วิธีโทร.สั่งส้มตำไก่ย่างให้พอดีคน

20160224_Somtum

สืบเนื่องจากบทความ “คิดย้อนศร” เมื่อวานนี้ วันนี้เลยขอยกตัวอย่างการคิดย้อนศรแบบเบสิคมาเล่าให้ฟังนะครับ

ใครที่ทำงานออฟฟิศน่าจะเคยโทร.สั่งส้มตำไก่ย่าง มากินกับเพื่อร่วมทีมที่ออฟฟิศ

สิ่งที่มักจะเจอกัน คือสั่งของมาน้อยเกินไป หรือมากเกินไป เพราะเราเองก็กะไม่ค่อยถูกว่าสั่งแค่ไหนถึงจะพอดี (ผิดกับนั่งกินกันที่ร้านอาหาร ที่ถ้าสั่งมาไม่พอเรายังสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ)

ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าเราคิดย้อนศรซักหน่อยครับ

แทนที่จะกะว่าแต่ละคนจะกินอาหารปริมาณเท่าไหร่ เราควรจะคิดไปเลยว่าร้านอาหารที่เรากำลังโทร.สั่งนั้น จากประสบการณ์แล้ว ต้องกิน “คนละกี่บาท” ถึงจะอิ่มท้อง

สมมติเป็นร้านไก่ย่างส้มตำ หัวละ 100 น่าจะกำลังดี (บางร้านอาจถูกหรือแพงกว่านั้น)

คราวนี้เราก็สั่งอาหารตามสัดส่วนที่ควรจะเป็นเลย เช่น ส้มตำสี่ ไก่ย่างสี่ ลาบสอง ต้มแซ่บสอง ส่วนข้าวเหนียวก็ตีไปเลยว่าคนละ 5 บาท สั่งมา 50-60 บาทก็ว่ากันไป

จากนั้นก็ถามดูว่าราคาเท่าไหร่แล้ว

ถ้ามีกัน 10 คน หัวละ 100 บาท ยอดควรจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ถ้ามันออกมาแค่ 800 บาท แสดงว่าต้องสั่งอาหารเพิ่ม ถ้าออกมาที่ 1200 บาท อาจต้องเอาออกนิดหน่อย (ยกเว้นว่าในทีมจะมีผู้ชายเยอะ ก็สั่งเผื่อไว้ดีกว่า)

ด้วยวิธีการอย่างนี้ เราจะมั่นใจได้ว่าจะสั่งอาหารมาเพียงพอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป แถมยังคุมงบได้ด้วยครับ

วิธีการอย่างนี้จะยิ่งมีประโยชน์เวลาโทร.สั่งร้านฟาสต์ฟู๊ดอย่าง KFC หรือพิซซ่าฮัท เพราะเราไม่ได้สั่งเป็นจานๆ และส่วนใหญ่มันมักจะมาเป็นคอมโบ้เซ็ต ซึ่งเราจะยิ่งคิดไม่ออกเข้าไปใหญ่ว่าเท่าไหนถึงจะพอดี

แต่ถ้ากะว่า KFC หัวละ 120 บาท พิซซ่าหัวละ 150 บาท การสั่งอาหารให้พอดีคนก็จะง่ายดายขึ้นเยอะครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikimedia 

คิดย้อนศร

20160223_Reverse

วันนี้มีคำถามสนุกสมองครับ

เป็นคำถามที่อาจารย์วิพรรธ์ เริงพิทยา ผู้ก่อตั้ง Asian University ถามพวกผมสมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

สมมติว่ามีการจัดทัวร์นาเม้นท์เทนนิส

แข่งแบบใครชนะเข้ารอบ ใครแพ้ก็ตกรอบไปเลย

แต่ละรอบ จะมีการจับฉลากใหม่ทุกครั้งเพื่อหาคู่ต่อสู้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คู่ชิงชนะเลิศ

