้ตัวรับรู้สิ่งที่เราทำ (และเขาจะตัดสินใจเองว่าจะอยากซัพพอร์ตเราด้วยวิธีไหน) ส่วนผู้อ่านทั่วไปที่เข้ามาคอมเม้นท์ก็ควรจะขอบคุณเขาให้มากเท่าที่เรามีกำลังจะทำได้ เพราะเขาเหล่านี้คือผู้มีพระคุณครับ

บล็อกของเราอาจเป็นแรงผลักดันให้คนอื่นทำตาม
มีน้องอย่างน้อยสามคนที่บอกว่าบล็อกของผมช่วยจุดประกายให้เขาเขียนบล็อก

kacharuk.com น้องชายผมเอง เขียนเกี่ยวกับ Excel Tips และ Productivity Tools

pattrawoots.wordpress.com บอยที่เป็น CTO ของ Wongnai เขียนบล็อกเล่าเรื่องการก่อเกิดและช่วงเวลาตั้งไข่ของหนึ่งใน startup ที่ร้อนแรงที่สุดเจ้าหนึ่งในเมืองไทย

ginkguitar.wordpress.com กิ่งที่เป็นน้องที่เคยเล่นดนตรีวงเดียวกัน เล่าเรื่องการทิ้งงานประจำที่มั่นคงไปเรียนกีตาร์หนึ่งปีเต็มที่อังกฤษ

จงมีบทความในสต๊อก
เป็นความฉลาดน้อยและชะล่าใจของผมเองที่ปีที่แล้วแทบไม่มีบทความในสต๊อกเลย เพราะช่วงไหนก็ตามที่มีบทความสำรอง ผมก็จะใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่าย แป๊บเดียวก็หมดแถมทำให้เราสนิมขึ้นเพราะไม่ได้เขียนบล็อกหลายวันอีกต่างหาก ผมก็เลยคิดว่างั้นเขียนวันต่อวันนี่แหละ ท้าทายดี

แต่สิ่งที่เกิดก็คือความเครียดที่ทุกค่ำต้องมานั่งคิดว่า วันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดี (วะ?) บางวันกว่าจะกลับถึงบ้านก็เหนื่อยแทบแย่ก็ยังนอนไม่ได้เพราะต้องเขียนบทความ ถือเป็นการสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเครียดโดยใช่เหตุแท้ๆ

แถมการไม่มีบทความในสต๊อกทำให้ผมพลาดเป้าที่จะเขียนบทความครบ 365 บทความในหนึ่งปีไปอย่างน่าเสียดาย

2 ม.ค.58-1 ม.ค. 59 ผมเขียนบทความไปทั้งหมด 358 บทความ หายไป 7 บทความ

วันที่ผมไม่ได้เขียนบล็อกมีดังต่อไปนี้

6 พ.ค. พลาดครั้งแรกตอนไปเที่ยวยุโรป ตอนนั้นผมเขียนบทความในสต๊อกไว้แล้ว แต่จะด้วยนับวันผิดหรืออะไรก็ตามแต่ ผมไม่ได้ตีพิมพ์บล็อกของผมในวันที่ 6 พ.ค. (เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนเดือนพฤศจิกายนตอนดูข้อมูลย้อนหลัง)

29 พ.ย. – 1 ธ.ค. อีก 3 บทความหายไปช่วงที่ผมย้ายบ้านใหม่ เป็นช่วงที่ห่างหายจากการเขียนบทความยาวนานที่สุดในรอบปี

เดือนธันวาคม หายไปอีก 3 ครั้ง อันเนื่องมาจากเหนื่อยเกินไป และความรู้สึกที่ว่า ไหนๆ ก็ไม่สามารถทำให้ครบ 365 บทความอยู่แล้ว จะขาดอีกซักตอนก็ไม่ได้ต่างอะไร ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่น่ารักเอาซะเลย

