เมื่อใครโฆษณาว่าเขาเป็นคนแบบไหน ให้เผื่อใจเอาไว้ด้วย

LinkedIn

ผมทำงานสาย HR จึงได้ดูโปรไฟล์คนมาเยอะมาก

สิ่งหนึ่งที่ผมค้นพบก็คือ ตัวเทพๆ ที่ผมรู้จักนั้น โปรไฟล์ LinkedIn จะไม่ค่อยอัพเดตเท่าไหร่

ไม่มีเขียนว่าหน้าที่ความรับผิดชอบหรือความสำเร็จตัวเองเป็นอย่างไร บางคนไม่ได้ใส่ที่ทำงานล่าสุดด้วยซ้ำ

นั่นอาจเป็นเพราะว่าคนที่ทำงานเก่งมากๆ เขาแทบไม่มีความจำเป็นต้องหางานเองเลย เพราะจะมีคนชวนไปทำอะไรตลอดเวลาอยู่แล้ว


Facebook

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นเกี่ยวกับคนทำงานเก่งๆ ก็คือเขามักจะไม่ค่อยโพสต์อะไรที่มีสาระบน Facebook

บางคนโพสต์เรื่องเกม บางคนโพสต์เรื่องหมาแมว บางคนใช้โปรไฟล์เป็นรูปหมาแมว

ส่วนคนที่โพสต์เรื่องมีสาระ มีความรู้ เท่าที่ผมรู้จักก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงาน แต่ก็ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นเท่าคนกลุ่มข้างบน

ไม่ได้หมายความว่าคนที่โพสต์ไร้สาระคือคนเก่ง และคนที่โพสต์มีสาระคือคนไม่เก่งนะครับ เพราะไม่มีอะไรขาวกับดำขนาดนั้นอยู่แล้ว

ที่กล่าวมาเป็นเพียงประสบการณ์ตรงของผมที่อาจขัดแย้งกับ common sense เท่านั้น


Instagram

Jonathan Haidt เคยบอกไว้ว่า โซเชียลมีเดียได้กลายร่างจากพื้นที่ที่ให้คนได้เชื่อมโยงและพูดคุยกัน (connect & communicate) เป็นพื้นที่สำหรับ “การแสดง” (performance) ไปเรียบร้อยแล้ว

Instagram เป็นพื้นที่การแสดงว่าชีวิตเราเป็นยังไง ไปเที่ยวไหนมา ไปกินไหนมา จนบางทีการเตรียมพร้อมเพื่อให้ได้รูปสวยๆ นั้นกินเวลามากกว่าการดื่มด่ำกับประสบการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเสียอีก

ถ้าเรามีความสุขและมีความรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องบอกให้คนอื่นรู้ว่าเรามีความสุข ก็น่าคิดเหมือนกันว่ามี “หลุม” อะไรที่เราพยายามถมให้เต็มอยู่หรือเปล่า


รถปอร์เช่

Morgan Housel เขียนไว้ในหนังสือ The Psychology of Money ว่า “ความมั่งคั่งคือรถปอร์เช่ที่เราไม่ได้ซื้อ” – Wealth is the Porche you didn’t buy.

เมื่อใดก็ตามที่เราเอาเงินไปซื้ออะไรมาเพื่ออวดว่าเรามีตังค์ ความมั่งคั่งของเราก็จะลดลงทันทีเพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

ไม่ได้บอกว่าคนขับรถปอร์เช่ทุกคนไม่ได้รวยจริง แค่จะบอกว่าคนที่รวยจริงบางคนก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องซื้อของแพงๆ มาแจ้งให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองรวย


ผมเคยเขียนไว้ในบทความ “ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์” ว่าคนที่หน้าตาดีจริงๆ ไม่ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองหน้าตาดี คนที่มีฐานะจริงๆ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าตัวเองมีฐานะ และคนที่มีบารมีจริงๆ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าตัวเองมีบารมี

เมื่อใครโฆษณาว่าเขาเป็นคนแบบไหน เราจึงควรเผื่อใจเอาไว้

คนที่พร่ำบอกว่าตัวเองเป็นคนเก่ง อาจไม่ได้เก่งขนาดนั้น

คนที่พร่ำบอกว่าตัวเองเป็นคนรวย อาจไม่ได้รวยขนาดนั้น

คนที่พร่ำบอกว่าตัวเองมีความสุข อาจไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น

และโดยเฉพาะคนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี อาจไม่ได้ดีขนาดนั้นครับ

เมื่อความยุติธรรมสำหรับคนส่วนใหญ่อยู่เหนือความยุติธรรมสำหรับคนคนเดียว

สมมติว่าคนในครอบครัวของเราถูกจับเรียกค่าไถ่ และเรามีกำลังจ่าย เราจะยอมจ่ายค่าไถ่หรือไม่?