ถ้าในรอบใดมีผู้แข่งขันเป็นเลขคี่ จะมีฉลาก “โจ๊กเกอร์” อยู่หนึ่งใบ

ใครจับได้ฉลากโจ๊กเกอร์นี้ ถือว่าชนะบาย ไม่ต้องแข่ง เข้าสู่รอบต่อไปได้เลย

เพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่ามีผู้เข้าแข่งขัน 9 คน

รอบแรก จะมีหนึ่งคนที่จะได้ชนะบาย อีกแปดคนต้องไปแข่งกัน

รอบสอง เหลือ 5 คน (ชนะบายหนึ่งคน ชนะจากการแข่งรอบที่แล้วอีกสี่คน) หนึ่งคนจะได้ชนะบาย อีกสี่คนต้องไปแข่งกัน

รอบรองชนะเลิศ เหลือ 3 คน หนึ่งคนชนะบาย อีกสองคนแข่งกัน

รอบชิงชนะเลิศ สองคนสุดท้ายแข่งกัน

พอเห็นภาพนะครับ? ถ้าไม่เห็นภาพ ก็ลองกลับไปอ่านใหม่ หรือให้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ช่วยอธิบายก็ได้

คราวนี้มาสู่คำถามนะครับ

ถ้าวันจัดงาน มีคนสนใจล้นหลามมาร่วมแข่งถึง 85 คน

ถามว่า ต้องจัดการแข่งขันทั้งหมดกี่คู่?

ลองใช้เวลาคิดดูซักนิดครับ

ถ้าสโกรลดาวน์มาถึงตรงนี้โดยยังไม่ได้คิดเลยผมให้โอกาสอีกครั้งครับ

ถ้าคุณอ่านคำตอบเลย ก็เหมือนอ่านสปอยล์ก่อนไปดูหนัง หรืออ่านหน้าสุดท้ายของนิยายนักสืบ ซึ่งจะทำให้สูญเสียอรรถรสและบทเรียนไปไม่น้อย

ข้างล่างจะเฉลยแล้วนะครับ

ถ้าใครได้ลองหยิบกระดาษดินสอ มานั่งคำนวณหรือวาดแผนผังดู ก็น่าจะได้คำตอบประมาณนี้

รอบ 1: 85 คน แข่ง 42 คู่ หนึ่งคนชนะบาย
รอบ 2: 43 คน แข่ง 21 คู่ หนึ่งคนชนะบาย
รอบ 3: 22 คน แข่ง 11 คู่
รอบ 4: 11 คน แข่ง 5 คู่ หนึ่งคนชนะบาย
รอบ 5: 6 คน แข่ง 3 คู่
รอบ 6: 3 คน แข่ง 1 คู่ หนึ่งคนชนะบาย
รอบ 7: 2 คน แข่ง 1 คู่

รวมแล้ว 42+21+11+5+3+1+1 = 84 คู่

นี่คือวิธีคิดแบบตรงๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน

แต่หัวข้อบทความในวันนี้คือ “คิดย้อนศร” ครับ

หลักการในการจัดงานแข่งขันครั้งนี้คือ แข่งแบบใครชนะเข้ารอบ ใครแพ้ก็ตกรอบไปเลย

มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 85 คน

หาผู้ชนะเลิศแค่ 1 คน

แสดงว่าต้องมี “คนแพ้” 84 คน

การแข่งหนึ่งครั้ง จะสร้างคนแพ้ 1 คน

ดังนั้น ถ้าต้องการจะหาคนแพ้ 84 คน ก็ต้องแข่งกันทั้งหมด 84 คู่

เรียบง่าย แต่งดงามสุดๆ

ลองดูนะครับว่าจะเอาหลักการคิดย้อนศรนี้ไปแก้โจทย์อื่นๆ ในชีวิตคุณได้ยังไงบ้าง

อาจจะไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้ตรงๆ แต่เชื่อว่าจะมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอนครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

โมฆะบูชา

20160222_MokaBucha

วันนี้วันพระ ขอคุยเรื่องธรรมะกันซักหน่อยนะครับ

ธรรมะคืออะไร?

ธรรมะไม่ใช่บทบัญญัติของพระพุทธเจ้า แต่เป็นความจริงที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาเผยแพร่ต่อ

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบคืออะไร?

สิ่งทีท่านทรงค้นพบคือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ สภาวะที่ทุกข์ดับ และหนทางแห่งการดับทุกข์ ที่เราเรียกกันว่าอริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐ

ทุกข์คืออะไร?

