เมื่อคืนนี้ชาวไทยหลายสิบล้านคนคงจะกลับถึงบ้านและนั่งดูฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศกีฬาซีเกมส์ระหว่างทีมไทยและทีมเมียนม่า
ผลคือพี่ไทยเราชนะไป 3-0 แม้กว่าจะได้ประตูแรกมาต้องรอถึงนาทีที่ 54 เพราะ “คยอ ซิน เปียว” ผู้รักษาประตูพม่านั้นเหนียวเหลือเกิน (ผมต้องขอจดชื่อผู้รักษาประตูเขาเอาไว้เพราะสื่อไทยคงจะไม่ได้เอ่ยถึงมากนัก)
ช่วงนี้ฟุตบอลไทยคึกคักมาก เมื่อคืนตอนค่ำชุด U-23 ชิงซีเกมส์ พอตี 2.45 ทีมชาติหญิงของเราก็เตะบอลโลกกับเยอรมันนี อดีตแชมป์โลกสองสมัย ผลคือเราแพ้ไป 0-4 (โดยสามในสี่ลูกนั้นเป็นลูกโหม่ง!) ส่วนเย็นวันนี้ตอน 18.30 ทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่นำโดยโค้ชเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ก็จะเตะบอลโลกรอบคัดเลือกกับไต้หวัน ซึ่งน่าจะเป็นเกมที่สนุกอีกเช่นกัน (จบครึ่งแรกไทยนำอยู่ 2-0)
เห็นทีมชาติชุดเล็กชุดใหญ่ทั้งชายหญิงกำลังไปได้ดีอย่างนี้ ในฐานะคนไทยก็ต้องปลื้มใจไม่น้อย
วันนี้เลยขอนำเรื่องความประทับใจที่ผมมีต่อทีมชาติไทยชุดแชมป์ซีเกมส์นี้มาบันทึกไว้ครับ
1. ยิงได้ทั้งทีม ซีเกมส์หนนี้ทีมชาติไทยชนะ 7 นัดรวด ยิงไปทั้งหมด 24 ประตู เสียแค่ประตูเดียวตอนเจอเวียดนาม เห็นยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำอย่างนี้ ชนานันท์ ป้อมบุปผา คนที่ยิงประตูได้มากที่สุดของทีมกลับยิงไปแค่ 5 ประตู ได้เป็นดาวซัลโวร่วมกับสิตูอ่องของเมียนม่า และโวฮุยตวนจากเวียดนาม ส่วนอีก 19 ประตูที่เหลือมาจากผู้เล่นถึง 12 คน นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทีมที่ไม่ต้องพึ่งพากองหน้าคนใดเป็นพิเศษ
2. ซุปตาร์ใจกว้าง ผมเพิ่งได้เห็นฟอร์มการเล่นของเมสซี่เจเต็มๆ ก็วันนี้เอง ทั้งทัวร์นาเม้นต์นี้ ชนาธิป สรงกระสินธิ์ยิงไปแค่ลูกเดียว แต่ถ้าใครได้ดูเกมนัดชิงจะรู้ซึ้งเลยว่าเด็กคนนี้เล่นบอลเก่งแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลหรือการส่งลูก killer pass จนกองหลังพม่าที่หน้าตาเหมือนริวัลโดหลังหักไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่แม้เมสซี่เจจะเป็นหนึ่งในสตาร์ของทีมชาติ น้องเค้าก็ไม่แสดงให้เห็นถึงอีโก้หรือความเซลฟ์จัดเลย เล่นเพื่อทีมและพร้อมใส่พานให้เพื่อนได้เกิดตลอด
3. ทางบอลเป็นเยี่ยม นักเตะชุดนี้ทักษะดีทุกคน ลูกที่ผมประทับใจที่สุดคือจังหวะที่ธนบูรณ์ เกษารัตน์กองหลังเบอร์ 17 ของเราตัดบอลพม่าได้อย่างหมดจดตอนที่เค้าจะเคาท์เตอร์แอ็ทแทคในนาทีที่ 30 แค่ตัดบอลยังไม่พอ ยังอุตส่าห์แตะบอลอีกครั้งเพื่อหลบนักเตะพม่าอีกคนที่วิ่งมาซ้อน แถมยังส่งบอลถึงเท้าเพื่อนร่วมทีมด้วย เทพจริงๆ