ถ้าใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง ผมเองอาจจะยอมจ่าย

แต่ถ้าเอาสังคมเป็นตัวตั้ง การจ่ายค่าไถ่ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่าอาชีพเรียกค่าไถ่นี้มีผลตอบแทนดี โจรคนเดิมอาจจะจับคนอื่นเพื่อเรียกค่าไถ่อีกในอนาคต แถมคนอื่นๆ อาจจะเริ่มคิดอยากเป็นโจรเรียกค่าไถ่บ้าง

การที่เรายอมจ่ายค่าไถ่ เราอาจจะช่วยชีวิตคนในครอบครัวได้หนึ่งคน แต่เรากำลังสร้างความเสี่ยงให้กับคนอื่นๆ ในสังคมอีกไม่รู้กี่สิบคน

เวลาศาลตัดสิน นอกจากจะมองความถูกต้องและยุติธรรมของโจทย์และจำเลยแล้ว ศาลยังต้องระวังด้วยว่าการตัดสินนี้จะมีผลต่ออนาคตอย่างไร

ลองคิดถึงสถานการณ์การจับตัวเรียกค่าไถ่อีกครั้ง สมมติว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนตัดสินใจว่าจะยอมจ่ายค่าไถ่หรือไม่ แล้วเจ้าหน้าที่ตัดสินใจไม่ยอมจ่ายค่าไถ่จนเป็นผลให้ตัวประกันถูกสังหาร

ในกรณีนี้ รัฐต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวผู้เสียหายหรือไม่

ถ้ามองด้วยความเห็นใจ เราก็คงอยากให้ศาลตัดสินให้รัฐจ่ายค่าเสียหายให้ครอบครัว แต่การตัดสินแบบนั้นไป ย่อมหมายความว่าหากเกิดสถานการณ์เรียกค่าไถ่อีกในอนาคต เจ้าหน้าที่รัฐย่อมมีแนวโน้มที่จะยอมจ่ายค่าไถ่ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ปัญหาโจรเรียกค่าไถ่เพิ่มขึ้นเหมือนในกรณีแรก

ดังนั้น การตัดสินของคนที่อยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นศาล ผู้บริหารประเทศ หรือผู้บริหารองค์กร นอกจากต้องคำนึงถึงความชอบธรรมต่อคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว ยังต้องคำนึงถึงบรรทัดฐานที่จะถูกสร้างขึ้นจากกรณีนี้ รวมถึงแรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ดังนั้น แม้การตัดสินหรือตัดสินใจบางอย่างจะดูไม่ยุติธรรมหรือไม่มีมนุษยธรรมสำหรับคนหนึ่งคนในวันนี้ แต่มันอาจช่วยป้องกันหรือลดทอนปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นอีกมากมายในอนาคต

ผมไม่อาจตัดสินได้ว่าแบบไหนถูกต้องกว่ากัน แค่อยากนำมาเล่าเพื่อให้เราเห็นภาพที่ชัดขึ้นว่า ในโลกที่ไม่เพอร์เฟ็กต์ ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อาจจำเป็นต้องแลกมาด้วยการเสียประโยชน์ของคนส่วนน้อยครับ


ขอบคุณเนื้อหาจาก The Great Mental Models Vol.3: Systems and Mathematics by Rhiannon Beaubien & Rosie Leizrowice