ทุกข์คือสภาวะที่ทนอยู่ได้ยากเพราะร่างกายและจิตใจของเราถูกบีบคั้น

พูดอีกนัยหนึ่ง ตัวทุกข์ ก็คือกาย คือใจเรานี่เอง

ทุกข์ทางกายเกิดขึ้นตลอดเวลา นั่งอยู่เฉยๆ ก็เมื่อย กินอิ่มๆ ซักพักก็หิวใหม่ ขนาดแค่หายใจยังทุกข์เลย (ไม่เชื่อลองหายใจเข้าอย่างเดียวดู)

ทุกข์ทางใจก็เกิดขึ้นตลอดเวลา เจอสิ่งที่ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ พรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์

บ่อเกิดแห่งทุกข์คืออะไร?

คือความไม่รู้ หรืออวิชชา

เมื่อไม่รู้จึงเกิดการปรุงแต่งเป็นสังขาร (สังขารในที่นี้ไม่ได้แปลว่าร่างกายนะครับ แต่หมายถึงการปรุงแต่งทางจิตใจ คือพอมีอารมณ์อะไรมากระทบ เราก็คิดปรุงแต่งไปเรื่อย)

สังขารเป็นอาหารของวิญญาณ เมื่อมีสังขารเกิดขึ้น วิญญาณใหม่ๆ จึงเกิดขึ้น

เมื่อมีวิญญาณก็ต้องหารูป-นาม คือร่างกายและจิตใจเพื่อให้วิญญาณเป็นที่อาศัย

เมื่อมีร่างกายและจิตใจ จึงมีอายตนะหรือประสาทสัมผัสทั้งหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อมีประสาทสัมผัส จึงเกิดการสัมผัสหรือ “ผัสสะ” คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และรับรู้อารมณ์

เมื่อเกิดผัสสะ จึงเกิดเวทนา (อ่านว่า เว ทะ นา) อันหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ก็ถือเป็นเวทนาทั้งนั้น

เช่นเมื่อลิ้นสัมผัสกับซูชิโอโทโร่ที่ละลายในปาก ก็รู้สึกฟิน

หรือถ้าเห็นหน้านักการเมืองที่เราไม่ชอบ ก็รู้สึกโกรธแค้น

หรือถ้าเราอ่านบทความจากบล็อกเกอร์บางคน แล้วก็รู้สึก “งั้นๆ” เป็นต้น

เมื่อมีเวทนา สิ่งที่ตามมาก็คือตัณหา (craving) คือความรู้สึกอยากกินซูชิอีกหลายๆ คำ

เมื่อมีตัณหา จึงเกิดอุปาทาน (ซึ่งในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “คิดไปเอง” นะครับ) อุปาทานคือความยึดติด (clinging) ในสภาวะที่ประสบอยู่นี้

เมื่อมีอุปาทาน จึงเกิดการสร้างภพขึ้น

ภพ ก็คือ ภาวะ หรือ สภาวะ

ตอนที่เราตาย หากกระบวนการสร้างภพยังดำเนินอยู่ นั่นจะเรียกว่า อุปัตติภพหรือภพแห่งการเกิด โดยสภาวะจิตใจของเราในขณะนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าเราคู่ควรจะไปเกิดในภพภูมิไหน

แสดงว่าตอนที่เราตายเมื่อชาติที่แล้ว เราสร้างภพที่ดี จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์

แต่แม้ว่าชาตินี้เราจะเป็นมนุษย์ แต่วันๆ หนึ่งเราจะสร้างภพเล็กๆ ขึ้นมากมาย ถ้าเราอารมณ์ดีเราก็สร้างภพแแห่งเทวดา พอตอนโมโหเราก็สร้างภพแห่งสัตว์นรก พอเรากำลังโลภเราก็สร้างภพแห่งเปรต หรือพอเรากำลังเล่นเฟซบุ๊คเพลินๆ ก็กำลังสร้างภพเดรัจฉานขึ้น

