เมื่อ Supply มีมากกว่า Demand เราจะอยู่กันอย่างไรดี

เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่เบน” วิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ CEO กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ ที่ทำธุรกิจสิ่งทอครบวงจรอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

ประโยคหนึ่งที่พี่เบนพูดออกมาแล้วติดอยู่ในใจผมมาหลายเดือนก็คือ การทำธุรกิจสมัยก่อนนั้นง่ายกว่าสมัยนี้

“ในอดีต ถ้า Demand มีซัก 10 Supply จะมีแค่ 3 หรือ 4 เท่านั้น ทำธุรกิจอะไรก็รวย

แต่สมัยนี้ Demand มี 10 Supply อาจจะมี 20 หรือ 30 มันก็เลยต้องแย่งกันขาย ดังนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนนั้นจึงยากกว่าแต่ก่อนมากๆ”

ในช่วงเดียวกันนั้นเอง ผมได้อ่านหนังสือชื่อ The Perfection Trap ที่เขียนโดย Thomas Curran ที่ตั้งคำถามว่าทำไมคนเราถึงมีโอกาสเป็น perfectionist มากกว่าแต่ก่อน

สมมติฐานของ Curran คือ โลกปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วย Supply-Side Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งซัพพลาย

ในความหมายที่ว่า ทุกคนต้องการสร้างความเจริญเติบโต (growth) จึงเร่งผลิตผลิตภัณฑ์ออกมามากมายจนล้นตลาด และสร้าง “ความต้องการ” ให้กับผู้บริโภคด้วยการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นทางทีวี นิตยสาร หรือบิลบอร์ด หรือถ้าเป็นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็คือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่ Curran มองว่าไม่ได้ทำหน้าที่ social network อีกต่อไป แต่เป็น advertising platform อันทรงพลัง

เมื่อเราถูกสื่อทุกทางบอกว่าชีวิตของเราไม่ดีพอ ชีวิตของเราจะต้องดีกว่านี้ ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรือบริการตัวนั้น เราก็เลยพร้อมที่ยอมจ่ายเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าที่เอาเข้าจริงแล้วไม่ได้จำเป็นต่อชีวิต

เราจึงกดเอฟของเวลามี Double Digit Campaign ในเว็บอีคอมเมิร์ซ เราจึงซื้อเสื้อผ้า fast fashion มาอัดไว้เต็มตู้ เราจึงเปลี่ยนมือถือทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้ดี


ไม่ใช่เพียงสินค้าเท่านั้นที่ล้นตลาด คนทำงานก็เหมือนจะล้นตลาด

เนื่องจากผมทำงานอยู่ในส่วนของ HR จึงได้สัมภาษณ์คนอยู่เรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือเด็กที่จบใหม่สมัยนี้หางานดีๆ ได้ยากกว่าสมัยก่อน

เนื่องจากบริษัททุกแห่งต้องทำกำไร และการจ้างพนักงานประจำนั้นมีต้นทุนสูง บริษัทจำนวนไม่น้อยจึงเลือกรับพนักงานที่ยังไม่มีประสบการณ์แบบเป็นสัญญาจ้างหรือที่เรียกว่า outsourced employee

ผมได้คุยกับผู้สมัครหลายคนที่เรียนจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมายังเป็นได้เพียงพนักงานสัญญาจ้างปีต่อปี ซึ่งสิ่งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

แล้วการมาของ AI อาจจะ disrupt ตลาดแรงงานอีกหลายระลอก งานระดับ operations ที่เราเคยจ้างเด็กจบใหม่เข้ามาทำก็อาจจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ

เมื่อเราอยู่ในโลกที่ supply มีมากกว่า demand นั่นหมายความว่าเราไม่อาจแสวงหา “ความมั่นคง” ในอาชีพการงานได้อีกต่อไป

แม้กระทั่งบริษัทเทคชั้นนำของโลกที่มีเงินมหาศาล ก็ยังปลดพนักงานไปแล้วหลายระลอก

จริงอยู่ที่ในเมืองไทยยังมีองค์กรใหญ่ที่ดูมั่นคงและปลอดภัย แต่ในโลกที่ผันผวนเพียงนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าองค์กรเหล่านี้จะยังคงมอบความมั่นคงให้กับพนักงานได้เหมือนสมัยก่อนหรือไม่ บริษัทอาจถูกควบรวม ลดไซส์ หรือมีโครงการ early retire ที่เราอาจกลายเป็น “ผู้ประสบภัย” ได้เช่นกัน


ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี?