ฟินแลนด์ลดการเสียชีวิตบนท้องถนนลง 50% ได้อย่างไร

  • ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของฟินแลนด์ลดลงถึง 50%
  • ปี 2019 ฟินแลนด์เป็นข่าวไปทั่วโลกเพราะเป็นปีที่ไม่มีการเสียชีวิตของคนเดินเท้าหรือคนขี่จักรยานเลยแม้แต่คนเดียว
  • ปี 2021 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 219 คน คิดเป็น 4 คนต่อประชากร 1 แสนคน น้อยกว่าอเมริกาสองเท่า และน้อยกว่าเมืองไทย 8 เท่า (32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน)
  • เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ มีประชากร 1.3 ล้านคน การเดินทางเข้าเมืองนั้น 25% ใช้การเดินเท้า 9% ผ่านขนส่งมวลชน และ 7.5% ทางจักรยาน (ที่เหลือคือการขับรถส่วนตัว)
  • ในปี 1970 เขตตัวเมืองจะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วงปี 2000’s ลดลงเหลือ 40 ก.ม.ต่อชั่วโมง และในตอนนี้ถนนกว่าครึ่งหนึ่งในตัวเมืองจำกัดความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
  • ถนนหลายเส้นจงใจออกแบบให้มีช่องจราจร (เลนรถ) ที่แคบลงด้วย พอเลนแคบคนก็จะไม่กล้าขับเร็วโดยปริยาย นอกจากนี้ยังมีการใช้ต้นไม้และพุ่มไม้เพื่อให้คนขับรถช้าลงอีก ส่งผลให้จำนวนคนขี่จักรยานและคนเดินเท้าที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลง 75% ระหว่างปี 2005 ถึง 2020
  • ในเฮลซิงกิมีกล้องตรวจจับความเร็วประมาณ 35 ตัว ใครที่ขับรถเร็วเกินกำหนดไปมากกว่า 20 ก.ม.ต่อชั่วโมง (เช่นขับ 51 ก.ม.ต่อชั่วโมงในเขตที่จำกัดความเร็วไว้ที่ 30 ก.ม.ต่อชั่วโมง) จะโดนปรับอย่างน้อย 200 ยูโรหรือประมาณ 7,500 บาท
  • แต่สิ่งที่ทำให้ฟินแลนด์ไม่เหมือนใครก็คือค่าปรับจะสูงขึ้นตามรายได้ของผู้ฝ่าฝืน ในปี 2002 มีผู้บริหารของโนเกียคนหนึ่งโดนค่าปรับไป 116,000 ยูโรหรือ 4 ล้านบาท เพราะขับมอเตอร์ไซค์เร็ว 75 ก.ม.ต่อชั่วโมงในเขตจำกัดความเร็ว 50 ก.ม.ต่อชั่วโมง
  • ทุกครั้งที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนจนมีผู้เสียชีวิต (ย้ำว่าทุกครั้ง) จะมีคณะกรรมการศึกษาอุบัติเหตุครั้งนั้นอย่างจริงจัง โดยคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ทั้งผู้บังคับใช้กฎหมาย งานวางผังการจราจร พฤติกรรมมนุษย์ และงานสาธารณสุข เมื่อศึกษาเสร็จแล้ว คณะกรรมการจะออกรายงานที่เปิดเผยต่อสาธารณชนซึ่งมักจะนำไปสู่การแก้ไขนโยบาย การปรับปรุงถนน และสัญญาณไฟจราจร

ขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg How Finland Put Traffic Crashes on Ice

ว่าด้วยเรื่องเงินเดือนนายกรัฐมนตรี

บทความนี้มีจุดตั้งต้นจากการที่ผมอ่านเจอคำถามนี้ใน Quora:

What are the most underpaid jobs?

อาชีพอะไรที่ได้เงินเดือนน้อยเกินไป?

Asim Qureshi ซึ่งเคยเป็น VP ของ Morgan Stanley และ Credit Suisse มาตอบคำถามนี้ว่า อาชีพที่เงินเดือนน้อยเกินไปคือครูกับ Heads of Government (นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี หรือตำแหน่งใดก็ตามที่บริหารประเทศนั้น)

สำหรับอาชีพครูนั้น คนส่วนใหญ่คงเห็นด้วยว่าควรได้เงินเดือนมากกว่านี้

แต่สำหรับนายกนั้นเขารู้ดีว่าคงมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง (controversial)

Asim เล่าว่าตอนที่เขาอายุยี่สิบปลายๆ และลาออกจาก Credit Suisse เงินเดือนของเขามากกว่า Tony Blair นายกของอังกฤษหลายเท่า

เขามองว่าเมื่อผู้บริหารประเทศได้ผลตอบแทนน้อยเกินไป ย่อมเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการคอรัปชั่น และย่อมหมายความว่าเราอาจไม่ได้คนที่เหมาะสมที่สุดมาบริหารบ้านเมือง

เราปรารถนาดีต่อคนในครอบครัวของเรายังไง เราก็ควรปรารถนาดีต่อคนในชาติเราอย่างนั้นไม่ใช่หรือ?

