แก้วมันแตกอยู่แล้ว

ผมอ่านเจอย่อหน้าหนึ่งในหนังสือ Master of Change ของ Brad Stulberg ซึ่งผมรู้สึกว่างดงามมาก จึงอยากนำมาแปลไว้ตรงนี้ครับ


There is a story of a wise Thai Forest elder named Achaan Chaa who held up his favorite glass in front of his students and said, “You see this goblet? For me this glass is already broken. I enjoy it; I drink out of it. It holds my water admirably, sometimes even reflecting the sun in beautiful patterns. If I should tap it, it has a lovely ring to it.

But when I put this glass on the shelf and the wind knocks it over or my elbow brushes it off the table and it falls to the ground and shatters, I say, ‘Of course.’

When I understand that the glass is already broken, every moment with it is precious.”

มีเรื่องเล่าของปราชญ์ผู้เฒ่าป่าชาวไทยนามอาจารย์ชา

ท่านยกแก้วใบโปรดขึ้นมาต่อหน้าลูกศิษย์แล้วกล่าวว่า

“เห็นแก้วใบนี้ไหม สำหรับเรา แก้วใบนี้มันแตกอยู่แล้ว เราเพลิดเพลินไปกับมัน เราดื่มน้ำจากแก้วใบนี้ มันเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี บางทีก็สะท้อนแสงแวววับจับตา ถ้าเราดีดแก้วเบาๆ มันก็ส่งเสียงเสนาะหู

แต่ถ้าเราวางมันไว้บนชั้น แล้วลมพัดมันตกลงมา หรือถ้าเราวางมันไว้บนโต๊ะแล้วข้อศอกของเราไปโดนจนมันตกพื้นแตกละเอียด เราย่อมพูดว่า ‘ก็แหงอยู่แล้ว’

เมื่อเราเข้าใจว่าแก้วมันแตกอยู่แล้ว ทุกชั่วขณะที่เราได้อยู่กับแก้วใบนี้ย่อมมีความหมาย”


Brad Stulberg ผู้เขียนหนังสือเรียกผู้เล่าเรื่องว่า a wise Thai Forest elder named Achaan Chaa ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ปราชญ์ผู้เฒ่าป่าที่ไหน แต่คือหลวงปู่ชา สุภทฺโท แห่งวัดหนองป่าพง ที่มี “พระอินเตอร์” จากอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ จนคำสอนของท่านได้รับการบอกเล่า (และอาจเพี้ยนไป) ในหลายภาษานั่นเอง

ผมลองกูเกิ้ลหาเรื่องแก้วแตกของหลวงปู่ชาในภาษาไทยก็เจออยู่บ้าง แต่ผมยังชอบเวอร์ชั่นนี้มากที่สุดอยู่ดี

การเข้าใจว่า the glass is already broken มันเตือนให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี ไม่เห็นอะไรเป็นของตาย (to not take things for granted) และไม่เสียใจในวันที่เราจะต้องเสียแก้วไปซึ่งย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เมื่ออยู่กับคนที่เรารัก ขอให้ตระหนักว่าแก้วมันแตกอยู่แล้วครับ

สิ่งที่อยากบอกหลังเขียนบล็อกครบ 3,000 ตอน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2566 ผมเขียนบทความลง Anontawong’s Musings ครบ 3,000 บทความ หลังจากเริ่มเขียนบล็อกแบบจริงจังมาเกือบ 9 ปี

เลยอยากจะบันทึกความรู้สึกไว้ตรงนี้ เช่นเดียวกับตอนที่เขียนครบ 1,000 บทความ (7 ตุลาคม 2017) และ 2,000 บทความ (18 สิงหาคม 2020) ครับ

.

1.นี่คือการเล่นเกมยาว

แต่ก่อน ผมจะเขียนบทความลงบล็อกที่เป็นเว็บไซต์คือ anontawong.com แล้วค่อยแชร์ลิงค์จากบล็อกมาลงในเฟซบุ๊คเพจ Anontawong’s Musings ซึ่งหมายความว่าผู้ติดตามเพจต้องคลิกไปที่ลิงค์เพื่อเข้าไปอ่านในบล็อก ไม่ได้อ่านจากโพสต์ในเฟซบุ๊ค

เหตุผลที่ผมทำอย่างนั้นเพราะว่าอยากจะสร้างทราฟฟิคไปที่บล็อกของตัวเอง ซึ่งวิธีการแบบนี้จะทำให้ Facebook page followers ไม่โตเท่ากับการเขียนบทความลงในเพจตรงๆ

