Pic & Pause: ภาพที่เขย่าขวัญที่สุด

20170512_horrific

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทานมาเล่า จึงขอนำภาพที่ผมเจอใน Quora เมื่อมีคนตั้งคำถามว่า What is the most horrific picture you have ever seen? – ภาพที่น่ากลัวที่สุดที่คุณเคยเห็นคือภาพอะไร

หนึ่งในคำตอบคือภาพนี้ครับ

the-quality-of-mercy-is-not-strained_orig

ภาพนี้ได้ชื่อว่า The Kiss of Judas หรือ รอยจูบของยูดาส

ยูดาส คือหนึ่งใน 12 อัครสาวกของพระเยซู แต่เป็นคนที่ทรยศหักหลังพระเยซู จนทำให้พระเยซูโดนตรึงกางเขน ทำให้คำว่า Judas มีความหมายเดียวกับคำว่า “คนทรยศ” มานับแต่นั้น

ภาพที่คุณเห็นอยู่นี้เกิดขึ้นที่สเปน เป็นภาพของ “การสู้วัวกระทิง” ซึ่งเป็น “กีฬา” ของชาวสเปนที่มีมาช้านาน

ข้อมูลการสู้วัวจากเว็บคุณ Jiratchaya Sunantarod

อันที่จริงแล้ว คำว่า “การสู้วัว” นั้นเป็นการเรียกชื่อที่ผิดข้อเท็จจริงอย่างมาก เพราะมันเป็นการต่อสู้แข่งขันที่มีศักดิ์ศรีความสมน้ำสมเนื้อกันน้อยมากระหว่างมาธาดอร์ (ภาษาสเปน หมายถึง นักฆ่า) ผู้กวัดแกว่งดาบอย่างคล่องแคล่วว่องไวกับวัวที่มึนงง ว้าวุ่น ถูกทำร้ายจนพิการ ถูกข่มขู่ทรมานจนเสียขวัญ และถูกทอนกำลังจนอ่อนล้าเจียนสิ้นแรงล้มลงผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดของเกมสู้วัวก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวและผู้จัดรายการสู้วัวต่างโหมประโคมว่าการสู้วัวนั้นเป็นการต่อสู้ที่สนุกสนานและยุติธรรม แต่สิ่งที่เขาไม่เอ่ยถึงก็คือวัวนั้นไม่เคยมีโอกาสป้องกันตัวเองและยิ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะรอดชีวิตไปได้ วัวจะถูกทอนกำลังให้อ่อนล้าก่อนอย่างจงใจด้วยวิธีการหลายแบบ เช่นปล่อยกระสอบทรายหล่นทุบลงบนหลังของมัน ส่วนการใช้ยานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดามากจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Salamanca ของสเปน พบว่า วัวสำหรับใช้ในการสู้วัวจำนวน 20 เปอร์เซนต์ถูกวางยาก่อนที่จะถูกปล่อยลงสนาม ในการสุ่มตัวอย่างวัว 200 ตัว พบว่าหนึ่งในห้าของจำนวนนี้มีการทายาแก้อักเสบเพื่อช่วยปกปิดบาดแผลต่าง ๆ ที่เกิดจากการทอนกำลังของมันก่อนหน้านี้ อีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันโดยปกติคือการ “เล็ม” เขาของวัวโดยการเลื่อยปลายเขาของมันออก 2-3 นิ้ว เขาของวัวก็เช่นเดียวกับหนวดของแมว มันใช้เป็นเครื่องนำทาง การถูกเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจะทำให้การทำงานของมันเสียศูนย์ไป

ภาพนี้คือภาพของวัวที่ถูกส่งลงสนามเพื่อถูกฆ่า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนดูและความสิ้นหวัง มันเหลือบไปเห็นใบหน้าใบเดียวที่มันรู้จัก นั่นคือใบหน้าของเจ้าของที่เคยเลี้ยงดูมันมา มันจึงวิ่งไปหาเจ้าของที่อาจจะเป็นคนสุดท้ายที่จะช่วยมันได้ แต่สิ่งเดียวที่มันได้รับคือรอยจูบอำลานี้ก่อนที่มันจะถูกปล่อยให้กลับไปเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

พอเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไมภาพนี้ถึงได้ชื่อว่า Kiss of Judas – จูบของคนทรยศ

ผมใช้เวลาอยู่นานมากในการหาแหล่งที่มาของข่าวนี้แต่ก็หาไม่เจอ จึงมีความเป็นไปได้ว่าข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนและดราม่าเกินจริง ผู้ชายที่อยู่ในรูปอาจจะไม่ใช่คนที่เลี้ยงวัวตัวนี้มาก็ได้

ถึงอย่างไรก็ตาม กีฬาสู้วัวกระทิงก็ยังคงมีอยู่จริง วัวกระทิงนับร้อยนับพันกำลังถูกฆ่าเพื่อความบันเทิงทุกปี และยังไม่มีทีท่าว่าการละเล่นนี้จะจบลงแต่อย่างใด

ถึงจะจูบหรือไม่จูบ แต่คนที่เลี้ยงวัวเพื่อขายมันเข้าสู่อารีน่าก็อาจจะได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศอยู่ดีรึเปล่า? และพวกเขาต่างอะไรกับคนที่เลี้ยงวัวเพื่อขายมันเป็นอาหารให้พวกเรากินมั้ย?