ไม่มีนายก (หรือประธานาธิบดี) คนไหนในโลกที่ได้เงินเกินปีละ $600,000 เหรียญ ยกเว้นประเทศเดียวคือสิงคโปร์ซึ่งได้เงินปีละ 2.2 ล้านเหรียญ ในขณะที่เงินเดือนของ CEO ในบริษัทที่รายได้สูงสุด 500 บริษัทในอเมริกานั้นมีรายได้เฉลี่ยปีละ 11 ล้านเหรียญ

Asim บอกว่า ลีกวนยูซึ่งเป็นบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์และอดีตนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นคนที่ตั้งกฎให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนสูงๆ เพื่อจะได้โฟกัสที่การทำงาน ทำงาน ทำงาน มากกว่าที่จะเข้ามาหากิน


คำตอบของ Asim บน Quora จบเท่านี้ แต่ผมสงสัยก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แค่กูเกิล prime minister salaries by country ก็เจอหน้า Wikipedia ที่บอกว่านายกแต่ละประเทศได้เงินเดือนเท่าไหร่บ้าง จากนั้นก็หาข้อมูลอื่นๆ มาเสริม

ถ้าใครอยากดูข้อมูลประกอบบทความนี้ไปด้วย ลองเข้า Google Sheets อันนี้แล้ว Make a copy หรือดาวน์โหลดมาเล่นได้ครับ

https://bit.ly/ampmsalaries

Wikipedia มีรายชื่อเกือบ 200 ประเทศ แต่ที่มีข้อมูลเงินเดือนนายกนั้นมีเพียง 144 ประเทศ

5 อันดับแรกได้แก่

  1. สิงคโปร์ ปีละ 1.6 ล้านเหรียญ (ต่างจากที่ Asim บอกว่าได้ 2.2 ล้าน) หรือตกเดือนละ 4.3 ล้านบาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยนของ 1 USD = 32 บาทเพราะข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนในตารางของ Wikipedia บอกว่ามาจากปี 2019)
  2. ฮ่องกง เดือนละ 1.5 ล้านบาท
  3. สวิตเซอร์แลนด์ 1.3 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา 1.1 ล้านบาท
  5. เยอรมันนี 990,000 บาท

อันดับ 6-10 ได้แก่ออสเตรีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ลักเซมเบิร์ก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้เงินเดือนระหว่าง 700,000-980,000 บาท

ส่วนนายกของไทยนั้นจำง่ายมาก ได้อันดับที่ 100 พอดี รับอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสอดคล้องกับบทความที่ iTax เคยเขียนเอาไว้

อันดับข้างเคียง (95-105) ได้แก่บัลแกเรีย เวเนซูเอล่า ปาเลสไตน์ บุรุนดี เบลีซ แทนซาเนีย แซมเบีย ตองก้า และโบลิเวีย

เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นายกไทยได้เงินเดือนน้อยกว่าฟิลิปปินส์ (สองแสนห้า) มาเลเซีย (แสนหก) และอินโดนีเซีย (แสนสี่) แต่ได้มากกว่าพม่า (แปดหมื่นเจ็ด) และกัมพูชา (แปดหมื่น) ที่ประหลาดและเชื่อได้ยากหน่อยคือเวียดนามที่ Wikipedia ระบุว่านายกได้เงินเดือนแค่สองหมื่นกว่าบาทเท่านั้น

แน่นอนว่าถ้าดูเงินเดือนอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ ควรจะดูเรื่องอย่างค่าครองชีพ (Cost of Living Index) จำนวนประชากร และ GDP ของประเทศนั้นๆ ด้วย

อย่างที่กล่าวไป ถ้าดูเงินเดือนอย่างเดียว ไทยได้อันดับที่ 100 จาก 144 ประเทศ (ที่มีข้อมูลเงินเดือนนายก) หรืออยู่ที่ 30th percentile (Percentile ยิ่งต่ำแสดงว่ายิ่งอยู่รั้งท้าย)