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตั้งใจว่า ในปี 2559 นี้จะต้องมีบทความในสต๊อกอย่างน้อยซักห้าตอน เพื่อว่าวันที่เขียนไม่ไหวจริงๆ จะได้ใช้เป็นตัวช่วยได้

การเขียนบล็อกยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการส่งต่อความคิด

ปีที่ผ่านมาบล็อกของผมมีคนเข้ามาอ่าน 600,000 คน

บทความที่มีคนอ่านเยอะที่สุด คือวิธีการจัดบ้านแบบ KonMari ที่มีคนอ่านไป 170,000 ครั้งและแชร์กว่า 40,000 ครั้ง (เป็นบทความที่ผม “ใช้ใจเขียน” มากที่สุดตอนหนึ่งด้วยเช่นกัน)

แค่คิดภาพว่ามีคนเต็มสนามศุภชลาศัยอ่านบทความอันแสนยาวนี้จนจบแถมยังกดแชร์บทความนี้อีก ผมก็ขนลุกแล้วครับ!

ชีวิตของคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่แค่อยากจะเอาเรื่องที่เป็นประโยชน์มาเล่าสู่กันฟัง การได้รู้ว่าสิ่งที่เราเขียนมันมีประโยชน์กับคนเรือนหมื่นเรือนแสนนี่มันเป็นความภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ

—–

เล่ามาซะยืดยาวขนาดนี้ ถ้าคุณยังลังเลว่าจะเริ่มเขียนบล็อกดีรึเปล่า ผมหวังว่าคุณจะเริ่มโอนเอียงบ้างแล้วนะครับ 🙂

ปี 2559 ผมก็คงไม่กล้าตั้งเป้าว่าจะเขียนให้ครบ 365 ตอน แต่ก็จะตั้งใจเขียนทุกวันเหมือนเดิมครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจครับผม

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เอาชีวิตคุณคืนมาด้วย Time Blocking

20151227_TimeBlocking

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเราทำงานวันละ 8 ชั่วโมงก็เกินจะเพียงพอแล้ว ถ้าชั่วโมงเหล่านั้นเป็น “ชั่วโมงคุณภาพ”

แต่ถ้าชั่วโมงของคุณไร้คุณภาพ ต่อให้อยู่ออฟฟิศ 12 ชั่วโมงก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี

เมื่อทำงานอย่างเต็มที่ 8 ชั่วโมง เราสามารถจะเอาเวลาที่เหลือไปใช้สำหรับการชาร์จแบตด้วยการพักผ่อน และทำเรื่องหย่อนใจ

แต่สิ่งที่เรามักจะเจอก็คือ “เวลาของเราถูกปล้น” ซึ่งก็อาจจะเป็นคำที่แรงไปนิด แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เช่นคุณกำลังทำงานอยู่ แล้วเพื่อนร่วมงานเข้ามาถามงาน ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาแค่สามนาที แต่ไปๆ มาๆ ใช้เวลาไปสามสิบนาที กว่าคุณจะตั้งสติกลับมาทำงานชิ้นเดิมได้ก็ลำบากเอาการ

หรือคุณโดนเชิญไปประชุมที่ไม่เห็นความจำเป็นต้องเข้า คุณก็เลยต้องนั่งทนอยู่ในการประชุมนั้นหนึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่ได้อะไรขึ้นมา

หรือเย็นนี้คุณกะจะไปออกกำลังกายตามปณิธานที่ตั้งไว้ตอนปีใหม่ แต่เพื่อนก็ดันชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ลดราคา

หรือคุณตั้งใจจะเขียนบล็อกคืนนี้ แต่กลับถึงบ้านแล้วลูกดันร้องโยเย คุณก็ต้องอุ้มลูกจนถึงเที่ยงคืน กว่าลูกจะสิ้นฤทธิ์คุณก็แทบจะสิ้นใจเช่นกัน