สุดท้ายแล้วใครคือยูดาส? น่าคิดนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Quora: Gaurav Yadav’s answer to What is the most horrific picture you have ever seen 

ต้นทางของเรื่องที่เป็นภาษาอังกฤษ (25 Aug 2015) Some Dogs are Angels: The qualilty of mercy is not strained

ต้นทางของเรื่องนี้ที่เป็นภาษาเยอรมัน (23 Aug 2015) (กด See Translation ได้) Luigi V Temporin’s Facebook photo 

ขอบคุณข้อมูลการสู้วัวกระทิงจากเว็บคุณ Jiratchaya Sunantarod

การตัดสินใจจะถูกหรือผิด

20170510_right_decision

อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกข้อไหนมากเท่ากับว่าเราเลือกทำอะไรหลังจากตัดสินใจไปแล้ว

ใครที่ตามอ่านบล็อกนี้มาเรื่อยๆ อาจจะพอรู้ว่าตอนนี้ผมมาทำงานอยู่ที่ Wongnai แล้ว

คนส่วนใหญ่จะรู้จัก Wongnai ในฐานะแอพค้นหาร้านอาหาร แต่ “ยอด” ซึ่งเป็น CEO ของ Wongnai เพิ่งประกาศไปเมื่อเดือนที่แล้วว่าเราต้องการจะเป็น lifestyle platform ที่ช่วยเชื่อมต่อคุณเข้ากับสิ่งดีๆ และทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

นี่คือเหตุผลที่ Wongnai จับมือกับ LINE MAN เพื่อทำธุรกิจ food delivery, จับมือกับ Alipay เพื่อจับตลาด mobile payment ของนักท่องเที่ยวชาวจีนในเมืองไทย และเปิดตัว Wongnai Cooking เพื่อสร้าง community ของคนที่รักการทำอาหาร

การตัดสินใจแต่ละเรื่องล้วนมีความเสี่ยงและต้องลงแรงมากพอสมควร คำถามคือยอดรู้ได้ยังไงว่า Wongnai ตัดสินใจถูกต้องที่จะลงมาทำธุรกิจเหล่านี้

คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ แน่นอนว่าเราต้องศึกษาตลาดและทำการบ้านมาระดับหนึ่ง แต่เราไม่รู้หรอกว่าผิดหรือถูกจนกว่าจะได้ลองลงมือทำ

ระบบการศึกษาทำให้เราเติบโตมากับข้อสอบปรนัยที่มักจะมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว

แต่ในชีวิตจริง คำตอบจะผิดหรือจะถูก อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวคำตอบมากเท่าคนทำข้อสอบ

ถ้าคนทำข้อสอบชีวิตเก่ง ไม่ว่าจะเลือกข้อ ก. ข้อ ข. ข้อ ค. หรือ ข้อ ง. ก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่เข้าท่าทั้งนั้น

ส่วนคนที่ไม่เก่ง ไม่พยายาม ไม่ขวนขวาย ไม่ว่าจะเลือกข้อไหนก็อาจจะล้มเหลวอยู่ดีก็ได้

ดังนั้น หากวันหนึ่งต้องเจอกับหลายทางเลือก ก็ไม่จำเป็นต้องเครียดมากนักกับการเลือก “ข้อที่ถูกที่สุด”

อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เราจึงไม่มีทางมีข้อมูลได้ครบถ้วนอยู่แล้ว เท่าที่ผมสังเกต คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจจึงมักตัดสินใจหลังจากที่เขามีข้อมูลเพียง 60-70% จากนั้นก็หาทาง make it work

คนที่ประสบความสำเร็จจึงอาจจะไม่ได้มีข้อมูลมากกว่าคนอื่น หรือปราดเปรื่องกว่าคนอื่น หรือ “เลือกข้อที่ถูกต้อง” ได้เก่งกว่าคนอื่น เพียงแต่เขากล้าตัดสินใจ แล้วก็ลุย แล้วก็เรียนรู้แก้ไขไปเรื่อยๆ จนทำให้การตัดสินใจนั้นถูกต้องไปโดยปริยาย

การตัดสินใจจะถูกหรือผิดจึงอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกข้อไหน

แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรหลังจากตัดสินใจไปแล้วมากกว่า


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

ปัญญา 3 ระดับ

20170510_threestages

วันนี้วันพระ เรามาคุยเรื่องธรรมะกันบ้างนะครับ

หนึ่งในประสบการณ์ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผมคือการได้มีโอกาสไปอบรมหลักสูตรวิปัสสนา 10 วันของอาจารย์โกเอ็นก้าเมื่อปี 2552 และ 2554

เป็นการอบรมที่หฤโหดเอาการ เพราะต้องฝึกวันละร่วม 10 ชั่วโมง ช่วงสองสามวันแรกนี่ผมคิดอยู่ตลอดเลยว่าจะไหวไหมๆ

ยังดีที่มีสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจคือ “ธรรมบรรยาย” ทุกค่ำก่อนเข้านอน ที่อาจารย์โกเอ็นก้าจะมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังเพื่อให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไปในวันที่ผ่านมา

วันนี้จึงอยากยกธรรมบรรยายที่ว่าด้วยเรื่องปัญญา 3 ระดับมาเล่าไว้ตรงนี้ครับ


ปัญญามีสามระดับขั้นด้วยกัน ขั้นแรกเรียกว่า สุตมยปัญญา หมายถึงความรู้ที่ท่านได้รับจากการฟังบรรยายธรรมต่างๆ หรือจากการอ่านหนังสือ ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของท่าน แต่เป็นปัญญาของผู้อื่น

ตั้งแต่เล็กจนโต คนในแต่ละครอบครัว ในแต่ละสังคม หรือในแต่ละลัทธินิกาย จะได้รับฟังสิ่งที่ถือว่าเป็นความจริงสำหรับแต่ละครอบครัว แต่ละสังคม หรือแต่ละลัทธินิกาย บุคคลได้รับการอบรมและหล่อหลอมให้ฝังใจเชื่อในความจริงนั้นๆ และได้ยึดถือสืบทอดต่อๆ กันมาด้วยความศรัทธา แต่ความเชื่อถือศรัทธาในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นศรัทธาแบบมืดบอดไม่ลืมหูลืมตา