ถ้าดูเงินเดือนโดยคิดเรื่องค่าครองชีพของประเทศนั้นๆ ด้วย ไทยจะได้อันดับที่ 78 จาก 100 ประเทศ (เพราะ Cost of Living Index ไม่ได้มีครบทุกประเทศ) หรือประมาณ 22nd percentile

ประเทศไทยมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 20 จาก 190 ประเทศ (89th percentile)

ถ้าเอาเงินเดือนนายกหารด้วยจำนวนประชากร ไทยจะได้อันดับที่ 109 จาก 125 ประเทศ (13th percentile) (ผมตัดประเทศที่ประชากรน้อยกว่าสามแสนคนออกไปก่อน ไม่งั้นอันดับต้นๆ จะมีแต่ประเทศเล็กๆ ที่เราไม่รู้จัก)

โดยนายกไทยจะได้เงินเดือน 1.7 บาทสำหรับการดูแลประชาชน 1000 คน ใกล้เคียงกับพม่า (1.6 บาท) และฟิลิปปินส์ (2.2 บาท) แต่แพ้มาเลเซียกับอินโดนีเซียที่ได้เงินเดือนประมาณ 5 บาทต่อการดูแลประชากร 1000 คน

ประเทศไทยมี GDP มากเป็นอันดับที่ 26 จาก 189 ประเทศ (86th percentile)

ถ้าเอาเงินเดือนหารด้วย GDP ไทยจะได้อันดับที่ 105 จาก 126 ประเทศ (17th percentile)

สำหรับทุกๆ $1 million ของ GDP นายกไทยได้เงินเดือนเกือบสลึง (24 สตางค์) น้อยกว่าพม่า (1.34 บาท) ฟิลิปปินส์ (65 สตางค์) กับมาเลเซีย (44 สตางค์) แต่มากกว่าอินโดนีเซีย (12 สตางค์)

คำถามว่าถ้านายกได้เงินเดือนเยอะแล้วคอรัปชั่นจะน้อยลงหรือเปล่า (ไม่ว่าจะเป็น causation หรือ correlation ก็ตาม) ผมคิดว่าข้อมูลอาจยังไม่ได้บ่งชี้ขนาดนั้น

ใน 180 ประเทศ ไทยเป็นอันดับที่ 114 เรื่องการต่อต้านคอรัปชั่น (37th percentile)

5 ประเทศที่คอรัปชั่นน้อยที่สุดคือเดนมาร์ค ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ และสิงคโปร์ ซึ่งนายกได้เงินเดือนอันดับที่ 26, 43, 12, 38 และ 1 ตามลำดับ (คิดเรื่องค่าครองชีพแล้ว)

ถ้าดูประเทศที่นายกได้เงินเดือนเยอะที่สุด 5 ประเทศโดยคิดเรื่องค่าครองชีพแล้ว ก็จะเห็นว่าบางประเทศยังมีการคอรัปชั่นพอสมควร (ตัวเลขในวงเล็บยิ่งสูง แสดงว่าคอรัปชั่นยิ่งเยอะ)

Singapore (5)
Hong Kong (12)
South Africa (71)
Austria (13)
Turkey (101)


บทสรุป

  1. เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นายกไทยถือว่าได้เงินเดือนค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง GDP และจำนวนประชากร
  2. ถ้าเราขึ้นเงินเดือนให้คนในรัฐบาลเยอะๆ เราอาจจะเหมือนสิงคโปร์หรือฮ่องกงที่คอรัปชั่นน้อย หรืออาจจะเหมือนแอฟริกาใต้หรือตุรกีที่คอรัปชั่นยังเยอะอยู่ดีก็ได้

อย่างที่คุณ Asim เขียนไว้ว่าหัวข้อนี้มันละเอียดอ่อนและน่าจะทำให้เกิดการโต้แย้ง แต่ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่น่านำไปขบคิดต่อ เพราะ

  1. ถ้ามองด้วยเลนส์ของนักเศรษฐศาสตร์ คนเราจะตอบสนองต่อแรงจูงใจเสมอ (People respond to incentives) เพียงแต่ว่า incentives ที่ว่านั้นมันจะพาให้คนส่วนใหญ่ดีขึ้นหรือคนส่วนใหญ่แย่ลง
  2. ทุกอย่างมีต้นทุนของมัน ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

ขอบคุณเนื้อหาครึ่งแรกจาก Quora: Asim Qureshi’s answer to What are the most underpaid jobs?

