เราปล่อยให้บ้านรก เพราะการอยู่กับบ้านรกๆ มันง่ายกว่าการลุกขึ้นมาจัดบ้าน
เราทนทำงานอยู่ดึกๆ เพราะการอยู่ดึกนั้นง่ายกว่าการหาวิธีทำงานที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ รวมถึงง่ายกว่าการต้องเผชิญสายตาของคนอื่นๆ ในออฟฟิศที่เห็นเรากลับบ้านเร็วกว่าเขา
เรานั่งทำสไลด์หลายร้อยหน้าโดยไม่วางแผนก่อนว่าอะไรคือ key message ของเรา เพราะการนั่งทำสไลด์เป็นร้อยหน้ามันง่ายกว่าการคิดให้หัวแตกว่าอะไรคือ key message
เราไม่กล้าปฏิเสธเวลาเจ้านายเอางานที่ไม่เมคเซ้นส์มาให้ เพราะการ say yes มันง่ายกว่าการถามเจ้านายว่าทำไมต้องทำงานชิ้นนี้
เราทนอยู่กับลูกน้องที่ไม่ได้เรื่อง เพราะการปล่อยให้ลูกน้องเป็นอย่างนั้นง่ายกว่าการคุยกับเขาเพื่อหาทางเปลี่ยนแปลงหรือเชิญให้เขาไปหางานใหม่
เราตอบโต้คนที่มายั่วโมโห เพราะการตอบโต้ง่ายกว่าการสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเลือกที่จะไม่ตอบโต้
เราส่งไลน์หาเพื่อนๆ และคนในครอบครัว เพราะเราใช้ไลน์บ่อยเสียจนเรารู้สึกว่าการส่งไลน์ง่ายกว่าการยกหูโทร.คุยกัน
เรานอนไถมือถือจนดึกดื่น เพราะมันง่ายกว่าการลุกขึ้นไปอาบน้ำ
เราใช้ชีวิตแบบส่งส่ง เพราะมันง่ายกว่าการใช้ชีวิตอย่างมีเจตนา
เป็นเวลาเกือบสองแสนปีที่มนุษย์ Homo Sapiens หาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผล วันนี้มีกิน พรุ่งนี้อาจจะไม่มีกินก็ได้ สมองและร่างกายของคนเราจึงถูกออกแบบให้ “ประหยัดพลังงาน” ไปโดยปริยาย
เราจึงมองหา the path of least resistance หรือเส้นทางที่สะดวกได้สบายดีที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร
แต่การที่เรามักเลือกทางที่ง่ายนี่แหละที่เป็นตัวปัญหา
เพราะมันง่ายแค่ตอนที่เราเลือกเท่านั้น แต่ผลที่ตามมามันทำให้ชีวิตโดยรวมเรายากขึ้น
เลือกทางที่ยากดีกว่ามั้ย อาจต้องใช้พลังใจและพลังกายมากกว่า แต่เราอยู่ในยุคที่หาอาหารมาเติมพลังงานให้กับร่างกายได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องซับซ้อนและวุ่นวายเพราะเอาแต่เลือกทางที่ง่ายอยู่เลย
—–
บทความวันละตอนจาก Anontawong’s Musings:
blockdit: Anontawong’s Musings
LINE: bit.ly/tgimline
Facebook: bit.ly/tgimfb
Twitter: bit.ly/tgimtwt