ผมคงไม่สามารถพูดได้ในมุมของเจ้าของธุรกิจเพราะไม่ได้มีประสบการณ์ แต่ขอพูดในมุมมองของพนักงานว่าเราจะเพิ่มความน่าจะเป็นให้กับตัวเองในการมี “งานทำไม่ขาดมือ” ได้อย่างไรบ้าง

หนึ่ง เราควรเป็นของหายากสำหรับใครบางคน

แม้จะอยู่ใน supply-side economy แต่ก็มีบางอย่างที่ supply ยังน้อยกว่า demand อยู่

เช่นคนที่ขยัน เรียนรู้ไว มี ownership เก่งทั้งงาน เก่งทั้งคน มี EQ ที่ดี จัดการความเครียดได้ สุขภาพแข็งแรง รักษาคุณภาพของงานได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางลัด ต้องใช้เวลาพัฒนา มันจึงเป็นของหายาก และบริษัทที่ฉลาดย่อมอยากเก็บเอาไว้

สอง เราควรสร้างแบรนด์ของตัวเอง

เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ดีๆ ได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากไปกว่าเวลาและความตั้งใจ (โดยที่ต้องทดไว้ในใจว่าใน supply-side economy ก็มี creators ล้นตลาดเช่นกัน)

เมื่อเรามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีคนติดตามหลักพันหรือหลักหมื่น มันจะเป็นเสมือน online resume ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเราได้ในระยะยาวไม่ว่าเราจะทำงานอยู่กับองค์กรไหนก็ตาม

และแม้ว่าเราไม่ต้องการมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ เราก็ยังสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองภายในองค์กรได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสและทางเลือกให้กับเราอย่างแน่นอน

สาม เราควรเล่นเกมยาวกับคนที่มองการณ์ไกล

“Play long-term games with long term people.” เป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ผมชอบมากที่สุดในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

เพราะความไว้ใจนั้นใช้เวลาสั่งสมเนิ่นนาน เป็นสิ่งที่ AI ก็ช่วยให้เกิดเร็วขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในความสัมพันธ์กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ เราก็จะมีกลุ่มคนที่คอยเกื้อกูลกัน พร้อมจะแนะนำให้เราได้พบกับงานดีๆ ทั้งในวันนี้และในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องร่อนเรซูเม่และได้แต่ภาวนาว่าจะมีบริษัทไหนเรียกตัวหรือไม่

ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคลื่นอีกหลายระลอกที่กำลังซัดเข้าฝั่งครับ

Anontawong’s Musings อายุครบ 10 ปีแล้วครับ!

ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าของคืนวันที่ 2 มกราคม 2025

วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 มกราคม 2015 คือวันที่ผมเริ่มเขียนบล็อก Anontawong’s Musings อย่างจริงจัง

ที่จริงแล้ว บทความแรกที่ผมเขียนลงบล็อกนั้น เขียนไว้เมื่อปี 25 มกราคม 2012 สั้นๆ แค่นี้

“Today I signed up on tumblr to start my blog. I don’t know where it is going to lead me but I hope to be able to learn something from doing this.

วันนี้ก็เริ่มเขียนบล็อกส่วนตัวเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนำไปสู่อะไรบ้างแต่คงจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่มากก็น้อยครับ”

แต่หลังจากนั้น ผมก็เขียนบทความแค่ปีละ 3-4 ตอนเท่านั้น

จนกระทั่งปลายปี 2014 ได้ไปเที่ยวช่วงหยุดปีใหม่กับครอบครัว พกหนังสือ “คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย” ของพี่แท้ป รวิศ หาญอุตสาหะ กับ “มองไกลบนไหล่ยักษ์” ของพี่บอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ

อ่านหนังสือสองเล่มนี้จบแล้วเกิดความฮึกเหิม คิดว่าควรจะลุกขึ้นมาทำอะไรจริงจัง

กลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพ วันที่ 2 มกราคม 2015 ก็เลยโพสต์บทความที่ชื่อว่า “เกิดใหม่” แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะลงบทความติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน

พอเขียนได้ครบ 3 วัน ก็ขยับเป้าเป็น 1 สัปดาห์ พอครบ 1 สัปดาห์ ก็ขยับเป็น 1 เดือน แล้วก็ขยับเป็น 3 เดือน

จนกระทั่งเขียนครบ 100 ตอน เลยประกาศว่าผมจะเขียนบล็อกต่อไปเรื่อยๆ และจะพยายามเขียนทุกวัน จนกระทั่งเขียนครบ 3,000 ตอนเมื่อปลายปี 2023

ในปี 2024 ผมลดจำนวนบทความลงไปพอสมควร ทั้งปีเขียนไปแค่ 63 บทความเท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าคุณภาพโดยรวมของบทความดีขึ้น และที่สำคัญคือผมมีความสุขกับการเขียนมากกว่าเดิม และมีเวลาเพิ่มเติมได้ไปลองทำสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต

ปี 2025 นี้ ผมตั้งใจจะเขียน Anontawong’s Musings ประมาณ 50-60 บทความครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาอย่างเหนียวแน่น และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของ Anontawong’s Musings ผมอยากมอบหนังสือที่ผมเขียนเอง 10 เล่มให้กับ 10 คนที่เข้ามาร่วมคอมเมนท์ โดยช่วยบอกผมว่ารู้จักบล็อกนี้ได้ยังไง และ/หรือ มีบทความไหนที่ชอบเป็นพิเศษ โดยผมจะสุ่มชื่อคนที่มาร่วมสนุกและทักไปทาง inbox ในช่วงปลายสัปดาห์หน้านะครับ

สุดท้ายนี้ ขอยกถ้อยคำบางส่วนจากบางบทความที่อาจเคยผ่านหูผ่านตาของทุกคนมาบ้าง ในตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

สวัสดีปีใหม่ 2025 ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ และมีความสุขกับเส้นทางที่เราเลือกเดินครับ


2015 – วิธีการจัดบ้านแบบ KonMari

มาริเอะบอกว่า การจัดบ้านไม่ใช่แค่การจัดบ้าน แต่มันคือการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับข้าวของที่เรามี

การจัดบ้าน คือการสบตากับความจริง ว่าตัวเราในปัจจุบันต้องการอะไร และเราต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน

การจัดบ้านให้เรียบร้อย จึงเป็นการเดินทางของจิตวิญญาณ ปลดปล่อยตัวเองจากอดีต และมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ด้วยความไว้ใจในชีวิตเช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตกับปัจจุบันได้ดีที่สุด

ลองนึกภาพดูนะครับว่า ถ้าของทุกชิ้นในบ้านคุณ spark joy มันจะดีแค่ไหน

เปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็นแต่ชุดที่เราอยากใส่ มองไปที่ชั้นหนังสือก็เจอแต่หนังสือที่อยากหยิบขึ้นมาอ่าน ดีวีดีทุกแผ่นล้วนแล้วแต่เป็นหนังในดวงใจ และรูปทุกใบทำให้เรายิ้มทุกครั้งที่เห็น

เมื่อนั้น “บ้าน” จะเป็นแหล่งพักพิงใจของเราอย่างแท้จริง


2016 – ก่อนจะลาออกไป Follow Your Passion

เพราะการได้ทำสิ่งที่รัก ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะมีความสุขกับงานได้ แต่การรักในสิ่งที่ทำและมุ่งสู่ความเป็นเลิศในทางนั้นก็ทำให้เรามีความสุขได้เช่นกัน

ดังนั้น ก่อนจะลาออกไปทำสิ่งที่รัก ลองมา “เอาจริง” กับงานที่อยู่ตรงหน้ากันซักตั้งก่อนมั้ย

มาทำตัวเองให้เก่งจนใครๆ ก็ต้องมองมาที่เรา – be so good they can’t ignore you

แล้วโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก (แถมยังได้เงินดี) จะวิ่งเข้าหาเราแน่นอนครับ


2017 – ใครเบื่อรถติดบนทางด่วนพระราม 9 โปรดอ่าน!