เมื่อมีภพ จึงมีชาติหรือการเกิดใหม่

เมื่อมีการเกิด จึงมีการ แก่ การเจ็บ การตาย

เมื่อเจ็บ เมื่อตาย ก็ย่อมมีแต่ความเศร้าโศกทุกข์ใจ

พอแถมด้วยอวิชชาเข้าไปอีก วงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบจึงเกิดขึ้น

ที่ผมกล่าวมาคือปฏิจจสมุปบาทครับ

อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > สฬายตนะ* > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรามรณะ > โศกปริเทวะ > อวิชชา

(* สฬ + อายตนะ, “สฬ” แปลว่าหก)

แล้วการเวียนว่ายตายเกิดมันไม่ดียังไง?

เราอาจจะมองว่า ตอนนี้ชีวิตเราก็ดี๊ดี อาจจะมีทุกข์บ้าง แต่ก็มีความสุขมากกว่า ได้เรียนรู้ ได้ผจญภัย ได้เติบโต

แต่นั่นเพราะว่าเราได้เกิดเป็นมนุษย์ไงครับ

ภพมนุษย์นั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งภพในอีก 31 ภพภูมิ ซึ่งถ้าโชคดีไป “ไปสู่สุคติ” ก็แล้วไป เพราะนั่นแปลว่าเราได้ไปเกิดในภพมนุษย์หรือเทวดาขึ้นไป

แต่ถ้าโชคร้ายไปเกิดในทุคติภูมินี่งานเข้าเลยนะครับ เพราะโอกาสจะกลับขึ้นมาสู่สุคติภูมิใหม่นี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ

ได้เกิดในภพมนุษย์ แถมเกิดในเมืองพุทธ เรายังไม่สนใจปฏิบัติธรรมกันเลย

ถ้าได้ไปเกิดเป็นน้องหมาหรือเป็นเปรต คิดหรือว่าจะมีโอกาสได้เลื่อนชั้น?

ทำยังไงถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือได้เกิดในสุคติภูมิ?

อย่างที่อธิบายไปในสองข้อที่แล้วว่า คนเรามีการสร้างภพตลอดเวลา

ภพเล็กๆ เรียกว่า กรรมภพ (หรือกัมมภพก็ได้) วันหนึ่งเราจึงมีหลายโหมด เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวใจกว้าง เดี๋ยวใจแคบ

ส่วนภพใหญ่ที่เรียกว่าอุปัตติภพนั้นจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งคือตอนที่เราจะเกิด โดยสภาวะจิตใจของเราขณะที่เราตายไปจากภพมนุษย์นี้จะเป็นตัวบอกว่าเราสมควรไปเกิดภพภูมิไหน

ถ้าจิตเราหนักๆ เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ หรือเซลฟ์จัด ใจของเราก็ย่อมดิ่งลงส่งภพภูมิที่ต่ำๆ อย่างภพของเปรต สัตว์นรก หรืออสูรกายเป็นต้น

แต่ถ้าจิตใจเราเบาสบาย มองย้อนกลับไปแล้วรู้ตัวว่าเราทำดีมาทั้งชีวิต จิตของเราก็ย่อมลอยขึ้นไปสู่ภพภูมิที่อยู่สูงขึ้นไป

วิธีการทำให้จิตใจเราสบายก็คือการมีสตินั่นเอง

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีสติ ก็ได้ไปดี

ถ้าไม่มีสติ (โลภ โกรธ หลง) ก็ไปไม่ดี

ดังนั้นการปฏิบัติธรรม คือการออกกำลังใจให้มีสติรู้ตัวอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสุดๆ ในวินาทีชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะได้ “ไปต่อ” หรือจะ “ตกชั้น”

ถึงได้เกิดในภพที่ดีในชาติหน้า ก็ไม่ได้การันตีว่าชาติต่อๆ ไปจะไม่ตกชั้น แล้วจะทำยังไงดี?