แต่พอคิดได้ว่านี่คือการเล่นเกมยาว ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งสร้างทราฟฟิคไปที่บล็อก สิ่งที่สำคัญกว่าคือให้คนอ่านเข้าถึงบทความของเราได้โดยง่าย ผมจึงเขียนบทความลงทั้งในบล็อกและในเพจ ซึ่งทำให้เพจโตเร็วขึ้น ผมสร้างเพจนี้มา 9 ปี มีคนติดตาม 8 หมื่นคน กว่าจะได้ 4 หมื่นคนแรกต้องใช้เวลา 7 ปี แต่ 4 หมื่นคนหลังใช้เวลาแค่ 2 ปี

ผมตั้งใจจะเขียนบล็อกไปอีก 20-30 ปี จึงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน และไม่ควรกลัวที่จะทดลอง เพราะถ้าลองสัก 6 เดือนหรือ 1 ปีแล้วไม่เวิร์คก็แค่เปลี่ยนไปลองวิธีอื่นเท่านั้นเอง

.

2.นิทานที่หายไป

สิ่งหนึ่งที่หายไปในปีที่ผ่านมา คือนิทานวันศุกร์ เพราะผมเริ่มรู้สึกว่านิทานที่ดีและเหมาะกับบล็อกนี้หายากขึ้นทุกที ใช้เวลาเฟ้นหานิทานนานกว่าการเขียนบทความเองเสียอีก พักหลังก็เลยหยุดนิทานวันศุกร์ไป แต่สัญญาว่าถ้าเจอนิทานดีๆ อีกจะนำมาลงในบล็อกนี้อย่างแน่นอน

.

3.ไม่ต้องออกบทความทุกวันก็ได้

เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว ผมขอเข้าพบอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่ง เรานั่งคุยกันหลายชั่วโมงจนถึงสี่ทุ่ม ตอนที่ผมลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์ให้คำแนะนำว่า ผมไม่จำเป็นต้องปล่อยบทความใหม่ทุกวันก็ได้ รอให้ได้บทความที่เรามั่นใจว่าทีเด็ดก่อนแล้วค่อยปล่อย

ผมยังจำคำแนะนำนั้นได้จนถึงตอนนี้ แต่ระหว่างทางผมก็ยังเขียนบทความเกือบทุกวันอยู่ดี

หนึ่ง เพราะรู้สึกว่าถ้าหยุดปล่อยบทความ ก็อาจจะหยุดเขียนและอาจสูญเสียสิ่งที่เคยสั่งสมมา

สอง ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าบทความไหนจะมีคนชอบเยอะหรือน้อย บางบทความเรามั่นใจมาก ตั้งใจมากแต่ก็แป๊ก บางบทความเราไม่ได้ลงแรงเท่าไหร่ ไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษอะไรแต่กลับมีคนชอบเยอะ

ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานี้เองที่ผมเริ่มปล่อยวางความรู้สึกว่าต้องออกบทความทุกวันได้ หนึ่งเพราะรู้สึกว่าการต้องปล่อยบทความทุกวันมันตึงกับชีวิตเกินไปหน่อย สองคือผมรู้สึกว่าการเขียนบล็อกอย่างสม่ำเสมอมาเกือบ 9 ปีควรจะมอบความมั่นใจให้ตัวเองได้แล้วว่าความเป็นบล็อกเกอร์ของเราคงไม่หายไปไหนแม้ว่าจะไม่ได้เขียนในบางวัน และสามคือผมอยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นจำนวนบทความจึงลดจากเดือนละประมาณ 30 ตอน เหลือเดือนละประมาณ 15-20 ตอน

.

4.เขียนโดยไม่ต้องฝืน

Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือ The Psychology of Money บอกว่าเวลาที่เราบ่นว่าเรามี writer’s block นั้น จริงๆ เป็นเพราะว่า main idea ของเราไม่ได้เรื่องต่างหาก

ถ้าตัวไอเดียหลักของเราดีพอ การเขียนบทความจะไม่ยาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกดดันตัวเองให้ต้องสร้างงานออกมา เขาจะรอให้มีไอเดียก่อนแล้วค่อยเขียน และถ้ารู้สึกว่าเขียนไม่ออก ก็จะปิดคอมแล้วไปหาอย่างอื่นทำ

ผมเห็นด้วยว่าเวลาเราเขียนบทความสักบทหนึ่ง เราเขียนเสร็จไปอย่างน้อย 60%-70% ตั้งแต่ในหัวแล้ว ที่เหลืออีก 30%-40% ค่อยมาจัดการตอนอยู่หน้าคอม ถ้ามานั่งหน้าจอคอมแล้วค่อยคิดว่าจะเขียนอะไร คงไม่ได้บทความที่ดีเท่าไหร่นัก

จากนี้ไปผมอาจจะเขียนบทความน้อยลง แต่น่าจะมีความสุขกับการเขียนมากขึ้นเพราะไม่ต้องคาดคั้นกับตัวเอง

.