แม้กระนั้นปัญญาในระดับแรกที่เรียกว่าสุตมยปัญญานี้ ก็เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ เพราะจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจแก่เรา และให้แนวทางในการที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่สองของปัญญาที่เรียกว่า จินตามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการใช้ความคิดพิจารณาให้เกิดความเข้าใจในระดับเหตุผล ไม่ว่าท่านจะได้ยินได้ฟังอะไรมา ท่านก็จะแยกแยะว่า เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ไหม สมเหตุสมผลไหม หากมีเหตุผล ท่านก็จะยอมรับ

แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่ค่อยได้ทำการแยกแยะและวิเคราะห์ให้เกิดปัญญาขั้นที่สองนี้ ยิ่งขั้นที่สามด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ยังห่างไกลมาก แม้แต่ปัญญาในขั้นที่สอง คนโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะแต่ละคนมักจะมีแต่ความศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตา

…แม้โดยธรรมชาตินั้นมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล มนุษย์จะพยายามที่่จะอธิบายเรื่องต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผล แต่เมื่อมีผู้ที่ด้อยอาวุโสกว่าพยายามใช้เหตุผล ผู้นำกลุ่ม หรือผู้เป็นใหญ่ในกลุ่ม หรือผู้อาวุโสในกลุ่ม ก็จะเกิดความรู้สึกว่าถูกท้าทายทางความคิด และจะเริ่มข่มขู่ผู้ที่ด้อยอาวุโสกว่า “อ้อ นี่เจ้าไม่เชื่อ เจ้าไม่เชื่อในความจริงในพระคัมภีร์ของเรา เจ้าไม่เชื่อคำสอนของพระศาสดาในศาสนาของเรา พระศาสดาซึ่งเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องอย่างนี้ เป็นนักบุญอย่างนี้ และเป็นผู้ตรัสรู้แล้วอย่างนี้ เจ้ายังไม่เชื่อคำสอนของท่าน เจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจ้าตายไป เจ้าจะต้องตกนรก!” แล้วเขาก็จะสาธยายเรื่องราวและแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับนรกอันน่าสะพรึงกลัวให้ฟัง คนที่ได้ฟังก็จะตกใจกลัว “โอย! คุณพ่อ ผมกลัวแล้ว ผมไม่อยากตกนรก ผมจะยอมรับสิ่งที่พระคัมภีร์ว่าไว้ทุกประการ ผมจะยอมรับทุกอย่างที่ประเพณีกล่าวไว้” แต่นี่ก็เป็นเพียงการยอมรับ ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์โดยตรงของท่านเอง ท่านอาจจะยอมรับว่าสิ่งนั้นๆ เป็นสัจธรรม เป็นความจริง เพราะท่านมีความกลัว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจก้าวไปถึงขั้นที่สองของปัญญาได้ เพราะความเกรงกลัวหรือความศรัทธาที่มืดบอด…ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดท่านไว้ ทำให้ไม่สามารถก้าวต่อไปถึงปัญญาขั้นที่สองคือจินตามยปัญญาได้

แต่ก็มีบางที่ที่กล้าก้าวต่อไปสู่จินตามยปัญญา เขาใช้ความคิดแยกแยะวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ด้วยเหตุและผล ซึ่งก็เป็นก้าวที่สำคัญมากอีกก้าวหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ปัญญาในขั้นแรกคือสุตมยปัญญา และปัญญาในขั้นที่สองคือจินตามยปัญญา จะให้แรงบันดาลใจและให้แนวทางที่นำพาท่านไปสู่ปัญญาขั้นที่สามคือ ภาวนามยปัญญา แต่บุคคลก็มักจะติดอยู่เพียงแค่ขั้นที่สองนี้เท่านั้น…เพราะการที่ท่านได้ใช้ความคิดใคร่ครวญในเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมา ท่านก็จะเกิดอัตตาขึ้นมาอย่างรุนแรง เข้าใจเอาเองว่าบัดนี้ท่านเป็นผู้ที่รอบรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว สามารถที่จะสอนหรือบรรยายธรรมได้แล้ว สามารถอภิปรายหรือโต้แย้งใดๆ ก็ได้ และสามารถที่จะเขียนหนังสือ และพิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับว่า ความเชื่อของท่าน หลักเกณฑ์ของท่าน ประเพณีของท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ส่วนของคนอื่นๆ นั้นผิดทั้งหมด ความคิดเช่นนี้หาใช่ปัญญาของท่านเองไม่ แต่เป็นปัญญาของผู้อื่นที่ท่านเพียงแต่นำมาคิดพิจารณาหาเหตุผลเท่านั้น ปัญญาของท่านเองจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อท่านได้ประสบกับสิ่งนั้นด้วยตัวของท่านเอง

ประสบการณ์จะสร้างปัญญาขึ้นที่สามที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา คำแปลตรงๆ ของคำว่าภาวนา คือความมีความเป็น ภาวนามยปัญญาคือการทำให้ปัญญามีขึ้นเป็นขึ้น เป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ประสบด้วยตัวเอง ด้วยประสบการณ์นี้ท่านก็จะรู้ว่าปัญญาคืออะไร มิฉะนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความรู้เท่านั้น ความรู้นั้นต่างกับปัญญามาก ปัญญาขั้นที่สามคือภาวนามยปัญญานี้แหละที่จะปลดปล่อยท่านให้หลุดพ้นจากพันธนาการของกิเลส จิตจะบริสุทธิ์ขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดท่านก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์

