จัดบ้านแบบ KonMari ในวันแม่

20150812_KonMariMotherDay

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ช่วยแชร์บทความวิธีการจัดบ้านแบบ KonMari อย่างล้นหลามถึงหมื่นกว่าแชร์ ถือว่าเกินความคาดหมายและสร้างความปลาบปลื้มให้กับผมแบบสุดๆ ไปเลย

อย่างที่ได้เขียนเล่าไปเมื่อสองวันที่แล้วว่า วันแม่ปีนี้ผมมีนัดจัดบ้านกับครอบครัว

กำลังสำคัญวันนี้ได้แก่ แม่ พ่อ รอง (น้องชาย) ผึ้ง (ภรรยา) เฮียชาติ พี่ชายของผึ้ง และตัวผมเอง

ผึ้ง แม่ และรองอ่านบล็อกของผมมาเรียบร้อยแล้ว แต่พ่อกับเฮียชาติยังไม่ได้อ่านเลยต้องมีอธิบายขั้นตอนกันนิดหน่อย ว่าวันนี้เราจะเริ่มจากเสื้อผ้าของห้องพ่อกับแม่นะ แล้ววิธีเลือกว่าจะเก็บเสื้อผ้าชิ้นไหนเอาไว้ก็ด้วยการหยิบมันขึ้นมาทีละชิ้นแล้วถามตัวเองว่ามันสปาร์คจอย (spark joy / ชื่นใจ) รึเปล่า

ประมาณสิบโมง เราก็เริ่มภารกิจกันด้วยการขนเสื้อผ้าของพ่อบางส่วนมากองไว้ที่พื้น แล้วก็ให้พ่อคัด ส่วนแม่เองก็เอาผ้ามากองไว้บนเตียงและทำขนานกันไปเช่นกัน

ในขณะที่พ่อและแม่คัดผ้า พวกเราเหล่าลูกๆ ก็ช่วยกันจัดผ้าเก็บเข้าตู้เป็นอย่างๆ ไป เพราะไม่อย่างนั้นจะมีพื้นที่ไม่พอปฏิบัติการ

ข้อดีที่ได้พบก็คือ แม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ Spark Joy เป็นอย่างดี วันนี้ทั้งวันผมว่าแม่พูดคำว่า “สปาร์ค” ไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง ไม่ว่าจะกับเสื้อผ้าหรือกระเป๋าถือ ส่วนพ่อจะใช้คำว่า “ชื่นใจ” หรือคำว่า “ชอบ” ไม่ค่อยได้ใช้คำว่าสปาร์คจอยเท่าไหร่

บทเรียนที่ได้ร้บจากการช่วยพ่อแม่จัดการเรื่องเสื้อผ้ามีดังนี้

1. การไม่เอาผ้าลงมากองให้หมดทีเดียวทำให้ต้องทำงานซ้ำ เพราะห่วงกันว่าพื้นที่จะไม่พอ ก็เลยทยอยทำจากชุดชั้นในก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ โกยเอาเสื้อจากตู้เสื้อผ้ามาคัด แล้วค่อยเอาผ้าจากราวเหล็กมาคัด ซึ่งด้วยวิธีการอย่างนี้พอเอาเสื้อใส่กล่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อาจจะเจออีกตัวใหม่เข้ามาอีกสองสามตัว เลยต้องมานั่งจัดกันใหม่ เราเลยยิ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้นว่าทำไมมาริเอะถึงแนะนำว่าควรจะเอาเสื้อผ้าทั้งหมดมากองไว้ตูมเดียวเลย (แม้จะดูว่าพื้นที่อาจจะไม่พอ แต่ผมเชื่อว่าทำจริงๆ ก็ต้องพออยู่แล้วเพราะผ้าจะกองสูงเท่าไหร่ก็ได้)

2. ควรเตรียมกล่องใส่ไว้ให้พร้อม เมื่อวานพอดีที่ตึกเอ็มไพร์มีร้านมาออกบู๊ธขายกล่องใส่รองเท้า ผมเลยซื้อมาทั้งหมดสี่กล่อง ใช้เงินไป 480 บาท (กล่องรองเท้าผู้หญิงเซ็ตสามกล่อง 310 บาท กล่องรองเท้าผู้ชายหนึ่งกล่อง 170 บาท) พอแม่รู้ราคาก็บอกว่าแพงจัง ที่แม่เคยซื้อไดโสะ แม๊กซ์แวลูพัฒนาการถูกกว่า เพราะกล่องละ 60 บาทเอง แถมสี่กล่องที่ซื้อมายังไงก็คงไม่พออยู่แล้ว

