ชีวิตแบบ Extreme

1. Nassim Taleb ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Black Swan ที่ทำนายไว้ตั้งแต่ปี 2010 ว่าเรามีโอกาสจะเกิดโรคระบาดไปทั่วโลก ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุนไว้ว่า เราไม่ควรลงทุนที่ความเสี่ยงปานกลาง เพราะถ้าได้ก็ได้ไม่เยอะ และถ้ามันเจ๊งขึ้นมามันก็ยังเจ๊งอยู่ดี

Taleb บอกว่าทางที่ดีกว่าคือเก็บเงิน 90% ไว้ในการลงทุนที่เสี่ยงต่ำที่สุด เช่นพันธบัตรรัฐบาล ส่วน 10% ที่เหลือให้เอาไปลงทุนอะไรที่เสี่ยงสุดๆ ไปเลยเช่นใน venture capital ที่ลงทุนในพวกสตาร์ตอัพ

ด้วยวิธีนี้ ต่อให้แย่มากๆ ก็แค่เสียเงินแค่ 10% (ที่เราเผื่อใจไว้อยู่แล้ว) แต่เงิน 90% ของเราก็ยังอยู่

แต่ถ้าเราโชคดี เงิน 10% ที่เราลงทุนเอาไว้ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะโตขึ้นได้เป็นร้อยเป็นพันเท่า เงิน 1 แสนบาท อาจจะกลายเป็น 10 ล้านบาทและเปลี่ยนชีวิตเราได้

2. ผมเคยเขียนไว้ว่า เด็กเรียนที่โหล่อาจไม่น่าห่วงเท่ากับเด็กที่ได้สอบคะแนนแค่กลางๆ

เพราะเด็กที่ได้ที่โหล่ ก็จะรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่เหมาะกับ “ระบบ” ที่ถูกออกแบบมาอย่างนี้ เรียนก็สู้เขาไม่ได้ คงสอบเข้าคณะยากๆ ในมหาวิทยาลัยดังๆ ลำบาก ดังนั้นการจะได้งานในองค์กรดีๆ ก็คงยากเช่นกัน

เมื่อทางเลือกนี้ดูริบหรี่ เด็กที่ได้ที่โหล่จึงมักออกไปลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ล้มลุกคลุกคลานจนตั้งตัวได้ และกลายเป็นเจ้าของธุรกิจ และถึงแม้จะล้มเหลว แต่จิตวิญญาณของนักสู้นี้มันจะติดตัวเขาไปตลอด

แต่คนที่สอบได้คะแนนกลางๆ นั้น ไม่กล้าพอที่จะออกไปทำอะไรเองเพราะกลัวว่ามีอะไรจะเสีย ครั้นเรียนหนังสือก็ไม่ได้โดดเด่น ก็เลยได้เรียนมหาวิทยาลัยกลางๆ และได้ทำงานในบริษัทกลางๆ และมี performance กลางๆ ชีวิตก็เลยติดหล่มอยู่ในความกลางๆ อย่างนี้

3. Derek Sivers กล่าวไว้ว่า

If it’s not important, never do it.
If it’s important, do it every day.

ถ้ามันไม่สำคัญ ก็อย่าไปทำมันเลย
แต่ถ้ามันสำคัญ ก็จงทำมันทุกวัน

เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง เราต้องเลิกคิดที่จะทำทุกอย่าง เพราะถ้าเราพยายามทำทุกอย่าง เราจะทำได้ไม่ดีสักอย่าง

เราต้องเลือกให้ดีว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับเราบ้าง และต้องกลั้นใจตัดสิ่งที่เหลือออกไปจากชีวิต เพราะแม้ว่ามันจะสำคัญเหมือนกัน แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุด

เมื่อวันและเวลาของเรามีจำกัด บางทีเราก็ต้องคิดและใช้ชีวิตแบบ Extreme ในบางแง่มุมนะครับ