…การมีศรัทธาอย่างมืดบอดโดยอ้างธรรมะ และการเล่นเกมลับสมองด้วยเหตุผลหรือตรรกะต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่จะพันธนาการท่านไว้ไม่ให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ได้…ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงของเจ้าชายสิทธัตถะโคตมะช่วยให้พระองค์หลุดพ้นได้แต่เพียงพระองค์เดียว ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นหลุดพ้นได้…การมีเพียงศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตาในคำสอนของพระองค์ หรือมีเพียงความเข้าใจในคำสอนของพระองค์ด้วยเหตุผล จะไม่ทำให้เราหลุดพ้นได้ เราจะต้องมีประสบการณ์กับความจริงภายในตัวของเราเอง

…ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งหิวอาหารมาก ได้เข้าไปภัตตาคารซึ่งมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง เมื่อเขานั่งลงที่โต๊ะ ผู้บริการก็นำรายการอาหารมาให้ หลังจากดูรายการอาหารนั้นแล้ว เขาก็เกิดความรู้สึกว่าอาหารที่นี่จะต้องอร่อยมาก คิดแล้วน้ำลายไหล นี่เป็นกรณีที่หนึ่ง

กรณีที่สอง ชายคนนั้นได้สั่งอาหารแล้วก็นั่งรอ ระหว่างรอเขาเห็นโต๊ะข้างๆ ได้รับอาหาร และพากันรับประทานอย่างเพลิดเพลินและเอร็ดอร่อย แสดงว่าอาหารที่นี่จะต้องอร่อยมาก คิดแล้วเขาก็น้ำลายไหลอีก

กรณีที่สาม ผู้บริการได้นำอาหารมาให้ จากนั้นเขาก็ลงมือรับประท่าน แล้วเขาก็ได้รับความเอร็ดอร่อยและเพลิดเพลินจากอาหารมื้อนั้นด้วยตัวเขาเอง

กรณีแรกเป็นสุตมยปัญญา เขาได้แต่อ่านรายการอาหาร ยังไม่ได้ลิ้มรสของจริง จึงยังไม่รู้รสอาหารนั้นด้วยตนเอง กรณีที่สองเป็นจินตามยปัญญา เขาพิจารณาด้วยเหตุผล โดยสังเกตจากการรับประทานอาหารของผู้อื่น จากสีหน้าและอากัปกิริยาของผู้ที่รับประทานอาหารอยู่ ที่แสดงความเพลิดเพลินและแสดงความพอใจในรสอาหารนั้น ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าอาหารนั้นต้องอร่อย นี้เป็นแค่จินตามยปัญญาเท่านั้น ส่วนกรณีที่สามคือภาวนามยปัญญา เขาได้ลิ้มรสอาหารด้วยตัวของเขาเอง เขารู้รสอาหารว่าเอร็ดอร่อยมากน้อยอย่างไร กรณีที่สามนี้เท่านั้นที่จะให้ผลโดยตรง

ตัวอย่างในบ้างครั้งจะช่วยให้เราเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น ฉะนั้นลองฟังอีกสักหนึ่งตัวอย่าง

ข้าพเจ้าป่วยมาก จึงไปหาหมอ หมอตรวจอาการ แล้วเขียนใบสั่งยาให้ ข้าพเจ้ารับใบสั่งยาไว้ แล้วกลับบ้านอย่างมีความสุข ข้าพเจ้ามีความเชื่อถือและศรัทธาต่อหมอคนนี้มาก และความเชื่อถือศรัทธาในตัวหมอก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร โดยปกติเราทุกคนควรจะเชื่อถือและศรัทธาในตัวหมอ แต่ถ้าความศรัทธาต่อหมอของข้าพเจ้ากลายไปเป็นความศรัทธาแบบมืดบอด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้าจะเอารูปถ่ายหรือรูปปั้นของหมอคนนี้ไปวางไว้บนแท่นบูชา พร้อมกับจัดวางดอกไม้ ธูปเทียนและอาหารคาวหวานเพื่อเซ่นไหว้ จากนั้นข้าพเจ้าจะจุดธูปเทียนพร้อมกับเอาใบสั่งยามาวางไว้ตรงหน้า แล้วก้มกราบสามครั้ง พร้อมกับท่องว่า “รับประทานสองเม็ดตอนเช้า สองเม็ดตอนบ่าย สองเม็ดตอนเย็น” ข้าพเจ้าจะเฝ้าแต่ท่องบ่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูๆ ไปแล้วก็เป็นความบ้าลักษะหนึ่งนั่นเอง เหมือนเป็นการเล่นเกม แต่สำหรับผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้ว ก็มักจะมีพฤติกรรมลักษณะนี้ทั้งนั้น

กรณีที่สอง เมื่อข้าพเจ้าไปหาหมอคนนี้ ข้าพเจ้าถามว่า “หมอครับ หมอเขียนอะไรลงบนกระดาษแผ่นนี้ และมันจะช่วยผมได้อย่างไร” คำถามแบบนี้เท่ากับว่าข้าพเจ้าได้เริ่มใช้เหตุผลแล้ว และนายแพทย์ผู้นั้นก็เป็นคนมีเหตุผล เขาพยายามอธิบายให้ฟังว่า “คุณเป็นโรคนี้ ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคตัวนี้ ผมเขียนใบสั่งยาให้คุณไปซื้อยา ถ้าคุณกินยานี้ มันก็จะไปทำลายเชื้อโรคนี้ และเมื่อใดที่เชื้อโรคนี้ถูกทำลาย คุณก็จะหายจากโรค” ข้าพเจ้าฟังแลวรู้สึกว่าหมอของข้าพเจ้าช่างเก่งเหลือเกิน เมื่อข้าพเจ้ากลับไปถึงบ้าน แทนที่จะเริ่มกินยา ข้าพเจ้ากลับไปเที่ยวคุยอวดกับเพื่อนบ้านว่าหมอของข้าพเจ้าเป็นหมอที่ดีที่สุด หมอคนอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง ใบสั่งยาที่หมอของข้าพเจ้าให้มาเป็นของจริง ใบสั่งยาอื่นๆ ไม่ใช่ แล้วเราก็จะเฝ้าแต่ถกเถียงกันโดยไม่มีใครกินยา และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของหมู่ชนทั้งหลาย

ท่านผู้บรรุธรรมทุกท่านรู้ว่า ความทุกข์ยากนั้นมีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง ผู้คนเป็นจำนวนมากเจ็บป่วยเพราะกิเลสในใจ ด้วยความรักและความเมตตา ท่านจึงได้ให้ใบสั่งยาเขาทั้งหลาย จงรับประทานธรรมโอสถนี้เสีย แล้วท่านจะพ้นจากความทุกข์

ครั้นเวลาล่วงเลยไป ผู้คนต่างค่อยๆ พากันลืมธรรมโอสถขนานนี้ไปเสียสิ้น พวกเขาไม่ได้กินยาขนานนี้เลย แต่พวกเขากลับไปพัฒนาความยึดติด เขากลับไปยึดมั่นในองค์ศาสดาของศาสนาที่ตนนับถืออย่างงมงาย โดยเชื่อว่าศาสดาของศาสนาของเขาเป็นผู้ที่ตรัสรู้อย่างแท้จริง ศาสดาองค์อื่นไม่ใช่ ศาสดาของเขาเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง องค์อื่นไม่ใช่ ศาสดาของเขาเป็นนักบุญที่แท้จริง องค์อื่นๆ ไม่ใช่ มีแต่ตั้งหน้าถกเถียงกันระหว่างนิกายนี้กับนิกายนั้น ระหว่างนิกายนั้นกับนิกายโน้น

ความงมงายเช่นนี้ ความบ้าคลั่งเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะเรารับธรรมะด้วยศรัทธาอย่างมืดบอด หรือด้วยการคิดเอาตามเหตุผลของตนเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เรารับประทานธรรมโอสถแล้ว ธรรมดาโอสถก็จะช่วยเราให้สามารถพัฒนาไปสู่ปัญญาขั้นที่สามคือภาวนามยปัญญาได้ แล้วเราก็จะได้ประจักษ์ถึงสาระและคุณค่าของธรรมะด้วยตัวของเราเอง


วันนี้วันวิสาขบูชา ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะปฏิบัติบูชาเพื่อวันหนึ่งเราจะได้มีภาวนามยปัญญากันนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก Thaidhamma.net: ธรรมบรรยาย หลักสูตร 10 วัน โดยท่านอาจารย์โกเอนก้า

อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

ใบหน้าที่คุณคู่ควร

20170509_face

“At 50, everyone has the face he deserves.”

“ตอนอายุ 50 ทุกคนจะมีใบหน้าที่เขาสมควรได้รับ”

—–

คนที่ไม่ได้เกิดมาหน้าตาดี น่าจะต้องเคยมีความรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่แฟร์

เพราะคนที่หน้าตาสวยหล่อมักจะได้อะไรมาง่ายกว่าคนหน้าตาธรรมดาเสมอ

ตอนเป็นเด็กผู้ใหญ่ก็เอ็นดู พอเป็นวัยรุ่นก็มีแต่คนตามจีบ เรียนจบแล้วก็มีโอกาสหางานได้ง่ายกว่า เพราะยังไงคนเราก็ยังมักตัดสินคนจากหน้าตา

แต่ความได้เปรียบนี้จะลดลงไปเรื่อยๆ ในวันที่อายุมากขึ้น

ถ้าคุณหน้าตาดีแต่ใช้ชีวิตอย่างประมาท กินเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก ทานแต่อาหารขยะ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเมื่อแก่ตัวไป คุณจะดูแย่ยิ่งกว่าเพื่อนหน้าตาธรรมดาที่ดูแลตัวเอง

ใบหน้าในวัยหนุ่มสาว คือใบหน้าที่เราได้มาจากพันธุกรรมของพ่อแม่

แต่ใบหน้าในวัยกลางคน คือใบหน้าที่เราได้มาจากพฤติกรรมของตัวเองครับ


อ่านบทความใหม่ทุกวันที่เพจ Anontawong’s Musings: facebook.com/anontawongblog
อ่านบทความทั้งหมด anontawong.com/archives
ดาวน์โหลดหนังสือ “เกิดใหม่” anontawong.com/subscribe/

Sapiens ตอนที่ 20 – อวสาน Sapiens

20170508_sapiens20

ในสมัยก่อน คนที่เชื่อมั่นในศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวจะเชื่อว่ามนุษย์และสรรพสัตว์ล้วนถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และเรียกกระบวนการนี้ว่า Intelligent Design หรือการออกแบบอย่างชาญฉลาด

แต่หลังจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คนส่วนใหญ่หันมาเชื่อในทฤษฎีของ Charles Darwin ที่สันนิษฐานว่านับตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวได้ถือกำเนิดขึ้นในท้องทะเลเมื่อ 4 พันล้านปีที่แล้ว กระบวนการ Natural Selection หรือ “การคัดสรรโดยธรรมชาติ” คือแรงผลักดันให้สิ่งมีชีวิตตัวนั้นค่อยๆ พัฒนาและขยายเผ่าพันธุ์จนกลายมาเป็นพืชพรรณ สรรพสัตว์ และมนุษย์ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนอย่างทุกวันนี้

คนที่เชื่อเรื่อง Natural Selection จะมองว่าการที่ยีราฟคอยาวไม่ใช่เพราะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นเพราะว่ายีราฟที่คอยาวจะกินอาหารได้มากกว่าและออกลูกได้มากกว่ายีราฟที่คอสั้น ดังนั้นยีราฟที่คอยาวจึงมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงกว่าและสืบพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน

เป็นเวลาถึง 4 พันล้านปีที่สิ่งมีชีวิตทุกผู้ทุกนามตกอยู่ใต้กระบวนการ Natural Selection

แต่ในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ กระบวนการ Intelligent Design จะกลับมาอินเทรนด์อีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่คราวนี้ “ผู้ออกแบบ” จะไม่ใช่พระเจ้าของศาสนาใด แต่เป็นชาว Homo Sapiens นี่เอง

—– กระต่ายเรืองแสง —–
ในปี 2000 ศิลปินชาวบราซิลเลียนนาม Eduardo Kac ได้ว่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศสให้ช่วยเอายีนในแมงกะพรุนเรืองแสงสีเขียวมาฉีดใส่ตัวอ่อนกระต่าย ซึ่งพอกระต่ายตัวนี้เกิดมามันก็กลายเป็นกระต่ายที่เรืองแสงสีเขียวในที่มืดได้ กระต่ายตัวนี้มีชื่อว่า Alba*

Alba ไม่ได้เกิดจาก Natural Selection แน่ๆ เพราะไม่เคยมีบรรพบุรุษกระต่ายตัวไหนที่เรืองแสงได้ มันจึงอาจเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เกิดจาก Intelligent Design และเป็นเหมือนหมุดหมายสำคัญที่เปิดศักราชใหม่แห่งวิวัฒนาการที่ไม่ได้ตกอยู่ใต้กฎ Natural Selection อีกต่อไป

ณ ปี 2014 ที่ผู้เขียนเขียนหนังสือเรื่อง Sapiens ภาคภาษาอังกฤษขึ้นมานี้ Intelligent Design มีอยู่สามวิธี ได้แก่วิศวกรรมทางชีววิทยา (biological engineering) วิศวกรรมไซบอร์ก (cyborg engineering) และการสร้างสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์ (inorganic life)

—– แมมมอธจะกลับมา —–
ในปี 1996 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการปลูกกระดูกอ่อนของวัวลงบนหลังของหนู และหน้าตาของกระดูกอ่อนที่งอกขึ้นมาก็คล้ายคลึงกับหูมนุษย์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความรู้นี้จะทำให้เราสามารถสร้างอวัยวะเทียมเพื่อนำมาใช้ในคนได้

นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถตัดต่อพันธุกรรม (genetic engineering) ได้อีกด้วย แต่เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหว งานวิจัยด้านนี้จึงถูกจำกัดเฉพาะสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างไส้เดือนหรือหนูทดลองเท่านั้น โดยนักพันธุศาสตร์ได้ค้นพบวิธีการตัดต่อยีนที่ทำให้ไส้เดือนประเภทหนึ่งมีอายุยืนยาวขึ้น 6 เท่า ทำให้หนูบางตัวกลายเป็นหนูอัจริยะที่มีความจำเป็นเลิศ และทำให้หนูนาซึ่งปกติมีพฤติกรรมสำส่อนให้กลายเป็นสัตว์ผัวเดียวเมียเดียวได้

นอกจากนี้ นักพันธุกรรมยังกำลังทำสิ่งที่เราเคยเห็นในหนัง Jurassic Park อีกด้วย ไม่ใช่การคืนชีพให้ไดโนเสาร์นะครับ แต่เป็นการคืนชีพให้แมมมอธ เพราะมีการขุดพบศพของแมมมอธที่ถูกแช่แข็งไว้ในไซบีเรียและนักวิทยาศาสตร์ก็กำลังทำการถอดรหัส DNA ของแมมมอธ จากนั้นก็จะนำมันไปให้ช้างอุ้มท้อง ซึ่งถ้าทำสำเร็จเราก็จะมีแมมมอธตัวแรกในรอบ 5,000 ปี

ยังไม่พอ ศาสตราจารย์ George Church แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ยังบอกอีกว่า เราน่าจะชุบชีวิตให้มนุษย์นีแอนเดอร์ธาลได้ (Neanderthal) เพราะนักพันธุกรรมได้ถอดรหัส DNA ของนีแอนเดอธาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าใครพร้อมที่จะสนับสนุนเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ เขาก็พร้อมที่จะทำภารกิจนี้และเชื่อว่าน่าจะมีอาสาสมัครรับอุ้มบุญให้กับนีแอนเดอธาลคนแรกในรอบ 30,000 ปีอีกด้วย

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมไม่ออกแบบมนุษย์ให้ดีกว่าเดิมด้วยซะเลย? เพราะการถอดรหัส DNA ของมนุษย์นั้นไม่ได้ยากไปกว่าการถอดรหัสหนูเท่าไหร่ (จำนวน DNA ของมนุษย์มีมากกว่าหนูแค่ 13%) ถ้าเราสามารถออกแบบหนูอัจฉริยะและหนูนาที่รักเดียวใจเดียวได้ ทำไมเราไม่ทำให้มนุษย์มีคุณสมบัติเหล่านั้นบ้าง?

แต่เนื่องจากวิศวพันธุกรรมกับมนุษย์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและถูกต่อต้านสูงมาก การศึกษาวิจัยในมนุษย์จึงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่สุดท้ายแล้วจะมีใครหยุดมันได้จริงหรือ? สมมติว่ามีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคิดค้นวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ และวิธีการเดียวกันนี้ยังสามารถทำให้คนปกติมีความจำเป็นเลิศได้ จะมีเหตุผลอะไรที่จะห้ามไม่ให้นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับคนธรรมดา?