ฝรั่งมีคำพูดว่า If you don’t set your own priorities, someone else will – ถ้าคุณไม่กำหนดว่าอะไรสำคัญในชีวิตคุณ คนอื่นก็จะกำหนดให้คุณเอง

นั่นหมายความว่าชีวิตของคุณจะขึ้นตรงกับความต้องการของคนอื่นอยู่เสมอ

ซึ่งไม่น่าจะดีกับสุขภาพใจและกาย

รวมถึงเป็นการปล่อยให้ความฝันของเราตายไปอย่างช้าๆ ด้วย

ดังนั้น หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถดึงเวลากลับมาได้ คือการทำ Time Blocking ครับ

ปกติเวลาทำงาน เรามักจะใช้โปรแกรมอย่าง Outlook ในการจัดการอีเมล์และการประชุม

Time Blocking ก็คือการ “นัดประชุมกับตัวเราเอง”

เช่นถ้าคุณมีโปรเจ็คสำคัญต้องทำให้จบภายในสัปดาห์นี้ คุณก็บล็อกเวลาสามชั่วโมงแรกของวันตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อจะทำงานชิ้นนี้ และไม่รับ invitation เพื่อไปเข้าการประชุมไหนที่ชนกับช่วงเวลาเหล่านี้

หรือถ้าคุณคิดจะออกกำลังกายสัปดาห์ละสามวันหลังเลิกงาน คุณก็บล็อกเวลาเหล่านั้นเอาไว้ ถ้าเพื่อนมาชวนไปกินบุฟเฟ่ต์คุณก็ต้องปฏิเสธไปเพราะถือว่า “มีนัดแล้ว” หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้เพื่อนเลื่อนไปกินวันที่เราไม่ได้ออกกำลังกายแทน

และถ้าคุณมีไซด์โปรเจ็คที่ทำนอกเวลางานอย่างการเขียนบล็อกหรือริเริ่มขายของออนไลน์ ก็ควรจะสื่อสารให้คนที่บ้านทราบ ว่าช่วงเวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงนี้ จะขอทำงานที่มีความหมายกับคุณ

Time Blocking เป็นเรื่องที่ simple แต่ไม่ easy

อาจจะต้องผ่านความลำบากใจเวลาที่ต้องปฏิเสธเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัว

แต่ในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะส่งผลดีอย่างยิ่งครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–
ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

 

วิธีใช้มือถือในปี 2559

20160101_HowToUseMobileDevice

คือใช้ตอนที่เราอยู่คนเดียวเท่านั้น

ผมได้ความคิดนี้ตอนยืนดูหนังสือเรื่อง Are you fully charged? ของ Tom Rath ผู้เขียนหนังสือ Strengthsfinder 2.0 อันเลื่องลือ

หนึ่งในสารบัญของหนังสือเรื่องนี้คือ Use Your Phone When You’re Alone

ประโยคสั้นๆ ที่ทำให้คิดอะไรได้มากมาย

จุดประสงค์ดั้งเดิมของอุปกรณ์สื่อสาร คือการเป็นสะพานเชื่อมโยงให้มนุษย์สองคนได้คุยกัน

แต่เดี๋ยวนี้อุปกรณ์สื่อสารกลับกลายเป็นกำแพง

เวลาเราอยู่กับเพื่อน กับแฟน หรือกับคนในครอบครัว ถ้าเราหยิบมือถือหรือไอแพดขึ้นมาเล่น เราก็ส่งสัญญาณว่า ผมไม่อยาก/ขึ้เกียจคุยกับคุณนะ และเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายก็คงต้องหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแก้เขินเช่นกัน

ปีนี้ ผมก็เลยคิดว่าจะลองใช้ธีม “เล่นมือถือเฉพาะเวลาตอนอยู่คนเดียว” ดู

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ

แต่ผมว่าน่าจะส่งผลดีด้านความสัมพันธ์กับคนที่มีความหมายกับเราจริงๆ ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่