จริงๆ เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมกับแฟนไปเดินไดโสะมาแล้วและหาไม่เจอ แต่แม่ก็ยืนยันให้ลองโทร.ไปถามดูอีกที ผมก็เลยลองโทร.ไปที่ร้านและเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่ามีกล่องรองเท้าจริงๆ ผมก็เลยวิ่งไปดูแล้วก็ซื้อมา 12 กล่อง เอากลับมาใช้ได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ทำท่าจะไม่พออีก เฮียชาติเลยวิ่งไปซื้อมาให้เพิ่มอีก 20 กล่อง รวมแล้วเป็น 32 กล่องที่เราใช้ในการเก็บเสื้อผ้าพ่อแม่ครั้งนี้ (แถมใช้หมดเกลี้ยงด้วย!)

ข้อเสียอย่างหนึ่งของกล่องจากไดโสะก็คือ มันแคบไปนิดนึง ทำให้เวลาพับเสื้อต้องเฉไปทางใดทางหนึ่ง ทำให้คอดูเบี้ยวๆ ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ (แต่ตอนพับเสร็จและจัดลงกล่องแล้วก็ดูไม่ออกหรอกนะ) จะให้ดีคือควรจะหากล่องกว้างซัก 22-25 ซ.ม. ถึงจะพับลงได้พอดี ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้มากล่องผ้าพับได้จาก Ikea ขนาดลงตัวสุดครับ

3. คนใส่กับคนเตรียมชุดคนละคนกัน ธรรมดาแม่จะเป็นคนจัดเสื้อผ้าให้พ่อ ทั้งวันที่ไปทำงานและวันที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แต่พ่อผมดันโละกางเกงสแล็กสีดำไปเกือบหมด (น่าจะสิบกว่าตัว สงสัยไม่ค่อยสปาร์คจอย) เหลือแต่กางเกงยีนส์และกางเกงสีอื่นๆ  เอาไว้ แม่เลยโวยวายใหญ่เลยว่าอย่างนี้จะจัดเสื้อผ้าให้ได้ยังไง ผมเลยต้องไปค้นกางเกงที่พ่อโละแล้วขึ้นมาให้แม่ “ฟื้นคืนชีพ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เสื้อผ้าก็สามารถแยกได้สองประเภทคือประเภท Emotional กับ Functional โดยประเภท Emotional (เสื้อผ้าสวยงามใส่แล้วอารมณ์ดี) ควรให้สิทธิ์กับเจ้าของโดยเต็มที่ที่จะตัดสินใจว่ามัน Spark Joy หรือไม่ แต่ประเภท “เพื่อใช้งาน” อย่างชุดชั้นใน กางเกงสแล็ก เสื้อกล้าม เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ดังนั้นควรจะคุยกับคนที่ต้องเตรียมเสื้อผ้า (อย่างภรรยา) ก่อนที่จะโละทิ้ง

4. ของที่เป็น Functional อย่างกางเกงใน ชุดชั้นใน ถุงเท้านั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีเยอะมากมาย ตอนนี้จากความรู้สึกผม ผมว่าพ่อกับแม่ยังมีถุงเท้า เสื้อกล้าม ชุดชั้นในเยอะเกินไปนิดนึงจน “เสื้อผ้าเค้าดูอึดอัด” ตอนนี้พ่อน่าจะมีถุงเท้าทำงานไม่ต่ำกว่า 40 คู่ ถ้าเอาออกไปได้ซัก 10 คู่น่าจะพอดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแล้วแต่เจ้าของครับ

แต่ผลลัพธ์ของวันนี้ก็น่าดีใจไม่น้อย เพราะเราสามารถเอาราวเหล็กแขวนผ้าขนาดยาว 2.4 เมตรออกจากห้องไปได้เลย และเสื้อผ้าต่างๆ ของพ่อกับแม่ก็หยิบง่ายและน่าใช้ขึ้นเยอะ ถือเป็นการแสดงความรักในวันแม่ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

นัดจัดบ้านครั้งต่อไปคงจะได้จัดเอกสารและของจิปาถะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกนะครับผม

IMG_2187 IMG_2182
IMG_2183

—–

ภาพจากกล้องของผู้เขียน ถ่ายเมื่อ 12 สิงหาคม 2558

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

จะรีบไปไหน

20150802_HurryFor

ช่วงนี้ผมกำลังทดลองการเก็บบ้านแบบ KonMari ซึ่งเรียนรู้มาจากหนังสือ The Life-Changing Magic of Tidying Up ของ Marie Kondo โดยตั้งใจว่าภายในสิ้นเดือนนี้จะนำมาเล่าสู่กันฟังแบบเต็มๆ นะครับ (อ่านน้ำจิ้มได้ในตอนถุงเท้าร่ำไห้)

แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องที่เพิ่งคิดได้เมื่อเช้าก่อนครับ

ที่ห้องผมจะมีราวแขวนผ้ายาว 3.6 เมตรที่แม่ผมสั่งทำพิเศษ เป็นราวเหล็กที่แข็งแรงและรับน้ำหนักได้เยอะมาก ดังนั้นเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของผมกับแฟนจึงถูกแขวนไว้ที่ราวนี้ ยกเว้นพวกเสื้อเชิ๊ต กางเกงยีนส์ ถุงเท้าและชุดชั้นในที่จะเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า

เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดอาสาฬหบูชา ผมก็เลยลองปรับเปลี่ยนการเก็บเสื้อผ้าด้วยวิธี KonMari โดยการเอาเสื้อยืดมาพับใส่กล่องแทนที่จะแขวนเอาไว้บนราวเหล็ก

และเมื่อวานนี้ (วันเสาร์) แฟนผมก็ลองพับชุดนอนและกางเกงของเธอลงกล่องด้วยวิธี KonMari เช่นกัน ใช้เวลาไปไม่น้อย แต่เสื้อผ้าก็จัดวางเป็นระเบียบดูสบายตาน่าใช้งาน

20150730_124800

เมื่อเช้านี้ร้านซักรีดมาส่งผ้า ผมก็เลยนำจัดเก็บให้เข้าที่

เริ่มจากคลี่ถุงเท้าที่เขาขมวดเป็นปม มาพับสามทบและจัดเข้ากล่อง เอาเสื้อยืดออกจากไม้แขวนเสื้อมาพับแล้ววางเป็นแนวตั้งลงในกล่อง รวมถึงพับชุดนอนของแฟน (ที่ทำจากผ้าลื่นๆ) มาพับใส่กล่องเช่นกัน

สิ่งที่พบคือวิธีการนี้เสียเวลาพอสมควรเลย แต่ก่อนผมใช้เวลาเก็บไม่เกิน 2 นาทีก็เสร็จแล้ว เพราะเสื้อยืดก็แค่แขวนเอาไว้ ถุงเท้าก็โยนใส่ลิ้นชัก ส่วนชุดนอนก็วางซ้อนกับชุดที่มีอยู่เดิม

แต่ด้วยวิธีเก็บแบบใหม่ผมต้องใช้เวลาถึง 20 นาที เพราะบางทีพับแล้วขนาดไม่เท่ากับชุดอื่นๆ ที่อยู่ในกล่องก็ต้องพับใหม่ หรือจัดเรียงแล้วไม่สวยงามก็ต้องหยิบออกมาจัดใหม่ (โดยเฉพาะชุดนอนแฟนที่เป็นผ้าลื่นๆ นี่จัดให้สวยงามยากมาก)

สำหรับคนที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเรื่อง Productivity* อย่างผม จึงอดไม่ได้ที่จะมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ในใจว่า วิธี KonMari นี่มันดีจริงๆ เหรอ เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าต้องใช้เวลาเพิ่มไม่รู้ตั้งกี่เท่า

แล้วผมก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ทำไมเราถึงคิดว่าวิธีที่เสร็จเร็วกว่าถึงดีกว่าวิธีที่เสร็จช้ากว่า?

หรืออีกนัยหนึ่ง ทำไมเราถึงให้ค่ากับการทำอะไรโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด?

คำตอบที่ตามมา ก็คือเราอยากทำเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วๆ จะได้มีเวลาไปทำเรื่องอื่น

แล้วเรื่องอื่นที่ว่า เราก็อยากทำให้เสร็จเร็วๆ เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่นต่ออีกเช่นกัน

ยิ่งกิจกรรมหนึ่งๆ ใช้เวลาน้อยลงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทำกิจกรรมได้หลายอย่างมากขึ้น ภายใต้ระยะเวลาจำกัดที่เรามี 24 ชั่วโมงต่อวัน

แล้วทำไมเราถึงให้ค่ากับการทำกิจกรรมได้หลายๆ อย่างในหนึ่งวันล่ะ?