ทางเดียวที่จะช่วยให้แน่ใจได้ว่าจะไม่ลงไปภพภูมิที่ต่ำกว่าภพภูมิมนุษย์อีก คือการเป็นพระโสดาบันให้ได้

การเป็นพระโสดาบัน หมายถึงการได้เห็นพระนิพพานแล้วครั้งหนึ่ง จิตใจจะหมดความสงสัยในความมีอยู่จริงของนิพพาน จะถือศีลห้าได้โดยอัตโนมัติ ความทุกข์จะหายไป 99% และเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติก่อนจะได้ไปอยู่ใน “ชั้นพิเศษ” ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนวนในสังสารวัฎ 31 ภพภูมิอีก

การจะไปให้ถึงโสดาบันฟังดูเป็นเรื่องยากและไกลเกินฝัน

แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ยากไปกว่าเป้าหมายอื่นๆ ที่อินเทรนด์กันอยู่หรอกนะครับ

เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็อยากมีอิสรภาพทางการเงินกันทั้งนั้น

จะเพิ่มเป้าหมายที่จะมีอิสรภาพทางจิตวิญญาณไปด้วยก็ฟังดูดีออก

ทำยังไงถึงจะได้เป็นพระโสดาบัน?

พระพุทธเจ้าท่านว่า ทางเดียวที่จะไปถึงพระนิพพานได้คือการทำสติปัฏฐานสี่ หรือการทำวิปัสสนานั่นเอง

การทำวิปัสสนาคือการตามรู้กาย ตามรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยใจที่เป็นกลาง เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

กลับมาดูที่วงจรนี้กันอีกครั้ง

อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรามรณะ > โศกปริเทวะ > อวิชชา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอายตนะ มีผัสสะ และมีเวทนา

แต่ห่วงโซ่ข้อที่เราตัดได้คือคือข้อ เวทนา > ตัณหา ครับ

ถ้าเราสามารถตามรู้สภาวะทุกอย่างด้วยใจเป็นกลาง ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ใจก็จะไม่ยึดติด ตัณหาก็ไม่เกิด

เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานก็ขาด ภพก็ขาด ชาติก็ขาด

ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป ไม่ว่าจะในภพภูมิไหนๆ

ที่เรายังมีตัณหาอยู่ตอนนี้ เพราะใจของเรายังยึดติด ยังเห็นว่าร่างกายและจิตใจเป็นของดีของวิเศษ

แต่เมื่อใดก็ตามที่เราใช้วิปัสสนาสำรวจร่างกายและจิตใจจนชำนาญแล้ว เราจะพบความจริงที่ว่า กายนี้ใจนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง) กายนี้ใจนี้ถูกบีบคั้นตลอดเวลา (ทุกขัง) และกายนี้ใจนี้ไม่ใช่ของเรา (อนัตตา)

เมื่อ “เข้าใจ” ในประเด็นนี้อย่างถ่องแท้ เราก็จะเลิกยึดถือในกายในใจ และเป็นอิสระโดยแท้จริง

ชักเริ่มสนใจปฏิบัติธรรมนิดๆ แล้ว เริ่มยังไงดี?

ผมเองก็ยังประสบการณ์ไม่มากนัก และช่วงนี้ก็ย่อหย่อนไปไม่น้อย แต่ขอแนะนำสองสามข้อนี้ครับ

ดาวน์โหลดธรรมเทศนาจากเว็บไซต์ dhamma.com ของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ไว้ฟังบนรถ

จัดเวลาวันละห้านาที ให้ได้นั่งเฉยๆ เพื่อคอยรู้กายรู้ใจตัวเอง

ลองไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ที่ผมเคยไปมาคือการฝึกวิปัสสนาตามแนวทางของท่านโกเอนก้า เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต

วันนี้วันมาฆบูชา เป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาพระธรรม

พระธรรมคือความจริง

ทุกคนก็อยากรู้ความจริงกันทั้งนั้น เราถึงชอบอ่านข่าวก๊อซซิปดาราและด่านักการเมืองศรีธนญชัย

เรารักที่จะรู้ความจริงภายนอก แต่เรากลับหลีกเลี่ยงที่จะค้นหาความจริงภายใน

เราพร้อมเอาเวลาไปลงกับเรื่องอื่นเพื่อสร้างชื่อเสียง สร้างฐานะ สร้างทรัพย์สมบัติ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้ซักอย่าง