อยู่ประเทศไหนรวยง่ายที่สุด?

Herald Eia เป็นนักสังคมวิทยาและผู้จัดการทีวีชาวนอร์เวย์

ในปี 2016 เขาเคยขึ้นพูดบนเวที TEDxOslo ในหัวข้อ Where in the world is it easiest to get rich?

ผมขอถอดความบางส่วนมาไว้ในบล็อกนี้ครับ


อยู่ประเทศไหนรวยง่ายที่สุด? นี่คือคำถามที่ผมถามอาจารย์ของผมตั้งแต่ช่วงต้นยุค 90’s สมัยที่ผมเรียนคณะสังคมวิทยา (sociology)

อาจารย์กำลังสอนเรื่องประชาธิปไตยสังคมนิยม (social democracy) และรัฐสวัสดิการ (welfare state) ของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ค นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ฯลฯ) เขาเชื่อเรื่องการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมที่ไม่มีทั้งคนรวยและคนจน

แต่ผมเองตอนนั้นกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับคนรวย ตอนที่ผมได้สัมภาษณ์เจ้าของธุรกิจผู้มั่งคั่ง ทุกคนล้วนบอกว่าชีวิตในสแกนดิเนเวียมันไม่ง่ายเลย พวกเขาต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพราะว่าโดนเก็บภาษีแพงมาก สหภาพแรงงานก็มีอำนาจต่อรองเยอะ และรัฐสวัสดิการก็ทำให้ผู้คนที่นี่เกียจคร้านอีกต่างหาก

ผมเลยอดไม่ได้ที่จะยกมือถามอาจารย์ในห้องว่า ถ้าเราไม่สนใจเรื่องความเท่าเทียม ถ้าความฝันของผมคือการได้เป็นคนรวยล่ะ ผมควรจะไปเกิดที่ประเทศไหนถึงจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะได้เป็นคนรวย

อาจารย์นิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบผมว่า

“ถ้านั่นคือเป้าหมายของคุณ คุณก็ควรจะเลือกเกิดในประเทที่มีตลาดเสรี ภาษีถูก และรัฐบาลไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกลตลาดมากนัก อ้อ แล้วถ้าคุณอยากจะรวยจริงๆ ควรไม่ควรเลือกเรียนสังคมวิทยาด้วยนะ”

ผมก็คิดว่านั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง จนกระทั่งผมได้อ่านผลงานของอาจารย์ Karl Moene แห่งมหาวิทยาลัย Oslo ถึงได้รู้ความจริงคืออะไร

ก่อนอื่นเราต้องนิยามคำว่า “รวย” กันก่อน

ยูเอ็น (United Nations) ได้กำหนด “เส้นความยากจน” (poverty line) เอาไว้ที่ $2 ถ้าใครมีรายได้ต่ำกว่าวันละ $2 ก็ให้ถือว่าคนคนนั้นยากจน

แต่เส้นที่น่าสนใจกว่าคือ “เส้นความร่ำรวย” (richness line) และรายงานที่เชื่อถือได้มากที่สุดก็คือ Wealth Report ที่นิยามคนร่ำรวยไว้ว่าต้องมีความมั่งคั่งสุทธิ (net worth = ทรัพย์สินลบด้วยหนี้สิน) อยู่ที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ คนกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า Ultra High Net Worth Individual

ในโลกนี้มี UHNWI อยู่ 170,000 คน และนี่คือประเทศ Top 5 ที่มีคนเหล่านี้

ที่ 5 คือจีนมีแปดพันคน ที่ 4 อังกฤษหนึ่งหมื่นคน ที่ 3 เยอรมันมีหมื่นสอง ที่ 2 ญี่ปุ่นมีหมื่นเจ็ดพันคน และแน่นอนว่าที่ 1 คืออเมริกาที่มีคนรวยระดับนี้ถึงสี่หมื่นคน