5.ทางหนีทีไล่ในวันที่เฟซบุ๊คไม่อยู่

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว (ตอนที่ผมเขียนบทความครบ 2,000 ตอน) Facebook ยังยิ่งใหญ่และดูไม่น่าจะมีใครโค่นลงได้ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาม้ามืดอย่าง TikTok ก็ทำให้อาณาจักรของเฟซบุ๊คต้องสั่นคลอน

แม้ยุคทองของเฟซบุ๊คน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ช่องทางการปล่อยบทความของผมและบล็อกเกอร์อีกหลายๆ คนยังพึ่งเฟซบุ๊คเป็นช่องทางหลัก ถึงวันหนึ่งถ้าเฟซบุ๊คไม่อยู่ เหล่าครีเอเตอร์คงลำบากเหมือนกัน

แพลตฟอร์มหนึ่งที่คิดว่าน่าจะยังไม่จากไปไหนง่ายๆ คือ WordPress ซึ่งเป็นหลังบ้านของเว็บไซต์ประมาณ 800 ล้านเว็บรวมถึงบล็อกของผมด้วย ดังนั้นถ้าใครอยากจะเพิ่มอีกหนึ่งช่องทางในการติดตามบล็อกนี้ ก็สามารถเข้าไปที่ anontawong.com แล้วกรอกอีเมลได้เลย (ตอนนี้มี 1,896 subscribers) ส่วนใครที่สนใจช่องทางอื่นเช่น Blockdit/Instagram/LINE/Twitter ก็เข้าไปกดติดตามได้ทาง linktr.ee/anontawong ครับ

.

6.หาที่ทางของเราให้เจอ

มีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อแดง เคยมาเข้า Writing Workshop กับผม และเปิดเพจ Daisyinspire ตอนปลายปี 2017 เพื่อเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องดีงามในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ

แม้ช่วง 2 ปีแรกยังไม่มีคนติดตามมากนัก แต่แดงก็ไม่หยุดเขียนและผลิตบทความออกมามากกว่า 300 บทความ

จุดเปลี่ยนก็คือตอนที่แดงเริ่มทำคอนเทนท์เกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพตามแนวทางแพทย์แผนไทย และเริ่มทำวีดีโอลง YouTube จนมีผู้ติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบันช่อง “Healthy Daisy สุขภาพดีไปด้วยกัน” ของหมอแดงมีคนติดตาม 227,000 คน มีวีดีโอเกือบ 400 คลิป มียอดวิวรวมแล้วเกิน 10 ล้านวิว

Creator นั้นมีได้หลายแบบ ตอนแรกเราอาจไม่รู้ว่าเราเหมาะกับหัวข้อแบบใดและควรใช้ช่องทางไหน แต่ถ้าเราไม่หยุดทดลองและไม่ล้มเลิกที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ การเดินทางครั้งนี้อาจพาเราไปในที่ที่คาดไม่ถึง

.

7.แรงขับเคลื่อนของกันและกัน

บล็อก Anontawong’s Musings จะเกิดขึ้นและยืนหยัดมาถึง 9 ปีไม่ได้เลยหากไม่มีเพื่อนร่วมทาง

ทั้งคนที่เป็นฮีโร่ของผมอย่างพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ที่ผมติดตามตั้งแต่มติชนวันอาทิตย์หน้า 14 อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุลที่ผมน่าจะได้อ่านหนังสือของเขาครบทุกเล่ม พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมาที่มีความเข้มข้นในคำพูดและตัวอักษรอย่างไม่มีใครเหมือน รวมถึงพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่ผมอ่านหนังสือโตเกียวไม่มีขาจบระหว่างนั่งเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อปี 2011

พี่บอย วิสูตร กับ พี่แท็ป รวิศ ที่เขียนหนังสือมองไกลบนไหล่ยักษ์ และ คิดจะไปดวงจันทร์อย่าหยุดแค่ปากซอย ที่จุดประกายให้ผมเริ่มเขียนบล็อกอย่างจริงจังในวันขึ้นปีใหม่ปี 2015