เคยเห็นคนที่ชอบขับรถจี้ตูดรถคนอื่น เปิดไฟสูงใส่ และบีบแตรไล่มั้ยครับ?

คนๆ นี้อาจจะอยากรีบกลับให้ถึงบ้าน เพียงเพื่อสุดท้ายแล้วเขาจะได้มีเวลานอนเล่นเฟซบุ๊คเพิ่มขึ้น

หรือเคยเห็นหัวหน้าที่สั่งงานตอนบ่าย และจะเอางานภายในวันนั้น แต่พอเราทนอยู่ดึกเพื่อจะได้ส่งงานตามที่ขอ หัวหน้าก็ดันไม่มีเวลาดูจนถึงวันมะรืนอยู่ดี

ความเร่งรีบของคนเรานั้นสร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้างไม่น้อยเลย

ทำไมคนเราถึงรีบ?

ในยุคบริโภคนิยม เราถูกถาโถมด้วยสินค้าและบริการที่จะช่วยให้เราประหยัดแรงและเวลา โดยเค้าบอกกับเราว่าถ้าเราใช้สินค้าตัวนี้ เราจะมีเวลามากขึ้น เพื่อไปทำอย่างอื่นที่จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

ตกลงก็คือ เรารีบเพื่อจะมีความสุขใช่มั้ย?

ผมคิดว่าเรากำลังติดอยู่ในกับดักความเชื่อที่ว่า ยิ่งทำได้เยอะ และใช้เวลาน้อยลงเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีความสุข นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เรากลายเป็นคนเร่งรีบโดยไม่รู้ตัว

และด้วยความที่เราให้ค่ากับการทำอะไรเร็วๆ จนเคยชิน ตอนนี้เราหลายคนจึง “รีบเพื่อรีบ” ไปอย่างนั้นเอง เพราะเราหลงลืมจุดประสงค์หลักไปนานแล้ว

ถ้าเราระลึกอยู่เสมอว่า สุดท้ายแล้ว ทุกๆ สิ่งที่เราทำก็เพื่อมีความสุขหรือบรรเทาความทุกข์ การทำอะไรโดยใช้เวลาน้อยที่สุด จึงอาจเป็นแค่หนึ่งในหลายวิธีการที่จะนำพาเราไปสู่จุดนั้นได้

การเก็บผ้าแบบ KonMari นั้นใช้เวลาเยอะกว่าแบบเก่าพอสมควร แต่มันก็นำมาซึ่งความชื่นใจทุกเช้าเวลาที่ผมเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะเลือกชุดมาใส่

ขณะที่วิธีการเก็บผ้าแบบเดิมนั้นไม่เคยทำให้ผมรู้สึกดีอย่างนี้ได้เลย แม้ว่ามันจะใช้เวลาน้อยกว่าแค่ไหนก็ตาม

เพราะฉะนั้น การวัดว่ากิจกรรมใดๆ มีคุณค่าแค่ไหน จึงไม่ควรดูแค่ว่ามันใช้เวลามากน้อยเพียงใด

แต่ต้องดูด้วยว่า สุดท้ายแล้วกิจกรรมแบบไหนจะนำพาความสุขมาให้เราได้มากที่สุดครับ

—–

* EDIT: 10:30 2/8/2015 มีคนแนะนำให้แปลด้วยว่า Productivity คืออะไร ผมเลยขออนุญาตลิงค์ไปที่บล็อกนี้ของ CC: Somkiat นะครับ

ภาพจากกล้องผู้เขียน ถ่ายที่เมืองแมนเชสเตอร์เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2558

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ถุงเท้าร่ำไห้

20150712_CryingSocks

จำได้ว่าเมื่อตอนต้นปี ผมได้เล่าให้ฟังว่ากำลังจะเป็นหนี้ก้อนใหญ่ด้วยการซื้อบ้านใหม่

ตอนนี้เป็นหนี้เรียบร้อยแล้วครับ อยู่ในช่วงรอเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาที่จะมาเติมครัวไทยและส่วนอื่นๆ ภายในบ้าน และหวังว่าพวกเราจะได้ย้ายเข้าบ้านใหม่ภายในเดือนกันยายนนี้

โจทย์ใหญ่ที่ผมกับแฟนคุยกันมาตลอด ก็คือจะทำอย่างไรให้บ้านหลังใหม่ไม่รก

ต้องขอสารภาพตามตรงว่าบ้านที่อยู่ปัจจุบันรกได้ที่ทีเดียว

สาเหตุหนึ่งเพราะทุกคนในบ้านมีภารกิจทุกวัน และเราก็ไม่มีแม่บ้านมาดูแลทำความสะอาดด้วย ภาระหนักจึงมักตกอยู่กับแม่ของผมในวันที่ไม่ได้ออกไปไหน