แต่สิ่งที่เราอยากรู้มากกว่าคือจำนวนคนรวยต่อประชากร 1 ล้านคน และถ้าเราตัดดินแดนภาษีต่ำ (tax havens) อย่างไซปรัส สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์ และโมนาโคทิ้งไป [เพราะเป็นเพียงแหล่งซุกเงินของคนรวยเท่านั้น] เราก็จะได้รายชื่อประเทศเหล่านี้

อันดับ 5 เดนมาร์ค มีคนรวย 179 คนต่อประชากร 1 ล้านคน

อันดับ 4 แคนาดา 181

อันดับ 3 นิวซีแลนด์ 234

อันดับ 2 สวีเดน 329

อันดับ 1 นอร์เวย์ 484 คน

ส่วนอเมริกาอยู่เพียงอันดับที่ 13 มี 126 คน

อาจารย์แกงผมซะแล้ว ไหนบอกว่าสแกนดิเนเวียไม่มีทั้งคนรวยและคนจนไง

แต่เอาเถอะ $30 ล้านอาจจะดูจิ๊บจ๊อยไปหน่อย สมมติเราเพิ่มมาตรฐานเป็น $1 พันล้านจะเกิดอะไรขึ้น? แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มากที่สุดก็คือ Forbes Billionaires List

อันดับ 5 เยอรมันนี มีคนรวยระดับ billionaires 1.2 คนต่อประชากร 1 ล้านคน

อันดับ 4 อเมริกา 1.7 คน

อันดับ 3 นอร์เวย์ 2.0 คน

อันดับ 2 สวีเดน 2.4 คน

ส่วนอันดับ 1 คือไอซ์แลนด์ 3.1 คน ซึ่งมี billionaire หนึ่งคนถ้วนคือ Thor Björgólfsson [ไอซ์แลนด์มีประชากรสามแสนกว่าคน]

ประเด็นก็คืออเมริกา 1.7 ส่วนสแกนดิเนเวียค่าเฉลี่ยคือ 2.1

มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมประชาธิปไตยสังคมนิยมซึ่งคนเป็นดินแดนแห่งความเท่าเทียมจึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์มหาเศรษฐีไปได้?

มีเหตุผล 2 ข้อ

ข้อแรกคือค่าเล่าเรียนฟรี (free education)

ประชาธิปไตยสังคมนิยมทำให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาระดับสูงได้ แถมยังมีเงินกู้ยืมดอกเบี้ยถูกและทุนการศึกษาให้อีกด้วย มันจึงช่วยให้คนจำนวนมากสามารถใช้ความสามารถที่ตัวเองมีเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว

มิติหนึ่งที่เราสามารถดูกันได้คือ “การขยับสถานะทางสังคม” (social mobility)

ลองนึกภาพคนที่เป็น “่พ่อคน” ในประเทศหนึ่ง และแบ่งคนเหล่านี้ออกเป็น 5 กลุ่มโดยดูจากรายได้เรียงจากมากไปน้อย

คราวนี้ก็ให้ไปดูลูกของคนเหล่านั้น และแบ่งเป็น 5 กลุ่มเช่นกัน

แล้วลองดูซิว่า พ่อที่อยู่ในกลุ่มที่จนที่สุด 20% นั้น มีลูกที่ได้ไปอยู่ในกลุ่มที่รวยที่สุด 20% บ้างรึเปล่า มีลูกที่ได้เปลี่ยนจากยาจกเป็นมหาเศรษฐีมากน้อยแค่ไหน

ในโลกอุดมคติที่มี perfect social mobility [ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะไปจบอยู่ที่กลุ่มไหนก็ได้] 20% ของลูกของพ่อในกลุ่มที่จนที่สุดควรจะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มที่รวยที่สุด

ที่สวีเดน ตัวเลขคือ 14%

นอร์เวย์ 12%

สวีเดน 11%

ส่วนอเมริกาคือ 8%

การเรียนฟรีในประเทศแถบสแกนดิเนเวียทำให้คนสร้างเนื้อสร้างตัวได้มากกว่าคนในสหรัฐอเมริกา

แล้วถ้าเราดูลูกของพ่อที่จนที่สุดว่ามีใครที่ยังคงอยู่ในกลุ่มที่จนที่สุดบ้างล่ะ (ลูกของยาจกที่ดิ้นไม่หลุดจากความยากจน)