(บทความนี้ชักชวนให้คนหันมาใช้ Easy Pass)

ใช่ครับ ถ้าคนเปลี่ยนไปใช้ Easy Pass แค่ไม่กี่สิบหรือไม่กี่ร้อยคน สถานการณ์ย่อมไม่มีอะไรดีขึ้นมา

คำถามคือคุณจะเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา หรือจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทางออก

เพียง 3,000 คนเปลี่ยนมาใช้ Easy Pass ชีวิตคนอีก 18,000 คนจะดีขึ้นทันที ประหยัดเวลามวลรวมได้ 6,000 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 1,500,000 ชั่วโมงต่อปี

ถ้าคุณยังจำความรู้สึกที่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ซักอย่างในเดือนตุลาคมนี้ ผมคิดว่าการหันมาใช้ Easy Pass เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว


2018 – เรื่องราวของชายผู้ถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงาน

วันหนึ่งผมเจอโปรไฟล์ของคนที่น่าสนใจเลยโทร.ไปหาเพื่อเชิญให้เขามาสัมภาษณ์ เขาจะได้เงินและตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมมาก

“ขอโทษด้วยครับ แต่ผมไม่สนใจครับ” เขาปฏิเสธ

ผมถามเพิ่มว่าทำไม เขาตอบว่า

“ผมถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงานแล้วครับ” (“I already made it to the top”)

ผมดูเรซูเม่ของเขาอีกครั้ง เขาไม่ได้ตำแหน่งสูงอะไรเลย ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้จัดการด้วยซ้ำ

เขาเลยอธิบายว่า “การไปถึงจุดสูงสุด” สำหรับเขาคือการที่เขารักงานที่เขาทำในแต่ละวัน เขารักบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ทุกๆ คนปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพ เงินเดือนเขามากพอที่จะอยู่ได้อย่างสบายๆ มีสวัสดิการที่ยอดเยี่ยม มีความยืดหยุ่นในการทำงาน และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยพลาดเกมแข่งเบสบอสของลูก การแสดงที่โรงเรียน การประชุมผู้ปกครอง วันครบรอบแต่งงาน วันเกิด หรือวันสำคัญๆ ของครอบครัวเลย


2019 – ทำไมคนไทยไม่ตรงต่อเวลา

นิสัยไม่ตรงต่อเวลาเป็นเรื่องปกติของคนในประเทศเขตร้อน เท่าที่ฉันสังเกต คนฟิลิปปินส์ดูจะมีความตรงต่อเวลาน้อยกว่าคนไทยเสียอีก

หลายคนตั้งสมมติฐานว่ามันเป็นเพราะดินฟ้าอากาศ เวลาเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับคนอเมริกันและคนยุโรป ถ้าเราไม่เก็บเกี่ยวพืชผลให้ทันก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน พวกเราก็จะอดตาย ฤดูกาลทั้งสี่นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน และคอยย้ำเตือนว่าวันคืนกำลังหมุนไป และเหลือเวลาอีกเท่าใดกว่าฤดูหนาวจะกลับมาอีกครั้ง วัฒนธรรมของเราจึงให้ความสำคัญต่อการตรงต่อเวลา และมันก็ส่งผลต่อชีวิตเราในทุกแง่มุมตราบจนทุกวันนี้

แต่สำหรับเมืองไทย ฤดูกาลไม่เคยเปลี่ยน ฤดูหนาวไม่เคยมาถึง คนไทยเลยไม่เคยต้องเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับฤดูหนาว ผลไม้และข้าวปลูกได้ทั้งปี อากาศที่ร้อนอย่างสม่ำเสมอทำให้คนไทยไม่ค่อยรู้สึกถึงการผ่านไปของเวลา และรู้สึกว่าอะไรๆ ก็ยังเหมือนเดิม

ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลา เพราะพวกเขามีเวลาเหลือเฟือ ถ้าวันนี้ยังไม่ได้เกี่ยวข้าวก็ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้


2020 – ความลับของฟ้า จากธนา เธียรอัจฉริยะ

ตอนอายุ 37 ปี สมัยอยู่ DTAC พี่โจ้เคยน้ำหนักเกือบ 100 กิโล กินอาหารแบบ “อชีวจิต” ผักไม่กิน กินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์คราวละ 30-40 ชิ้น

เย็นวันหนึ่งระหว่างกินบุฟเฟ่ต์ฟัวกราส์ พี่โจ้รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติ ต้องขับรถไปโรงพยาบาล นอน CCU ไป 1 คืน