เอ็ม Khajochi บล็อกเกอร์รุ่นแรกๆ ที่เคยมาเปิดคอร์สสอนทำบล็อกให้ผมและเพื่อนๆ สมัยทำงานอยู่รอยเตอร์ พี่ปิ๊ก Trick of the Trade ที่ให้โอกาสผมได้พิมพ์หนังสือเล่มแรก คุณบิว วิศวกรรีพอร์ต ที่ทำ content เรื่อง Excel ได้สนุกสนานและมีประโยชน์มาก

คุณวิศ วิเคราะห์บอลจริงจัง ที่เขียนหนังสือเหมือนซีดานเตะบอล อาจารย์นภดล Nopadol’s Story ที่เป็นแบบอย่างของความมีวินัยและการแบ่งปัน พี่โจ้ แห่งเพจเขียนไว้ให้เธอที่มีเรื่องเล่ามากมายจากหลากหลายวงการ

มีอีกหลายท่านที่คงไม่อาจกล่าวถึงได้หมด แต่ถ้าคุณเป็นคนสร้างคอนเทนท์ด้วยตัวหนังสือและผมเคยได้อ่านงานของคุณ ขอให้รู้ว่าผมรู้สึกขอบคุณคุณอยู่นะครับ

มีอีกสองกลุ่มที่ลืมไม่ได้ หนึ่งคือภรรยาและลูกๆ ที่เป็นกำลังใจและสารตั้งต้นของหลายบทความที่ผมรักมากที่สุด สองคือคุณผู้อ่านที่ติดตามและช่วยเผยแพร่บทความ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตอบคอมเมนท์แต่ผมอ่านทุกเมนท์ครับ

อย่างที่บอกตอนต้นว่านี่คือเกมยาว ขอบคุณที่ร่วมเดินทางกันมาถึงตอนที่ 3,000 และหวังว่าจะร่วมเดินทางด้วยกันจนถึงตอนที่ 4,000 นะครับ

ปันผลความทรงจำ

เช้านี้ Facebook ขึ้นเตือน On this day เมื่อ 9 ปีที่แล้ว เป็นรูปที่ผมกับภรรยาไปฮันนีมูนด้วยกันที่นิวซีแลนด์ เราสวมชุดลายพรางเพื่อไปดูเพนกวินในถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน นึกย้อนกลับไปทีไรก็มีเรื่องให้คุยทุกครั้ง

หนึ่งในคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจจากหนังสือ Die with Zero คือ memory dividends หรือ “ปันผลความทรงจำ”

เวลาเราลงทุนในหุ้น เรามักจะได้เงินปันผลกลับมาทุกปี

ฉันใดฉันนั้น เวลาเราลงทุนในประสบการณ์ เราจะได้ปันผลในรูปแบบของความทรงจำที่หวนกลับไปทีไรก็รู้สึกดี

และเช่นเดียวกับการลงทุนด้านการเงิน ยิ่งเราลงทุนในความทรงจำไว้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เรายิ่งได้รับปันผลมากขึ้นเพราะเรายังมีชีวิตอยู่อีกยาวนาน

และการสร้างประสบการณ์และความทรงจำก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายเสมอไป แค่อาจต้องออกแรงและทำการบ้านสักหน่อยเท่านั้นเอง

“Yes you need money to survive in retirement, but the main thing you’ll be retiring on will be your memories.”
-Bill Perkins

เรากำลังจะหยุดยาวช่วงสุดสัปดาห์นี้ อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะลงทุนในประสบการณ์ เก็บภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งจะกลายมาเป็นปันผลความทรงจำให้เราอีกนับครั้งไม่ถ้วนครับ

ช้าแต่ไม่เฉื่อย เร็วแต่ไม่รีบ

ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมครุ่นคิดเรื่องนี้เป็นพิเศษ

ว่าเราสามารถเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็วโดยไม่เร่งรีบได้มั้ย

เร็วกับรีบต่างกันยังไง?

ผมคิดว่าเร็วเป็นอากัปกิริยาภายนอก ส่วนรีบมันคือสภาวะภายใน

หากเราสามารถเป็นคนที่เร็วแต่ไม่รีบได้ เราก็จะเป็นคนใจเย็นที่ทำงานเร็วเหมือนที่คุณพศิน อินทรวงค์เคยกล่าวไว้

ในทางกลับกัน เราสามารถเป็นคนที่ช้าแต่ไม่เฉื่อยได้มั้ย?

