ก็เหมือนกับคนที่ชอบเรียนรู้และอยากจะ productive คนอื่นๆ ผมได้ทดลองใช้บริการ Book Summaries สำหรับหนังสือ non-fiction มาแล้วหลายเจ้า
Blinkist, 12min, getAbstract, Shortform ล้วนเคยมีผมเป็นสมาชิก
getAbstract ราคาแพงสุด ราคาปีละหมื่นกว่าบาท ลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะเป็น Corporate แต่สรุปได้แห้งๆ เป็นวิชาการมาก
Blinkist น่าจะมีฐานลูกค้าใหญ่สุด ประมาณ 18 ล้านคน ราคาค่อนข้างย่อมเยา
12min มีความคล้ายกับ Blinkist ทั้งในแง่ราคาและกลุ่มเป้าหมาย แต่สรุปหนังสือจะมีความยาวมากกว่า Blinkist นิดหน่อย
ส่วน Shortform นั้นมีสรุปที่ยาวที่สุด บางเล่มสรุปยาว 40 หน้ากระดาษ A4 แต่ก็มีประโยชน์ที่สุดเช่นกัน ข้อเสียคือมีหนังสือน้อยเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น และราคาก็ค่อนข้างสูง พอๆ กับ getAbstract
ตอนนี้ผมเป็นสมาชิกของ getAbstract เจ้าเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้ใช้งานมาหลายเดือนแล้ว สมาชิกจะหมดอายุต้นเดือนธันวาคมและผมจะไม่ต่อสัญญาแน่นอน
มี 3 เหตุผลหลักที่ผมเลิกใช้บริการ Book Summaries
1. คนที่สรุปให้นั้นมักไม่ค่อยมีกึ๋น
ถ้าไม่นับ Shortform ผมว่าสรุปของเจ้าอื่นๆ นั้นอ่านแล้วไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่
Blinkist และ 12min มีสรุปหนังสือให้อ่านหลายพันเล่ม แต่การจะมีสรุปเยอะขนาดนั้นโดยที่ยังควบคุมค่าใช้จ่ายได้นั้น เขาย่อมต้องจ้างคนสรุปในราคาที่ไม่แพง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น freelancer หรือเด็กมหาวิทยาลัยที่หาลำไพ่พิเศษ
เมื่อคนสรุปเก๋าไม่พอ จึงทำให้เนื้อหาหนังสือดีๆ นั้นเจือจางไปมากพอสมควร หนังสือบางเล่มผมอ่านเล่มจริงแล้วดีมาก แต่พอมาฟังสรุปแล้วกลับรู้สึกว่าเขาจับประเด็นผิด ไปพูดในประเด็นที่ไม่ควรพูด ส่วนประเด็นที่ควรจะพูดถึงก็ขาดหายไป (แน่นอนว่านี่เป็นมุมมองของผมเพียงคนเดียว)
.
2. Book Summaries เป็น Efficiency Trap
โฆษณาของบริการอย่าง Blinkist จะบอกว่า หนังสือหนึ่งเล่มใช้เวลาอ่านหลายวัน แต่ถ้า “อ่าน” ผ่าน Blinkist จะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที
เราซื้อบริการเหล่านี้ ด้วยความหวังที่ว่าจะสามารถเก็บเกี่ยว insights จากหนังสือเหล่านี้ได้เกือบเท่าเดิม แต่ใช้เวลาน้อยกว่าเดิม 90-95%
เรามองหาวิธีที่เร็วที่สุด เพื่อจะได้ความรู้ที่ย่อยมาแล้วอย่างง่ายดายที่สุด
มันคือวิธีคิดแบบยุคโรงงานอุตสาหกรรมและสายพานการผลิต ที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อเพิ่ม efficiency และ productivity
แต่เรื่องของความรู้เราไม่ได้ต้องการ efficiency เราต้องการ effectiveness คือความมีประโยชน์และนำไปใช้งานได้จริง
ฟัง Book Summaries 100 เล่ม อาจได้อะไรน้อยกว่าการอ่านหนังสือชั้นยอด 1 เล่มก็ได้ เพราะปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ
นี่ยังไม่นับว่าแต่ละคนก็มี “กองดอง” ที่รอเราอยู่เป็นสิบเป็นร้อยเล่ม การเอาเวลาไปฟัง book summaries รังแต่จะทำให้กองดองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
3. Book Summaries ไม่สร้างความเปลี่ยนแปลง
หนังสือชั้นดีอย่าง The Psychology of Money ที่เขียนโดย Morgan Housel นั้น เนื้อหาที่เขาต้องการจะสื่อเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
ใช้เงินให้ได้น้อยกว่าที่หามา เอาเงินเก็บไปลงทุนบ้าง และอย่าเสี่ยงอะไรที่เกินตัว
เนื้อหาเหล่านี้เป็น common sense แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็นหนังสือในดวงใจของใครหลายคนเกิดจากวิธีการเล่าเรื่องของ Morgan Housel ที่ยกตัวอย่าง เรื่องราว และมุมมองที่สดใหม่แบบที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน
Book Summaries อาจจะทำให้เรา “ได้ความรู้” ก็จริง แต่ความรู้แบบนั้นเป็นความรู้แบบฉาบฉวยที่ผ่านการ simplified มากเสียจนสมองและจิตใจเราไม่อาจซึมซับไว้ได้ มันจึงไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร
จะอ่านหนังสือ Non-fiction มากๆ ไปทำไมถ้าไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น?
การยอมอ่านหนังสือยาวๆ และให้ผู้เขียนพูดประเด็นเดิมซ้ำหลายรอบด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน จะช่วยให้เราจดจำสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
และความประทับใจที่ได้ก็อาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงมุมมองและพฤติกรรมบางอย่างจนทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแท้จริงครับ