เอาเข้าจริง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าจะย้ายบ้านมากี่ครั้ง หรือจะมีคนช่วยทำความสะอาดหรือไม่ บ้านผมก็ยังไม่เคยเรียบร้อยเหมือนบ้านคนอื่นเขา

เผอิญใน Quora มีคนพูดถึงหนังสือเรื่อง The Life-Changing Magic of Tidying ที่เขียนโดย Marie Kondo (มาริเอะ คนโด) หญิงสาวชาวญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้ขายไปแล้วถึง 1.5 ล้านเล่ม ผมเลยลองไปซื้อมาอ่าน ตอนนี้อ่านได้เกือบครึ่งเล่มแล้ว

ตอนแรกกะว่า ไว้ผมอ่านจบทั้งเล่ม และได้ลองกับที่บ้านเมื่อไหร่ ก็ว่าจะเอามาเล่าให้ฟัง

แต่เผอิญวันนี้ผมอ่านเจอตอนหนึ่งที่มันโดนใจผมมาก เพราะคุณมาริเอะชี้ให้ผมเห็นถึงมุมมองที่ไม่เคยคิดมาก่อน เลยอยากเอามาเล่าให้ฟังก่อนเป็นน้ำจิ้ม

เป็นเรื่องการเก็บถุงเท้าครับ

คุณเก็บถุงเท้าด้วยวิธีไหน?

ผมเคยเห็นมาสี่วิธี

1. เอาถุงเท้าสองข้างมาซ้อนกัน ม้วนขึ้นไป แล้วปลิ้นเอาปลายเปิดมาหุ้มถุงเท้าไว้ทั้งหมดจนกลายเป็นลูกบอล

2. เหมือนวิธีข้างบน แต่แทนที่จะใช้ถุงเท้าหุ้ม ก็ใช้หนังยางรัดแทน

3. เอาถุงเท้ามาซ้อนกัน แต่ไม่ม้วน แค่ปลิ้นปลายมาหุ้มปลายอีกข้าง (อันนี้แม่บ้านของผมที่นิวซีแลนด์ชอบใช้)

4. เอาถุงเท้ามาซ้อนกัน แล้วผูกเงื่อนเหมือนผูกเชือก

พอทำตามข้อใดในสี่ข้อนี้แล้ว เราก็จะเก็บเข้าลิ้นชัก

สิ่งที่แมริเอะบอกก็คือ ห้ามม้วนถุงเท้าเป็นลูกบอลหรือเอาถุงเท้ามาผูกกันเด็ดขาด

เรารู้กันดีว่าวิธีที่หนึ่งนั้นจะมีผลเสียทำให้ยางยืดในถุงเท้าเสื่อมเร็ว

แต่มาริเอะไปไกลยิ่งกว่านั้น

เธอบอกว่าวิธีการเก็บแบบนั้นจะทำให้ถุงเท้าไม่ได้พัก

ถุงเท้าไม่ได้พัก??!!

ใช่ครับ เธอบอกว่า ลองคิดดูสิ เวลาถุงเท้ามันรับใช้เรา มันต้องรับภาระหนักแค่ไหน ต้องทนให้เราเหยียบทั้งวัน ทั้งร้อน ทั้งชื้น ทั้งเหม็น เพื่อปกป้องเท้าที่เรารักไม่ให้โดนรองเท้ากัด

ช่วงเวลาหลังจากถูกซักและมาอยู่ในลิ้นชักของเรานี่แหละ คือช่วงเวลาเดียวที่มันจะได้พักผ่อน หลังจากต้องตรากตรำงานหนัก

แต่แทนที่มันจะได้พักผ่อน เรากลับจับมันมาทำเป็นลูกบอล แล้วก็โยนกองๆ กันไว้ เวลาเราเปิดลิ้นชักที มันก็ต้องกระเด็นกระดอนทุกครั้ง

แล้วถ้ามีถุงเท้าคู่ไหนโชคร้ายดันไปตกอยู่ด้านในสุดของลิ้นชัก กว่าเราจะเจอแล้วหยิบมันมาใส่ ก็สายไปเสียแล้ว เพราะว่ายางยืดหมดแล้ว รอเพียงเวลาโดนทิ้งลงถังขยะเท่านั้น

ถ้าถุงเท้ามันพูดได้ มันก็คงตัดพ้อว่า “ทำไมนายทำกับเราแบบนี้?”