เป็นคืนที่แย่ที่สุดในชีวิต และเป็นคืนที่ดีที่สุดในชีวิตด้วย เพราะวิกฤติมาสะกิดเตือนเราเบาๆ ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว

หลังจากนั้นพี่โจ้จึงเริ่มกินผัก และเริ่มวิ่งเป็นประจำ วันแรกๆ วิ่งได้แค่ 400 เมตร ตอนนี้สามารถวิ่งได้ 10 กิโลเมตรสบายๆ พี่โจ้แคปหน้าจอแอปวิ่งให้เห็นว่า พี่โจ้วิ่งครบ 10,000 กิโลเมตรไปเรียบร้อยแล้ว

พี่โจ้รู้สึกขอบคุณที่ได้เข้า CCU ตั้งแต่ตอนอายุ 37 เพราะถ้าตอนนั้นยังไม่เปลี่ยน แล้วมาป่วยตอนอายุ 51 ปีน่าจะรอดยาก


2021 – 17 ข้อคิดจาก The Psychology of Money หนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2021

สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากเรื่องที่ไม่คาดฝัน คือโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดฝัน ไม่ใช่พยายามไปทำนายเรื่องที่ไม่คาดฝัน

ตอนปลายปี 2019 มีกูรูมากมายออกมาทำนายว่าอะไรจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2020 บ้าง

ไม่มีแม้แต่สำนักเดียวที่บอกว่าปัจจัยสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจปี 2020 คือโรคระบาด

เพราะความเสี่ยงคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่คุณคิดว่าคุณคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว

“Risk is what’s left over when you think you’ve thought of everything.”
-Carl Richards


2022 – หายใจแบบวิสกี้

Whiskey Breathing – หายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 8 (รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 10-12 วินาที)

หายใจแบบวิสกี้ จะช่วยให้เราเคลิ้มและหลับได้เร็วขึ้น เพราะมันไปกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic) ซึ่งเป็นระบบที่ทำงานในสภาวะที่ร่างกายพักผ่อน เราสามารถหายใจแบบวิสกี้สัก 10 ยกหรือจนกว่าเราจะผล็อยหลับไปเลยก็ได้


2023 – วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง

พ่อสอนพี่อ้นตั้งแต่เด็กว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ จงอย่าเป็นหนี้ใคร

พี่อ้นจึงเป็นคนไม่มีหนี้ อยากซื้ออะไรก็จะเก็บเงินก่อนเสมอ แม้กระทั่งคอนโดก็ซื้อด้วยเงินสด

พี่อ้นมีลูกสองคน ลูกชายเรียนจบแล้ว ส่วนลูกสาวกำลังเรียนอยู่ปี 4

ตอนแรกลูกชายพี่อ้นเรียนโรงเรียนอินเตอร์ แต่พอเห็นว่าลูกไม่ยอมกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง บ่นว่าร้อน คุณพ่อจึงตัดสินใจให้ไปเข้าโรงเรียนไทย ให้หัดไปต่อคิวซื้อข้าวในโรงอาหาร

“การเลือกโรงเรียนคือการเลือกไลฟ์สไตล์ให้ลูก” พี่อ้นกล่าว

พี่อ้นเป็นคนไม่ใช้ของแบรนด์เนม ลูกสาวพี่อ้นจึงไม่ติดของแบรนด์เนมเช่นกัน

“Live one level below what you can afford.” แล้วเราจะรู้สึกว่ามีเงินพอใช้ตลอด

คนไม่น้อยชอบทำตรงกันข้าม คือ Live one level above.


2024 – ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

เราทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ

เราเข้าใจดีว่า เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเรามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น

พอเราเชื่อว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อเจอเรื่องธรรมดาอย่างการพลัดพราก เราจึงทุกข์ทรมานเป็นพิเศษเช่นกัน

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราละทิ้งความเชื่อว่าเราเป็นคนพิเศษนี้ได้ และยอมรับว่าเราเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราก็จะเข้าใจและทำใจได้เร็วขึ้นเมื่อถึงวันที่เราต้องประสบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความพลัดพราก หรือความสูญเสีย

เราคือคนธรรมดา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะจักรวาลมุ่งไปในทางทิศทางนี้ เราไม่อาจต้านทานหรือฝืนมันได้เลย


อ่านบทความทั้งหมดของ Anontawong’s Musings ได้ที่ anontawong.com/archives/