—– มนุษย์ไซบอร์ก —–
นิยามของไซบอร์กคือสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งส่วนผสมของอินทรีย์และอนินทรีย์ (organic & inorganic parts) จริงๆ แล้วพวกเราตอนนี้ก็มีสิ่งที่เป็นอนินทรีย์อยู่บนร่างกายอยู่แล้ว เช่นแว่นตาหรือมือถือ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังจะทำให้มนุษย์กลายเป็นไซบอร์กเต็มรูปแบบเพราะเครื่องมือเหล่านี้จะถูกฝังอยู่เป็นเนื้อเดียวกับร่างกายของเรา

ยกตัวอย่างบริษัท Retina Implant ในเยอรมนีที่สามารถทำให้คนตาบอด “มองเห็น” ได้ด้วยการฝังชิปลงในตาของผู้พิการ เมื่อชิปได้รับภาพมันจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปกระตุ้นเซลล์ประสาทที่เชื่อมไปยังสมองอีกทีหนึ่ง โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีตัวนี้ทำให้คนตาบอดสามารถหันหน้าถูกทิศ อ่านตัวหนังสือได้ และยังแยกแยะใบหน้าคนได้อีกด้วย

นาย Jesse Sullivan ที่สูญเสียแขนไปทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ ได้รับการผ่าตัดฝังแขน bionic (ชีวประดิษฐศาสตร์) ที่เขาสามารถควบคุมได้ด้วยความคิดไม่ต่างอะไรกับคนที่มีแขนปกติ และแม้แขนกลเหล่านี้จะยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนแขนมนุษย์ แต่ข้อดีก็คือมันสามารถถูกสร้างให้แข็งแรงกว่าแขนมนุษย์ได้หลายเท่า

นักวิจัยกำลังศึกษาการทำงานของสมองเพื่อช่วยผู้ป่วยโรค Locked-in syndrome ที่ไม่สามารถขยับอะไรได้เลยนอกจากกะพริบตา โดยนักวิจัยได้ฝังเครื่องรับสัญญาณไว้ที่หัวสมองเพื่อพยายามจะเปลี่ยนสัญญาณเหล่านี้เป็นคำพูด ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จก็จะทำให้คนป่วยด้วยโรคนี้สามารถพูดคุยกับโลกภายนอกได้ และเราอาจใช้เทคโนโลยีนี้ในการอ่านความคิดคนได้อีกด้วย

แต่โปรเจ็คที่น่าสนใจที่สุดคือการเชื่อมสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อให้มันพูดคุยกันได้โดยตรง จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เชื่อมสมองเข้ากับอินเตอร์เน็ตหรือเชื่อมสมองของตนเองเข้ากับสมองของคนอื่นๆ? ถ้าเราสามารถเข้าถึงความคิดและความทรงจำของคนทั่วโลกได้ราวกับมันเป็นความคิดและความทรงจำของเราเอง จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวตนและเพศสภาพของเรา? เราจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร? ไซบอร์กที่อยู่ในสภาพนี้คงไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง

—– ชีวิตไร้ขอบเขต —–
อีกความเป็นไปได้หนึ่งในการออกแบบชีวิตคือชีวิตที่เป็นอนินทรีย์ล้วนๆ (completely inorganic life) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถดาวน์โหลดทุกอย่างในหัวสมองมนุษย์ลงคอมพิวเตอร์ได้ และคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นสามารถคิดและพูดได้เหมือนเราทุกอย่าง?

และจะเกิดอะไรขึ้นถ้านักวิทยาศาสตร์สามารถเขียนโค้ดที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความคิดเป็นของตัวเอง มีตัวมีตน และมีความทรงจำของตัวเองได้? The Human Brain Project คือโครงการที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเหมือนสมองมนุษย์ ซึ่งถ้าโครงการนี้สำเร็จ “ชีวิต” ที่เคยถูกจำกัดอยู่แต่ในร่างอินทรีย์ (organic body) อยู่ 4 พันล้านปีจะถูกปลดปล่อยสู่โลก inorganic อันกว้างใหญ่และแปรสภาพไปอยู่ในรูปแบบที่ยากเกินจะหยั่งถึง

—- Singularity ครั้งใหม่ —–
การถอดรหัส DNA มนุษย์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นั้นต้องใช้เงินถึง 3 พันล้านดอลลาร์และใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ตอนนี้เราสามารถถอดรหัส DNA ของเราเองด้วยการจ่ายเงินแค่ไม่กี่ร้อยดอลลาร์และใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์

จากนี้ไปการรักษาโรคจึงจะมีความจำเพาะเจาะจงกับตัวคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ คุณหมออาจจะอ่านรหัส DNA แล้วบอกได้เลยว่าคุณมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ แต่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจ หรือยาตัวนี้อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตแต่มันกลับเข้ากับร่างกายของคุณได้พอดี

แต่เราจะโดนบริษัทประกันขอให้เราส่ง DNA ให้เขาตรวจสอบก่อนคิดเบี้ยประกันรึเปล่า? และบริษัทที่เราสมัครงานจะขอดู DNA ของเราก่อนตัดสินใจรับเราเข้าทำงานหรือไม่?