วันนี้วันมาฆบูชา

ลองสำรวจตัวเองนะครับว่าเรากำลัง “โมฆะบูชา” มากไปหรือเปล่า

ไม่เคยสาย และไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะเริ่มออกเดินทาง

ที่จะทำให้ชีวิตนี้ไม่เป็นโมฆะครับ

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก

ธรรมะเพื่อการพ้นทุกข์ : พระธรรมเทศนา mp3 และบันทึกวิดีโอ

ThaiDhamma: การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

เคล็ดลับการเขียนบทความดีๆ

20150222_GoodArticles

คือการเขียน “บทความธรรมดาๆ” ให้ได้เยอะๆ

เคยมีคนแนะนำผมว่า แทนที่จะเขียนบล็อกทุกวัน ทำไมไม่ลองลดจำนวนเป็นสัปดาห์ละสองหรือสามครั้งแทน จะได้มีเวลาคิด มีเวลาเขียนมากกว่านี้ บทความจะได้มีคุณภาพมากขึ้นด้วย

จริงๆ ก็เป็นแนวทางที่ดีนะครับ แต่ผมยังรู้สึกว่าอยากเขียนทุกวันอยู่ดี แม้ว่ามันจะทรมาน และบทความบางตอนอาจจะไม่ได้มาตรฐานสูงนัก

เหตุผลที่ผมทำอย่างนี้มีสองข้อ

หนึ่ง คือผมถือว่าการเขียนบล็อกคือการฝึกฝน ยิ่งฝึกมากยิ่งดี ถ้าให้ตีพิมพ์แค่สัปดาห์ละสองบทความ ผมรู้ว่าตัวว่าคงไม่ได้เขียนทุกวันแน่ๆ สุดท้ายสิ่งที่จะได้อาจเป็นจำนวนบทความที่น้อยกว่าเดิม แถมคุณภาพก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นซักเท่าไหร่

เหตุผลข้อที่สอง ก็คือผมไม่มีทางรู้เลยว่าบทความไหนจะดี จะเด่น จะดัง บางบทความเขียนแบบมั่นใจมากว่ามันต้องเปรี้ยงปร้าง แต่แล้วมันก็แป๊ก ขณะที่บางบทความเขียนแบบง่ายๆ ขำๆ กลับได้รับความนิยม

ดังนั้นผมเลยขอยึดคติว่า เขียนให้เยอะๆ ไว้ก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสให้บทความดีๆ ได้ผุดออกมาดีกว่า

เหมือนในนิทานปั้นหม้อ ที่นักเรียนที่เน้นปั้นหม้อให้ได้มากที่สุด สุดท้ายจะปั้นหม้อออกมาได้สวยกว่านักเรียนที่เน้นปั้นหม้อให้ได้สวยที่สุด

และถึงแม้ว่าผมจะเน้นปริมาณ แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยเรื่องคุณภาพ เพราะผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ทุกบทความนั้นต้องมีประเด็นที่เป็นประโยชน์ และช่วยสร้างมุมมองใหม่ๆ ให้ผู้อ่านได้บ้าง

คะแนนอาจจะไม่ได้สิบเต็มสิบทุกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้เจ็ดเต็มสิบเป็นอย่างน้อย ผมก็ไม่ปล่อยออกไปเหมือนกัน

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านจริงๆ ที่สละเวลาเข้ามาอ่านและนำไปบอกต่อ

สำหรับคนเขียนบล็อก ไม่มีอะไรสร้างความปลื้มใจมากไปกว่าการได้รู้ว่างานที่ตัวเองสร้างออกมานั้นมีประโยชน์จนคนกดปุ่มแชร์อีกแล้ว

จะเขียนทุกวันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ต่อไปนะครับ

และคงไม่กล้าขอให้เข้ามาอ่านทุกวันด้วย เกรงจะเบื่อกันเสียก่อน

รักน้อยๆ แต่รักนานๆ ก็พอแล้ว!