4. ขยันขันแข็ง แต่ก่อนนักเตะไทยเก่งๆ มักจะขี้เกียจ แต่ทีมนี้วิ่งสู้ฟัดกันทั่วสนาม แถมไม่เห็นมีใครเป็นตะคริวกันซักคนทั้งๆ ที่มีเวลาพักแค่สองวันนับจากตอนแข่งรอบรองชนะเลิศ มีช็อตนึงที่ผมจำได้แม่น (แต่ตอนนี้ยังหาใน Youtube ไม่เจอ) ก็คือตอนครึ่งหลังที่เราดันเกมมาทางริมเส้นฝั่งขวาแล้วตบบอลเข้ามาบริเวณกรอบเขตโทษ แต่นักเตะของเราจับบอลไม่ดีแล้วเสียบอลให้เมียนม่าโต้กลับ นักเตะคนที่ทำพลาดก็วิ่งกลับจากกรอบเขตโทษฝั่งเมียนม่ามาแย่งบอลคืนตรงกรอบเขตโทษของเรา เป็นการแก้ตัวที่ประทับใจมาก
5. ไม่มีตุกติก ตลอดสองเกมที่ผมดูทีมไทยเตะมา ผมไม่เจอนักเตะไทยคนไหนเล่นไม่ซื่อกับคู่แข่งเลย ทุกอย่างวัดกันด้วยฝีมือล้วนๆ ไม่มีแอบดึงเสื้อหรือ “ออกลูกแถม” และไม่มีใครพุ่งล้มหรือแกล้งสำออย ถ้าจะให้รางวัลนักเตะมารยาทงามกับทีมชาติไทยชุดนี้ก็น่าจะเหมาะสม
6. ใจเย็นเป็นน้ำ ความใจเย็นอยู่ในระดับน่าขนลุกกันเลยทีเดียว เพราะแมทช์ที่เจออินโดนีเซียในรอบรองฯ นั้น ทีมเราโดน “นูเฟียนดานี” เบอร์ 7 ของอินโดนีเซียจัดไปหลายดอก ดอกที่หนักที่สุดคือจังหวะที่เขาเอาปุ่มสตั๊ดย่ำไปที่หัวของอาทิตย์ ดาวสว่าง แต่ไม่น่าเชื่อว่าอาทิตย์ไม่แสดงอาการโกรธออกมาซักนิด (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็โดนเบอร์ 7 ย่ำที่ตักไปรอบนึงแล้ว) แถมที่อเมซซิ่งยิ่งกว่าคือเพื่อนๆ ในทีมชาติไทยก็ไม่มีใครไปฮึดฮัดใส่นูเฟียนดานีหรือตัดพ้อกับกรรมการเลย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นบอลไทยชุดก่อนๆ มีวางมวยกันไปแล้วครับ น่าสนใจว่าโค้ช/พ่อแม่อบรมด้วยวิธีไหน ถึงสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขนาดนี้
7. อ่อนน้อมถ่อมตน จบเกมส์แล้วนักบอลของเราเดินไปไหว้ขอบคุณคู่แข่ง กรรมการ และคนดูรอบสนาม ผมว่านี่คือเสน่ห์ของคนไทยที่หาไม่ได้ในชาติไหน
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว พอได้ยินประโยค “บอลไทยจะไปบอลโลก” บางคนอาจหัวเราะเยาะ และบางคนอาจหัวเราะแบบขื่นๆ
แต่ผมเริ่มมีความหวังนิดๆ แล้วครับ
ว่าถ้าทีมชาติไทยของเรายังรักษาคุณสมบัติเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน
การไปบอลโลกอาจไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไปแล้วก็ได้
—–
ขอบคุณภาพจาก Facebook Page ฟุตบอลทีมชาติไทย
—–
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ Archives
พบกับบทความใหม่ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings ครับ