ปัญหาเหล่านี้จะดูเล็กไปทันทีเมื่อเทียบกับโปรเจ็ค Gilgamesh ที่ต้องการนำความหนุ่มสาวนิรันดร์มาสู่มนุษย์ รวมถึงการสร้างยอดมนุษย์หรือ superhuman ที่ฉลาดกว่าและแข็งแรงกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า

ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมามนุษย์เรียกร้องสังคมที่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด ซึ่งดูเหมือนเราจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เราอาจกำลังก้าวสู่สังคมที่เหลื่อมล้ำมากกว่ายุคใดๆ ที่ผ่านมา

สมัยก่อนคนรวยมักจะหลอกตัวเองว่าทายาทของตนนั้นเลอเลิศกว่าทายาทของคนจน ทั้งที่จริงแล้วลูกของชาวนานั้นก็มีโอกาสที่จะฉลาดได้เท่ากับลูกของพระราชา แต่ในอนาตตอันใกล้นี้ คนรวยที่เข้าถึงเทคโนโลยีจะสามารถให้กำเนิดเด็กที่ฉลาดกว่า หน้าตาดีกว่า และแข็งแรงกว่าอย่างที่ลูกชาวนาไม่มีทางเทียบติด

นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ที่เราเคยอ่านจะเป็นภาพของมนุษย์ที่มีรูปร่าง หน้าตา ความคิดเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่มีเครื่องไม้เครื่องมือเท่ๆ เช่นยานอวกาศความเร็วแสงหรือปืนเลเซอร์

แต่โลกอนาคตที่เรากำลังมุ่งไปจริงๆ นั้นคือโลกที่เหล่า Homo Sapiens จะถูกดัดแปลงจนไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป เพราะพวกเขาจะเป็นไซบอร์กที่ไม่แก่ ไม่มีเพศ ไม่ลืม ไม่โกรธและไม่เศร้า แต่จะมีอารมณ์และความรู้สึกที่มนุษย์อย่างเราๆ ไม่อาจจินตนาการถึงได้

นักฟิสิกส์เรียก Big Bang ที่เป็นจุดกำเนิดจักรวาลว่า Singularity หรือเอกภาวะ มันเป็นจุดที่กฎต่างๆ ในธรรมชาติยังไม่ปรากฎซึ่งรวมถึงเวลาด้วย การถามว่า “ก่อน” จะมี Big Bang นั้นมีอะไรจึงเป็นคำถามที่ไร้ความหมาย

มนุษยชาติอาจกำลังมุ่งสู่ Singularity ครั้งใหม่ ณ จุดที่สมองและตัวตนของมนุษย์ทุกคนเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว คอนเซ็ปต์ที่เราใช้อธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “ตัวผม” หรือ “ตัวคุณ” “ผู้หญิง” หรือ “ผู้ชาย” “รัก” หรือ “เกลียด” จะไม่มีความหมายอีกต่อไป

—– เมื่อมนุษย์กลายเป็นพระเจ้า —–
เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว Homo Sapiens เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เล็กๆ เผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่ไปวันๆ ในทวีปแอฟริกา

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เผ่าพันธุ์นี้ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองโลก

เราสร้างเมือง สร้างอาณาจักรและทำการค้าขายไปทั่วโลก แต่เราได้ทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นหรือเปล่า?

ความเป็นอยู่ของมนุษย์อาจดีกว่าแต่ก่อนก็จริง เพราะการอดตายและสงครามลดลง และโรคภัยหลายหลากก็มีหนทางรักษา แต่สัตว์จำนวนมหาศาลยังถูกเบียดเบียนและถูกทารุณอย่างที่บรรพบุรุษของมันไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

ที่สำคัญ แม้ว่าเราจะมีความสามารถมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าเราต้องการอะไรกันแน่

เรามีพลังและอำนาจมากกว่ายุคใด แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาพลังนั้นไปทำอะไร

เราได้สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าที่ไม่ต้องเกรงใจใครหรือเคารพอะไรเลย

เราจึงเบียดเบียนสรรพสัตว์เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำราญและความสะดวกสบาย แต่เราก็ไม่เคยพอใจจริงๆ เสียที

จะมีสิ่งใดที่อันตรายไปกว่าพระเจ้าขี้หงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร?

<<<<< จบบริบูรณ์ >>>>>


ขอบคุณที่ติดตามซีรี่ส์ Sapiens มาโดยตลอดนะครับ

คิดว่าคุณผู้อ่านน่าจะอยากอ่านสรุปหนังสือเล่มถัดไปจากผู้เขียนคนเดียวกัน – Homo Deus ซึ่งว่าด้วยอนาคตต่อจากนี้ แต่ผมคงต้องขอเวลาอีกซักอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่ออ่านให้จบและพักผ่อนร่างกายหลังจากใช้พลังและเวลามากมายไปกับการเขียนสรุป Sapiens 20 ตอนครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก Sapiens: A Brief History of Humankind by Yuval Noah Harrari

ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

Sapiens ตอนที่ 1 – กำเนิด Homo Sapiens
Sapiens ตอนที่ 2 – สิ่งที่ทำให้เราครองโลก
Sapiens ตอนที่ 3 – สมัยของการล่าสัตว์เก็บพืชผล
Sapiens ตอนที่ 4 – การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่
Sapiens ตอนที่ 5 – คุกที่มองไม่เห็น
Sapiens ตอนที่ 6 – กำเนิดภาษาเขียน
Sapiens ตอนที่ 7 – ความเหลื่อมล้ำ
Sapiens ตอนที่ 8 – โลกที่ถูกหลอมรวม
Sapiens ตอนที่ 9 – มนตราของเงินตรา
Sapiens ตอนที่ 10 – จักรวรรดิ
Sapiens ตอนที่ 11 – บทบาทของศาสนา
Sapiens ตอนที่ 12 – ศาสนไร้พระเจ้า
Sapiens ตอนที่ 13 – ยุคแห่งความไม่รู้
Sapiens ตอนที่ 14 – 500 ปีแห่งความก้าวหน้า
Sapiens ตอนที่ 15 – เมื่อยุโรปครองโลก
Sapiens ตอนที่ 16 – สวัสดีทุนนิยม
Sapiens ตอนที่ 17 – จานอลูมิเนียมของนโปเลียน
Sapiens ตอนที่ 18 – ครอบครัวล่มสลาย
Sapiens ตอนที่ 19 – สุขสมบ่มิสม
Sapiens ตอนที่ 20 – อวสาน Sapiens