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Pixabay

จุดตะเกียง

20160220_Lantern

ไปทางไหนก็มีแต่เสียงสาบแช่งความมืด หรือมนุษย์เราลืมวิธีจุดตะเกียงไปเสียแล้ว

– ประภาส ชลศรานนท์
หนังสือประโยคย้อนแสง

เรื่องราวในวงการสงฆ์ตอนนี้กำลังเป็นประเด็นฮอต

ใครจะไปคิดว่าเมืองพุทธอย่างประเทศไทยจะได้เห็น “ไตรจีวร” กับ “ลายพราง” ปะทะกัน?

แถมมีคุณจตุพรมาผสมโรงด้วยอีกต่างหาก

เรื่องศาสนากลายเป็นเรื่องการเมืองไปได้อย่างไร?

แต่ผมว่า เรื่องใดก็ตามที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง มันคือเรื่อง “การเมือง” ทั้งนั้น

การเมืองในสภา การเมืองในบริษัท การเมืองในวัด หรือแม้กระทั่งการเมืองในคู่รัก

บริบทอาจจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหาและเป้าหมายแทบไม่ต่างกันเลย

—–

ช่วงนี้ประโยค “วิกฤติศรัทธาวงการสงฆ์” เลยเป็นคำที่สื่อนิยมใช้

เพราะ “พระสงฆ์” ไม่เคยประพฤติตนให้ “ประชาชน” เสื่อมศรัทธาได้ขนาดนี้

แต่ก็ต้องกลับมาถามอีกว่า “พระสงฆ์” ที่ว่าคือใคร

แล้ว “ประชาชน” คือใคร

ถ้า “พระสงฆ์” คือพระเพียงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในฝ่ายคู่ขัดแย้ง

และ “ประชาชน” คือคนไทยส่วนใหญ่

ผมว่าเราก็อยู่ในวิกฤติมานานแล้วนะครับ

—–

ผมเคยอ่านคำสัมภาษณ์พระรูปหนึ่งที่พูดไว้อย่างน่าคิด

ว่านักการเมืองหรือข้าราชการนั้น ต่อให้ใหญ่ล้นฟ้าแค่ไหน แต่ก็ยังมีวาระ (เช่น ส.ส. อยู่ได้สี่ปีก็ต้องลงเลือกตั้งใหม่) และยังถูกตรวจสอบและถูกนำไปลงโทษได้

แต่ในวงการสงฆ์ ไม่มีวาระ และการตรวจสอบแทบจะเป็นศูนย์

มหาเถรสมาคม จึงเป็นแดนสนธยาที่ชาวบ้านอย่างเราๆ ไม่เคยรู้เลยว่า “ข้างใน” เขาบริหารกันอย่างไร

เมื่อไม่มีการคานอำนาจ ไม่มีการตรวจสอบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามันจะเน่าในมาได้สักพักใหญ่แล้ว

—–

แล้วประชาชนอย่างเราๆ ล่ะ

ประชาชนที่เคยประกาศตนในหอประชุมของโรงเรียนเองตัวว่าเป็น “พุทธมามกะ”

ประชาชนที่วิจารณ์พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งว่าทำตัวไม่เหมาะสม

แล้วเราเองได้ในฐานชาวพุทธ ได้ทำตัวเหมาะสมแล้วหรือยัง?

เราให้ทานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

เราถือศีลห้าครบมั้ย?

เราภาวนากันบ้างหรือเปล่า?

พุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ด้วย “พุทธบริษัท ๔”

ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ถ้าศาสนาพุทธจะล่มสลายในเมืองไทย ผมว่าการปะทะกันของพระกับทหารถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับความไม่ใส่ใจของอุบาสกอุบาสิกาที่มีจำนวนมากกว่าไม่รู้กี่พันเท่า

ปัญหาสังคมล้วนป็นเพียงภาพขยาย (manifestation) ของปัญหาระดับบุคคล

ถ้ารู้สึกว่าประเทศไทยตอนนี้มันมืดมนนัก

ลองจุดตะเกียงให้ตัวเองก่อนดีมั้ย?

—–

ขอบคุณประโยคชวนคิดจากหนังสือประโยคย้อนแสง โดยประภาส ชลศรานนท์

ขอบคุณรูปนี้ในเพจมหาสติ ที่กระตุกให้เขียนบทความนี้ขึ้นมา

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณภาพจาก Wikipedia