ใน perfect social mobility ตัวเลขก็คือ 20% เช่นกัน

เดนมาร์ค 25%

สวีเดน 26%

นอร์เวย์ 28%

อเมริกา 42%

นั่นเป็นเพราะว่าค่าเล่าเรียนในอเมริกานั้นแพงมากนั่นเอง [คนจนเลยไม่ค่อยมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก]

แต่เหตุผลข้อที่ 2 – และเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สแกนดิเนเวียเป็นแหล่งเพาะพันธุ์คนร่ำรวยก็คือ…

ที่อเมริกา เวลาคุณขึ้นทางด่วน คุณจะเจอเจ้าหน้าที่ประจำด่าน เวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ต คุณจะเจอพนักงานเก็บเงิน เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ คุณก็จะเจอแม่บ้านทำความสะอาด

ขณะที่ในนอร์เวย์ ไม่ว่าคุณจะขึ้นทางด่วน ไปซูเปอร์มาร์เก็ต หรือเข้าห้องน้ำสาธารณะ คุณจะแทบไม่ได้เจอมนุษย์เลย เพราะใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีแทนคนไปเกือบหมดแล้ว

ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย สหภาพแรงงานนั้นคอยกดดันให้เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำอยู่เสมอ การว่าจ้างคนจึงแพงมาก ถ้าคุณอยู่นอร์เวย์แล้วคุณได้งานเป็นพนักงานเก็บค่าทางด่วน พนักงานคิดเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือเป็นแม่บ้านทำความสะอาด คุณจะได้ค่าจ้างมากกว่าในอเมริกาถึง 3 เท่า

เพราะค่าแรงในสแกนดิเนเวียแพงมาก หลายบริษัทเลยต้องลดจำนวนพนักงาน (downsize) และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นบริษัทก็อยู่ไม่ได้ แต่การใช้เทคโนโลยีก็ทำให้บริษัทมี productivity มากขึ้นในระยะยาวเช่นกัน

ในทางกลับกัน สหภาพแรงงานในสแกนดิเนเวียก็ไม่ยอมให้ค่าแรงของคนที่มีทักษะสูงๆ นั้นสูงเกินไปเพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

Senior Engineer ในนอร์เวย์จะได้ค่าแรง $76,000 ต่อปี ส่วนในอเมริกานั้นจะได้ $100,000 ต่อปี และแน่นอนว่าการจำกัดเงินเดือนของคนที่ทักษะสูงๆ นั้นย่อมเป็นผลดีต่อกำไรของบริษัท เช่นนี้แล้วสหภาพแรงงานจึงเหมือนช่วยบริษัทประหยัดต้นทุนอยู่กลายๆ

มันจึงเป็นเหมือนตลกร้าย ที่คนร่ำรวยที่ผมได้สัมภาษณ์ตอนทำวิทยานิพนธ์นั้นล้วนบ่นว่าการเป็นคนรวยในสแกนดิเนเวียนั้นช่างยากเย็น พวกเขาเข้าใจผิดไปไกลเลย

ภาษีแพงนั้นทำให้พวกเราได้เรียนฟรีและทำให้เศรษฐกิจของเราเต็มไปด้วยคนที่มีความรู้ความสามารถ

สหภาพแรงงานที่แข็งแกร่งบังคับให้องค์กรมี productivity ที่ดีขึ้น

และความเป็นรัฐสวัสดิการก็ทำให้สหภาพแรงงานยอมให้เกิดการปลดพนักงานได้เพราะเขารู้ว่าแม้จะตกงานไปคนเหล่านี้ก็จะยังมีรัฐคอยดูแลเป็นอย่างดี

ประชาธิปไตยสังคมนิยมจึงไม่ใช่แนวคิดที่ต่อต้านความร่ำรวยหรือต่อต้านระบอบทุนนิยม รัฐสวัสดิการและสหภาพแรงงานนั้นทำงานควบคู่ไปกับทุนนิยมเลยด้วยซ้ำ

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศในสแกนดิเนเวียจึงเป็นดินแดนที่ผู้คนสามารถบรรลุ The American Dream ได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าในอเมริกาครับ!


ขอบคุณเนื้อหาจาก TEDxOslo | Where in the world is it easiest to get rich? | Harald Eia