สำหรับคนหัดวิ่งใหม่ๆ เรามักจะได้ยินคำสอนว่า ให้เราวิ่งช้าๆ ไปก่อน พอเราวิ่งช้าได้มากพอมันจะเร็วขึ้นเอง – go slow to go fast

ในโลกที่หมุนเร็ว ความช้ามีคุณค่าและที่ทางของมันอยู่ มันช่วยให้เราทำอะไรด้วยการมีสติ ไม่หุนหันมีปฏิกิริยา (react) กับสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นภายนอก ไม่ใจร้อนอยากถึงเป้าหมายโดยไว

ส่วนความเฉื่อยนั้นคือสภาวะภายใน เป็นความรู้สึกหนืดๆ ติดๆ ขัดๆ ทำอะไรได้ไม่ค่อยสะดวกทั้งกายและใจ

ถ้าเราเป็นคนที่ช้าแต่ไม่เฉื่อย เราน่าจะทำสิ่งสำคัญสำเร็จได้โดยไม่ต้องทิ้งความรอบคอบ

หากเราสามารถเร็วแต่ไม่รีบและช้าแต่ไม่เฉื่อยได้จนเป็นปกติ ผมเชื่อว่าสุดท้ายช้ากับเร็วจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยให้เราลื่นไหลไปกับชีวิตที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทได้เป็นอย่างดีครับ

กาแฟ เงินล้าน และการเก็บออมประสบการณ์

เมื่อสัก 4-5 ปีที่แล้ว มีประเด็นดราม่าที่มีคนออกมาคำนวณให้ดูว่า ถ้าไม่กินกาแฟแก้วละ 120 บาทเป็นเวลา 40 ปี จะเก็บเงินได้เป็นล้าน ซึ่งเรื่องนี้ก็มีกระแสตีกลับว่าทำไมเขาจะมีความสุขกับกาแฟของตัวเองไม่ได้

เผอิญวันนี้ได้ยินเรื่องราวที่คล้ายกันจาก audiobook ชื่อ Die With Zero ของ Bill Perkins ผมคิดว่าน่าสนใจเลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

หนังสือ Die With Zero ต้องการจะสื่อว่าเราไม่ควรเก็บเงินเพื่อการเกษียณมากจนเกินไป แต่ควรออกแบบการเงินและการใช้ชีวิตของเราเพื่อให้เราได้สะสมประสบการณ์และมีความทรงจำดีๆ ให้คิดถึงในวัยชรา

“The business of life is the acquisition of memories. In the end that’s all there is.”
-Carson of Downton Abbey.

แน่นอนว่าเราก็ต้องวางแผนการเงินให้ดีจะได้ไม่ลำบากตอนแก่ แต่ถ้าเราเอาแต่เก็บเงินและไม่ใช้ช่วงเวลาวัยหนุ่มสาวให้คุ้มค่า พอถึงวัยเกษียณเราอาจมีเพียงเงินแต่ไม่มีแรงแล้วก็ได้

จุดประสงค์ของหนังสือ Die With Zero ก็คือช่วยเราหาทางสายกลางระหว่างการ “เก็บออมเงิน” และ “เก็บออมประสบการณ์” นั่นเอง

ผู้เขียนบอกว่า ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าคุณจะซื้อกาแฟแก้วละ 120 บาทกินทุกวัน แต่เขาก็อยากชี้ให้เห็นว่า ถ้าเรางดกินกาแฟราคาแพงเป็นเวลาหนึ่งเดือน (ไม่ต้องรอถึง 40 ปี) เราจะมีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเมืองไหนก็ได้ในประเทศนี้ (ผู้เขียนยกตัวอย่างอเมริกา แต่ผมลองเช็คตั๋วบินไป-กลับเชียงใหม่หรือภูเก็ตแล้วก็ตกประมาณ 3,000 บาท)

ถ้าเราเป็นคนชอบเที่ยวและชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์ บางทีมันก็อาจจะคุ้มค่าก็ได้ที่เราจะลดค่ากาแฟลงเพื่อจะได้มีเงินไปเที่ยวมากขึ้น

แต่ถ้าเราไม่ใช่คนชอบเที่ยว และรู้จักตัวเองดีว่าการได้กินกาแฟแก้วโปรดทุกวันนั้นสำคัญกับเรากว่าการเดินทางเป็นไหนๆ ก็จงกินกาแฟของเราไป ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

ผมชอบประเด็นนี้ตรงที่มันเตือนให้เราเห็น “ค่าเสียโอกาส” ชัดเจนขึ้น ไม่มีโอกาสไหนสูงค่ากว่าโอกาสไหน เพียงแต่ขอให้เราคำนึงถึงมันให้ครบด้าน จะได้ไม่ใช้ชีวิตแบบ auto pilot จนพลาดประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับเราครับ