กังวลไปไย

20150215_WorryingWorks

Worrying works! 90% of the things I worry about never happen.
– Unknown

ช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้ว ผมตั้งใจจะจัดงานมินิมาราธอนของบริษัท

ที่จัดเดือนนี้ เพราะอากาศเย็นสบาย (เช้านี้ก็อากาศเย็นสบาย) และเราอยากให้สอดคล้องกับวันวาเลนไทน์ด้วย ถึงขนาดดีไซน์เสื้อที่มีโลโก้รองเท้าวิ่งผูกเชือกรองเท้าเป็นรูปหัวใจ และมีคำขวัญว่า Love to Give, Live To Run.

แต่บังเอิญงานของเราจัดที่สวนลุม

แล้วบังเอิญสวนลุมไม่ว่าง เพราะมีคนชุมนุมอยู่

เราจึงจำเป็นต้องเลื่อนงานมาราธอนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดรัฐประหารปลายเดือนพฤษภาคม พอมั่นใจว่าสวนลุมน่าจะว่างแล้วแน่ๆ เราจึงประกาศว่างานมินิมาราธอนที่เลื่อนมาหลายรอบจะกลับมาจัดวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฏาคม

จริงๆ แล้วตอนแรกผมอยากจะให้เลื่อนไปจัดสิ้นปี จะได้ไม่ต้องลุ้นเรื่องฝน แต่ที่ประชุมเห็นว่าเราควรจะมีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกันได้แล้ว หลังจากต้องคร่ำเครียดกับเรื่องการเมืองมาหลายเดือน

สุดท้ายก็เลยต้องเดินหน้า แม้มีความเสี่ยงว่างานจะล่มเพราะฝนก็เถอะ

หัวหน้าชาวอังกฤษของผมเป็นคนค่อนข้างขี้กังวลอยู่แล้ว ช่วงสองสัปดาห์ก่อนงาน เขาเลยเปิดพยากรณ์อากาศเกือบทุกวัน เพื่อดูว่าโอกาสที่ฝนจะตกมีเท่าไหร่

ส่วนผมตัดสินใจไม่เปิดดูเลย เพราะถึงจะบอกว่าโอกาสฝนตกน้อย ก็ใช่ว่าจะไม่ตก หรือถ้าเขาบอกว่าโอกาสฝนตกมาก ก็ไม่ได้แปลว่าจะตก

ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนงานนั้น ฝนตกแทบทุกวันเลยครับ และชอบตกเวลาใกล้ๆ เลิกงานด้วย (เหมือนจะแกล้งให้พวกเรารถติด) ช่วงเช้าอากาศจะดี ตอนบ่ายจะเริ่มครึ้มๆ และสี่ห้าโมงค่อยเทลงมา

ตามกำหนดการ เราจะออกวิ่งกันตอน 5 โมงเย็น เป็นช่วง Prime Time ของฝนเลยก็ว่าได้

วันที่มีงานนั้น ผมไปถึงลานตะวันยิ้มที่สวนลุมพินีตั้งแต่บ่ายสองโมง เพื่อเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย เห็นเมฆดำครึ้มๆ ลอยอยู่ไกลๆ

บ่ายสาม เมฆดำก้อนใหญ่เริ่มลอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ผมเงยหน้ามองเมฆทุก 5 นาทีเลยก็ว่าได้ จนใกล้ๆ สี่โมงเย็นแล้วนั่นแหละ ที่เริ่มเห็นว่าลมจะพาเมฆก้อนนั้นไปทางอื่น ผมเลยโทร.ขึ้นไปบอกหัวหน้าว่า งานนี้น่าจะเดินต่อไปได้

สี่โมงครึ่งพนักงานในชุดวิ่งร่วม 400 ชีวิตก็มารวมตัวกันที่ลานตะวันยิ้ม และออกวิ่งพร้อมกันตอนห้าโมงพอดี

6 โมงครึ่ง งานวันนั้นก็จบลงด้วยดีครับ

ต้องขอบคุณพระพิรุณที่ทรงมีเมตตา และช่วย “อั้น”เอาไว้

เพราะวันถัดมา (ซึ่งเป็นวันศุกร์) จำได้เลยว่าฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นสวนลุม ทั้งๆ ที่ออฟฟิศผมและสวนลุมห่างกันแค่ความกว้างของถนนพระราม 4

—–

เขียนมาซะยืดยาว เพียงเพื่อจะบอกว่า กังวลไปก็เท่านั้น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราเพียงแต่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ

กิต เพื่อนของผมที่เรียนป.ตรีด้วยกัน เคยพูดประโยคนี้ตอนพวกเราหนุ่มๆ ว่า

“ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน”

เก่งจริงไม่ต้องบอก

20150210_GoodGreat

When you’re good at something, you will tell everyone. When you’re great at something, they’ll tell you.

-Walter Payton

 

ผมว่าคนไทยไม่ใช่คนขี้อวด

ที่ไม่อวดอาจจะเพราะว่าเราเป็นคนถ่อมตัวโดยธรรมชาติ

แต่ผมเดาว่าส่วนใหญ่เราไม่ค่อยอวดเพราะว่ากลัวโดนหมั่นไส้

คำว่าหมั่นไส้นี่ไม่มีในภาษาอังกฤษนะครับ อาจจะเพราะว่าฝรั่งไม่มองว่าการนำเสนอว่าตัวเองมีอะไรดีเป็นสิ่งผิด

ดังนั้นในห้องเรียนฝรั่ง ถ้าอาจารย์ถามอะไร เด็กจะแย่งกันยกมือตอบ ทั้งเด็กเรียนดีและเด็กเรียนไม่ดี

ขณะที่ในห้องเรียนไทย เราแทบจะยกสัมปทานให้เด็กเรียนดีรับหน้าที่นี้ไปเลย

—–

เวลาเราเก่งเรื่องอะไร เราจะอยากบอกทุกคน

ผมเองเป็นคนมีหัวเรื่องวิชาเลข

ตอนชั้นประถม เราก็อยากจะโชว์ความเก่งนี้ออกมา แต่จะทำอย่างไรไม่ให้น่าเกลียด?

คำตอบคือตอนสอบครับ

ผมจะพยายามทำข้อสอบให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ออกจากห้องสอบเป็นคนแรก

จำได้เลยว่า ตอนยกมือบอกอาจารย์ว่าเสร็จแล้ว และเดินออกจากห้องในขณะที่เพื่อนๆ ทั้งหลายยังก้มหน้าก้มตานั้น รู้สึกว่าตัวเองเท่ชะมัด

เท่อยู่หลายวันจนถึงวันประกาศผล ที่ปรากฏว่าคะแนนสอบของผมน้อยกว่าเพื่อนอีกหลายๆ คนที่ทำข้อสอบช้ากว่าแต่รอบคอบกว่า

อาการ “อยากออกจากห้องสอบเป็นคนแรก” จึงค่อยๆ ทุเลาลง และหายไปในที่สุดตอนขึ้นชั้นมัธยม

—–

ถ้าเรามีความเป็นเลิศด้านไหน ผู้คนเค้าจะเอ่ยปากบอกเราเอง

สมัยหนุ่มๆ เวลาเพื่อนคิดไม่ตก หลายคนจะมาปรึกษาผม ตั้งแต่ปัญหาหัวใจยันเหตุการบ้านเมือง ทั้งๆ ที่ผมเองก็ประสบการณ์ต่ำมากทั้งสองเรื่อง

แต่การที่เขายังมาหาเราบ่อยๆ แสดงว่าเพื่อนต้องเห็นว่าเรามีมุมมองที่จะมีประโยชน์ต่อเขาได้

อีกหนึ่งทักษะที่ผมไม่เคยคิดว่าจะโดดเด่นแต่ประการใดคือเรื่องขีดๆ เขียนๆ

เพราะจริงๆ แล้ว ผมเป็นคนเล่าเรื่องไม่เก่ง ไม่ค่อยมีลูกล่อลูกชนอะไร เวลานั่งอยู่ในวงสนทนาผมแทบจะเป็นคนพูดน้อยที่สุดด้วยซ้ำไป (ยกเว้นต้องพูดด้วยหน้าที่)

แต่หลังจากแจกหนังสือในงานแต่งงานไป กลับได้รับคำชมเกินคาด ผู้ใหญ่บางคนถึงกับออกปากฝากพ่อผมมาบอกว่า อย่าหยุดเขียน

เมื่อคนอื่นๆ บอกผมว่าผมมีมุมมองที่น่าสนใจ และมีทักษะด้านการเขียน ผมก็เลยตัดสินใจลงมือเขียนบล็อกจริงๆ จังๆ ในปีนี้

แล้วคุณล่ะ มีใครบอกคุณรึยังว่าคุณเก่งเรื่องอะไร?

แล้วคิดจะทำอะไรกับมันบ้างรึเปล่า?

บอลห้าลูก

20150209_TheJuggler

ชีวิตคนเราก็เหมือนตัวตลกหรือ Juggler ในคณะละครสัตว์

Juggler – คำๆ นี้ไม่มีในภาษาไทย

คำว่า Juggle ที่เป็นคำกิริยา ก็ไม่มีคำแปลตรงๆ ในภาษาไทยอีกเช่นกัน

คำแปลที่ผมพอจะหาได้และใกล้เคียงที่สุดคือในดิคชันนารีของ Sanook ที่แปลไว้ว่า “โยนและรับลูกบอลหรือสิ่งของอย่างต่อเนื่อง”

พอจะนึกภาพออกใช่มั้ยครับ

ถ้าเรามีบอลสองลูก เราโยนลูกหนึ่งขึ้นในอากาศ แล้วพอมันจะลงมาสู่มือเรา เราก็โยนอีกลูกนึงขึ้นไปแทน

คนที่ทำเก่งๆ ก็จะสามารถเพิ่มลูกบอลเป็นสามลูก หรือมากกว่านั้นได้

ไบรอัน ไดซั่น (Bryan Dyson) อดีต CEO ของโค้กเคยกล่าวไว้ว่า

เราทุกคนมีบอลอยู่ห้าลูกที่ต้อง Juggle อยู่ตลอดเวลา

Work
Family
Health
Friends
Spirit

ตามการตีความของผม Work ก็คืออะไรก็ตามที่เราทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ ไม่ว่ามันจะเป็นงานประจำหรือการลงทุนเพื่อให้มีเงินมากขึ้น

Family หรือครอบครัวนั้น ก็คือ พ่อแม่พี่น้อง สามี ภรรยา และลูก

Friends ก็คือเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน หรืออาจจะหมายรวมถึงคนที่เราสมาคมด้วยแม้จะไม่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็ตาม

Health คือสุขภาพของตัวเอง นั่นคือการพักผ่อนให้เพียงพอ การกินอาหารให้ครบมื้อ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีร่างกายที่สมบูรณ์

Spirit หรือ จิตวิญญาณ คำนี้นิยามยากหน่อย แต่ในความเข้าใจของผม คือการดูแลจิตใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามความเชื่อตามศาสนาของตน การได้นั่งทบทวนอะไรเงียบๆ การอ่านหนังสือดีๆ ซักเล่ม หรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้มีสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ

คุณไบรอันกล่าวต่ออีกว่า บอลทั้งห้าลูกที่เราพยายามจะ juggle อยู่ตลอดเวลานั้น มีสี่ลูกที่ทำมาจากแก้ว (glass balls) และอีกหนึ่งลูกที่ทำมาจากยาง (rubber ball)

คุณคิดว่าบอลลูกไหนที่ทำมาจากยาง?

—–

—–

—–

—–

—–

—–

ผมถามคำถามนี้มาหลายครั้ง กับใครหลายๆ คน

บางคนตอบว่า เพื่อน เป็นบอลยาง เพราะถึงจะไม่ได้ติดต่อกันนาน มาเจอกันใหม่ความเป็นเพื่อนก็ยังคงเดิม

บางคนตอบว่า Spirit เพราะถึงจะไม่สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือมีเวลากับตัวเองมากนัก ก็อยู่มาได้สบายดี

แต่ในทัศนะของคุณไบรอันก็คือ เขาบอกว่า งาน คือบอลยางครับ

ถึงแม้เราจะส่งงานสาย เราก็อาจจะโดนหัวหน้าตำหนิ แต่ก็ยังกลับมาทำงานได้ใหม่

ถึงแม้เราจะโดนเลย์ออฟ แต่ถ้าเรามีความสามารถซะอย่าง ก็หางานใหม่ได้ไม่ยาก

ถึงแม้จะทำธุรกิจเจ๊ง จนล้มละลาย ก็ยังสามารถกลับมาตั้งตัวใหม่ได้

เพราะแม้เงินหรืองานจะหายไป แต่ความรู้กับประสบการณ์ก็ยังอยู่กับเรา

บอลยางนั้น ยิ่งตกมาไกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระเด้งขึ้นได้ไกลเท่านั้นนะครับ

ในทางกลับกัน ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน และ จิตวิญญาณนั้น ถ้าเราทำมันตกเมื่อไหร่ ถ้าไม่แตก ก็ถือว่าโชคดีมากๆ

แต่อย่างน้อยมันก็จะยังมีรอยร้าวอยู่ดี

และต่อให้คุณมีกาวชั้นเลิศขนาดไหน รอยร้าวนั้นก็ไม่สามารถกลับมาผสานสนิทกันได้เหมือนเดิม

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนกรุงเทพอย่างเรานั้น คือปฏิบัติกับงานราวกับว่ามันเป็นบอลแก้ว และทำกับบอลสี่ลูกที่เหลือราวกับว่ามันเป็นบอลยาง

เราสัญญาว่าจะไปดูลูกขึ้นแสดงในงานโรงเรียน แต่เราติดประชุมด่วนไม่ได้ไป ลูกอาจจะจดจำความผิดหวังนี้ไปจนโต

เรานั่งทำงานจนดึกดื่น พักผ่อนไม่เพียงพอจนเป็นไมเกรน ท้องผูก กรดไหลย้อน และอีกสารพัดโรค ทั้งๆ ที่ก็ดีอยู่แก่ใจว่าร่างกายไม่เหมือนรถยนต์ที่จะมียางอะไหล่ให้เปลี่ยน

เพื่อนๆ นัดกินข้าวกันปีละหลายครั้ง แต่เราไม่เคยโผล่ไปเลยซักครั้งโดยอ้างว่าติดธุระ หรือเพราะคิดว่าไปก็มีแต่เสียตังค์ คิดหรือว่าเพื่อนจะมองเราเหมือนเดิม

และถ้าเรามัวแต่คิดเรื่องอยากทำงานให้เยอะๆ จะได้รวยไวๆ โดยไม่มีเวลาทบทวนตัวเองเลย ก็อาจจะเสียสติก่อนจะได้ใช้เงิน หรือถึงยังมีสติก็อาจจะไม่เหลือคนที่จริงใจด้วยเหลืออยู่แล้ว

จากนี้ไป ระวังอย่าทำบอลแก้วตกอีกนะครับ

—-

Sources: Changing Winds – How Many Balls Can You Juggle? 30 Seconds of Impeccable Sense from Brian Dyson

มาว้าวกันเถอะ

201501121_Wow

คนไทยอาจจะไม่รู้จักบริษัทที่ชื่อ Zappos มากนัก

แต่ที่อเมริกา Zappos มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่อง Customer Service หรือการบริการลูกค้า

คุณคิดว่า Zappos ขายอะไร?

ถ้าคุณเป็นเหมือนผม คุณอาจจะนึกว่าเขาขายไฟแช็ค

นั่นมัน Zippo ครับ! http://www.zippo.com/

Zappos เป็นร้านขายรองเท้าออนไลน์ครับ ถ้าอ่านออกเสียงแบบไทยๆ ก็อ่านว่าแซปโป้

ใครจะไปนึกว่าร้านขายรองเท้าออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีพนักงานต้อนรับตัวเป็นๆ จะโดดเด่นด้าน Customer Service

การบริการลูกค้าอันเยี่ยมยอดของ Zappos นี่ถูกเล่าขานเป็นตำนานไว้หลายเรื่องนะครับ

ยกตัวอย่างเช่น

เรื่องที่ 1

Zappos เน้นมากเรื่องความพอใจในตัวสินค้า ถ้าลูกค้าไม่พอใจสินค้าชิ้นไหนก็ตาม Zappos จะรับรองเท้าคืนโดยไม่มีข้อแม้ แถมออกค่าส่งรองเท้าคืนให้อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น Zappos ยังยินดีให้ลูกค้าสั่งรองเท้าไปหลายๆ คู่ เช่นผมอาจจะสั่งรองเท้ามาซัก 6 คู่ สุดท้ายผมลองแล้วอาจจะชอบแค่ 2 คู่ ผมก็สามารถส่ง 4 คู่ที่เหลือคืนได้ฟรีๆ และ Zappos ก็จะ refund รองเท้าทั้งสี่คู่นั้น

————

เรื่องที่ 2

ธรรมดาพนักงาน call center จะพยายามคุยกับลูกค้าให้เร็วที่สุดและสั้นที่สุด เพื่อที่จะได้รับลูกค้าได้วันละมากๆ

ที่ Zappos ไม่ได้วัดผลงานของพนักงานว่าวันหนึ่งรับได้กี่สาย

แต่ให้ใช้วิจารณญาณเอาเองว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าแฮปปี้

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2555 Zappos ทำสถิติใหม่สำหรับ customer service call ที่ใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมง 29 นาที

เนื้อหาในการคุยส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับรองเท้าของ Zappos เลย แต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ใน Las Vegas (ผมเดาว่าลูกค้าคงกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ละแวกนี้) และพนักงานรับสายของ Zappos คนนี้ก็ยินดีที่จะให้คำแนะนำอย่างเต็มใจ

สุดท้ายลูกค้าคนนี้ก็ซื้อรองเท้ายี่ห้อ UGG ไปหนึ่งคู่ถ้วน

————

เรื่องที่ 3

ชายหนุ่มชื่อ Jay ได้รับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานเพื่อนซึ่งอยู่อีกรัฐหนึ่ง

เจสั่งรองเท้ากับ Zappos เพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยสั่งรองเท้าหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันงาน และใช้บริการส่งแบบธรรมดาคือสามวันถึง

นั่นแปลว่ารองเท้าควรจะส่งที่บ้านของเจอย่างน้อยสามวันก่อนวันที่เขาต้องขึันเครื่องบินไปงานแต่งงานเพื่อน

แต่ปรากฎว่าบุรุษไปรษณีย์ของ UPS ส่งรองเท้าไปผิดที่ วันพรุ่งนี้ต้องบินแล้วรองเท้าก็ยังมาไม่ถึงบ้าน

เจโทร.ไปที่ UPS ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร เจเลยโทร.ไปที่ Zappos แทน

พนักงานรับสายของ Zappos ช่วยแก้ปัญหาด้วยการจัดการส่งรองเท้าคู่ใหม่ไปให้ที่งานแต่งงานเลย โดยใช้บริการแบบ Overnight คือส่งวันนี้พรุ่งนี้ถึง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม

ยังไม่พอ Zappos ยังทำการอัพเกรดให้เจเป็นลูกค้า VIP ซึ่งหมายความว่าเจจะได้รับบริการส่งรองเท้าแบบ overnight ไปตลอดชีพ

ยังไม่พอ Zappos ยังคืนค่ารองเท้าให้เจหมดทุกบาททุกสตางค์

นั่นหมายความว่าเจได้รองเท้าฟรีๆ มาใส่หล่อๆ ในงานแต่งงานเพื่อน แถมยังได้กลายเป็นลูกค้า VIP ด้วย

หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ เจบอกว่าจากนี้ไปเขาจะซื้อรองเท้าจาก Zappos ที่เดียวเท่านั้น

————

Anything worth doing is worth doing with Wow.

อะไรที่ควรทำก็ทำให้มันเจ๋งสุดๆ เอาแบบให้คนเค้าร้องว้าว! กันไปเลย

กลับมาดูตัวเอง วันๆ หนึ่งเราได้ทำให้ “ลูกค้า” ของเรารู้สึก “ว้าว” บ้างมั้ย?

ถ้าเราเป็นพนักงานบริษัท ลูกค้าของเราก็คือหัวหน้า หรือทีมอื่นๆ ที่รับงานต่อจากเรา

การทำงานทุกชิ้นให้ “ว้าว” ทั้งหมดอาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะเวลาเรามีจำกัด และงานบางชิ้นเราก็ไม่ค่อยอยากทำหรือมองว่าไม่สำคัญเท่าไหร่ จึงทำให้มันเสร็จๆ ไปตามหน้าที่

แต่ถ้างานบางชิ้นมันสำคัญมากๆ ผมว่ามันก็น่าจะดีที่จะทุ่มเทเวลาและความสามารถเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด เพื่อที่จะให้ลูกค้าของเราได้ร้อง “ว้าว” บ้าง

ส่วนงานชิ้นที่ไม่สำคัญพอที่จะทำให้มันว้าว ก็อาจต้องถามตัวเอง (และหัวหน้า) ว่า ถ้ามันไม่สำคัญหรือมีประโยชน์อะไรมากนัก ทำไมยังต้องทำมันอยู่อีก  (is it worth doing at all?)

————

หากจะมองให้กว้างกว่าเรื่องงาน

ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คุณได้ทำอะไรให้ พ่อแม่คุณ “ว้าว” บ้างมั้ย?

หรือได้ทำให้ภรรยา สามี หรือ ลูกของคุณ “ว้าว” บ้างมั้ย

การทำให้ “ว้าว” ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความใส่ใจมหาศาลอยู่

อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลายวัน หรือหลายเดือน

แต่มันก็น่าจะคุ้มนะครับ

เพราะการทำให้คนๆ หนึ่ง “ว้าว” แค่ครั้งเดียว

ก็อาจจะเพียงพอให้เขาจดจำชั่ววินาทีแห่งความ “ว้าว” นั้นไปตลอดชีวิตก็ได้