ผมงี้อึ้งไปเลย…

ฝรั่งคิดแบบนี้ไม่ได้แน่

แล้วมาริเอะก็สอนวิธีการพับถุงเท้าที่ถูกต้องครับ อธิบายเป็นคำพูดจะงงเสียเปล่าๆ ดูวีดีโอเอาง่ายกว่า


(คนในวีดีโอนี้ไม่ใช่มาริเอะนะครับ ถ้าอยากเห็นหน้าให้ดูวีดีโอนี้แทน)

บ่ายนี้พอดีมีเวลาว่างเลยขอลองซักหน่อย

ผมกับแฟนแชร์ลิ้นชักที่ใส่ถุงเท้าด้วยกัน โดยแฟนเค้าจะซื้อกล่องสีดำจาก Ikea มาเอาไว้ใส่ของอีกที

พอเอากล่องออกมาดูก็อดละอายใจไม่ได้ที่ถุงเท้าของผมไปกินพื้นที่กล่องถุงเท้าของแฟนเกือบหมดเลย

20150712_152914กล่องถุงเท้าผม

20150712_155018กล่องถุงเท้าแฟนที่โดนถุงเท้าผมรุกราน

ว่าแล้วก็ลองพับถุงเท้าด้วยวิธี KonMari (มาจากชื่อผู้เขียนหนังสือ ลองหาคำนี้ใน Youtube ดูครับ ฝรั่งกำลังเห่อวิธีนี้มาก)

ระหว่างที่ทำก็จะเห็นเลยว่า วิธีเก็บถุงเท้าแบบเดิมนั้นทำให้ถุงเท้ามัน “เครียด” และ “ทรมาน” แค่ไหน

20150712_155300

ถุงเท้าบางคู่ ก็ยางยืดและมอมเหลือเกินแล้ว และผมก็ใช้เทคนิค KonMari อีกครั้ง ด้วยการหยิบถุงเท้าขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่า “Does it spark joy?” –  เวลาเราสัมผัสและมองถุงเท้าคู่นี้แล้ว มันทำให้เรามีความสุขรึเปล่า?

มาริเอะบอกว่า ถ้าไม่มีความสุขหลงเหลืออยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมันไว้ ให้ขอบคุณถุงเท้าคู่นั้นที่ได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จสมบูรณ์แล้ว และเก็บลงถุงซะ (ส่วนจะเอาไปบริจาคหรือไปทิ้งนั้นก็เป็นเรื่องของเรา)

20150712_163454ถุงเท้าที่ลาจากกันด้วยดี

หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมง ก็ได้ผลลัพธ์แบบนี้ครับ

20150712_162417กล่องถุงเท้าผม

20150712_162406กล่องถุงเท้าแฟน (แถวบนมีถุงเท้าผมแทรกอยู่ด้วย)

20150712_162425

สองกล่องวางคู่กัน

ก็น่าสนใจว่า จะเรียบร้อยอย่างนี้ไปได้ซักกี่น้ำ (ไว้จะมารายงานผล) เพราะใช่ว่าเราจะมีเวลามานั่งทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ

แต่ระหว่างนั่งพับถุงเท้า ผมกลับรู้สึกว่ากิจกรรมนี้สร้างสรรค์กว่าเล่นมือถือเยอะเลย เหมือนเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง แถมเป็นการได้คุยกับตัวเองด้วย

เลยคิดว่าวันธรรมดาเวลากลับถึงบ้าน ก่อนจะเล่นมือถือ ถ้านั่งพับถุงเท้าซักสองสามคู่ก็น่าจะทำได้นี่นะ

อีกสิ่งหนึ่งที่ “ผุด” ขึ้นมาก็คือ รอยยับในถุงเท้า (หรือความรกในบ้านเรา) สุดท้ายแล้วมันก็จะสะท้อนมาเป็นรอยยับในใจเรานี่แหละ เลยยิ่งมีแรงจูงใจที่จะเก็บบ้านให้สะอาดมากขึ้นไปอีก

ผมเอากล่องที่ใส่ถุงเท้า เก็บเข้าลิ้นชัก ส่วนถุงเท้าฟุตบอลคู่ใหญ่ๆ ก็พับครึ่งและม้วนเป็นซูชิโรลวางไว้ด้านนอกกล่อง

ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านรู้สึกเหมือนผมรึเปล่า…

ผมว่าถุงเท้ากำลังยิ้มให้ผมอยู่

20150712_163117