The Black Swan ตอนที่ 7 – บิลเลียดสุดขอบจักรวาล

20200607

เส้นทางการค้นพบ

การค้นพบครั้งสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่เกิดจากการมองหาสิ่งหนึ่งแต่ดันไปพบอีกสิ่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เหมือนที่โคลัมบัสที่แล่นเรือไปทางทิศตะวันตกเพื่อไปอินเดียแต่กลับค้นพบทวีปใหม่แทน

คำว่า Serendipity ที่แปลว่า “การมีโชคในการค้นพบสิ่งต้องการโดยบังเอิญ” นั้นมีที่มาจากนิทานปรัมปราเรื่อง The Three Princes of Serendip ที่ว่าด้วยเจ้าชายสามพระองค์จากเมือง Serendip ที่ค้นพบสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ

ในกลายการค้นพบ มนุษยชาติมักไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้นสำคัญแค่ไหน

ตอนที่ Copernicus ตั้งสมมติฐานว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลนั้น ไม่มีผู้มีอำนาจคนใด (ที่เชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักรวาล) รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนจนกระทั่งโคเปอร์นิคัสตายไปแล้ว 75 ปี

ตอนที่ Charles Darwin นำเสนองานวิจัยเรื่องวิวัฒนาการเป็นครั้งแรกให้กับคณะกรรมการในสมาคม Linnean society สมาคมออกมาประกาศว่า “ไม่มีการค้นพบอะไรที่น่าประทับใจ” (no striking discovery)

หรือนักธุรกิจอย่าง Thomas Watson ก็ยังเคยทำนายว่าโลกใบนี้มีความต้องการใช้คอมพิวเตอร์แค่ 5 เครื่องเท่านั้น คนทั่วไปทำนายแบบนี้ก็ถือว่าผิดพลั้งมากแล้ว แต่คุณวัตสันนี่เป็นถึงผู้ก่อตั้ง IBM!

 

ผีเสื้อกระพือปีก

หลังการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์รู้สึกว่าตัวเองมีเครื่องมือที่จะทำนายการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ จักรวาลก็เหมือนนาฬิกาที่มีกลไกและกฎระเบียบที่ชัดเจน แค่ใช้สูตรที่เหมาะสมและใส่ค่าตัวแปรให้ถูกต้อง เราก็สามารถทำนายได้ว่าดวงดาวเหล่านี้จะเคลื่อนไหวอย่างไร

แต่ Henri Poincaré (อองรี ปวงกาเร) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ออกมาเตือนว่า สูตรและสมการต่างๆ ของเรานั้นมีขีดจำกัด ปวงกาเรอธิบายคอนเซ็ปต์ non-linearity ที่ input เพียงน้อยนิดอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงได้ ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้ต่อมาเรารู้จักกันในนาม Chaos theory ที่บอกว่าผีเสื้อกระพือปีกในอินเดียทำให้เกิดพายุทอร์นาโดในอเมริกาได้นั่นเอง

ปวงกาเรบอกว่า ถ้าเรามีดาวเคราะห์แค่สองดวงในระบบ เราจะสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ได้อย่างเที่ยงตรงและยาวนาน แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามี “วัตถุชิ้นที่สาม” (third body) เข้ามาอยู่ในระบบด้วย (เช่นดาวหาง) ต่อให้มันจะมีขนาดเล็กและตอนแรกจะไม่ส่งผลอะไรก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์สองดวงแรกจะได้รับผลกระทบจากวัตถุชิ้นที่สามอย่างมหาศาล

นักคณิตศาสตร์ชื่อ Michael Berry สาธิตความซับซ้อนของการทำนายด้วยการคำนวณวิถีการวิ่งของลูกบิลเลียด

การคำนวณว่าลูกบิลเลียดจะวิ่งไปทางไหนในการ “กระทบครั้งแรก” ของลูกบิลเลียด (the first impact) นั้นทำได้ค่อนข้างง่าย แค่รู้น้ำหนัก ขนาด ความเร็วของลูกบิลเลียดและรู้แรงต้าน (resistance) ของสักหลาดบนโต๊ะก็สามารถคำนวณได้แล้ว

ส่วนการคำนวณการ “การกระทบครั้งที่ 2” (second impact) ก็ยังพอทำได้แต่ก็ต้องใช้ข้อมูลมากขึ้นและต้องมีค่าตัวแปรที่แม่นยำมากขึ้น

แต่พอไปถึง 9th impact การจะคำนวณวิถีได้ถูกต้องนั้นเราจำเป็นต้องคำนึงถึง “แรงดึงดูด” (gravitational pull) ที่เกิดจากคนที่ยืนดูอยู่รอบๆ โต๊ะด้วย

และถ้าหากจะคำนวณไปให้ถึง 56th impact เราจำเป็นต้องเอาทุกอนุภาคในจักรวาลมาอยู่ในสมการ! อิเลคตรอน ณ สุดขอบจักรวาลที่อยู่ห่างออกไป 10,000 ล้านปีแสงก็ยังส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของลูกบิลเลียดในการกระทบกันครั้งที่ 56

ขนาดการทำนายลูกบิลเลียดที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจยังยากเย็นขนาดนี้ การทำนายพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีเจตนำนงเสรี (free will) จะยากเย็นขนาดไหน

ความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่เป็น hard science นั้นสามารถทำงานได้ดีในโลกของมัน แต่เราไม่ควรเอาเครื่องมือเหล่านี้มาใช้ในโลกของ social science อย่างเศรษฐศาสตร์ด้วยความมั่นใจมากจนเกินไป การทำนายพฤติกรรมลูกบิลเลียดนั้นยากแค่ไหน การทำนายพฤติกรรมคนนั้นยิ่งยากกว่าหลายเท่า

 

การกลับมาของไก่งวง

ยังจำเรื่องไก่งวงหน้าโง่ได้มั้ย เราดูข้อมูลจากอดีตเพื่อจะทำนายข้อมูลในอนาคต แต่ในบางครั้งข้อมูลชุดเดียวกันอาจนำไปสู่สองสมมติฐานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ได้

ถ้าเราไม่รู้อะไร และมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ ก็ตีความได้ว่า

1. มีความเป็นไปได้ว่าเราจะเป็นอมตะ
2. มีความเป็นไปได้ว่าเรากำลังเข้าใกล้ความตายมากกว่าเดิม

ทั้งสองสมมติฐานนั้นตั้งอยู่บนข้อมูลชุดเดียวกันเลย เช่นเดียวกับไก่งวงที่ได้รับการป้อนข้าวป้อนน้ำเป็นอย่างดีทุกวันมาถึง 1,000 วัน มันก็อาจตั้งสมมติฐานได้ว่าชีวิตมันปลอดภัยอย่างแน่นอน หรือถ้ามันเฉลียวใจซักนิดมันอาจจะคิดได้ว่านี่คือหลักฐานว่าชีวิตมันกำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะมันกำลังถูกขุนเพื่อนำไปเป็นอาหารมื้อค่ำ

สมมติฐานจะเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับว่าเรามีโมเดลแบบไหนอยู่ในหัว ถ้าเรามองโลกเป็น “เส้นตรง” หรือ linear ข้อมูลแต่ละจุดก็จะนำมาพล็อตเป็นกราฟเส้นตรงที่ลากไปในทางทิศทางเดียว แต่ถ้าเรามองโลกเป็น non-linear ข้อมูลชุดเดียวกันนั้นสามารถนำไปใส่ในกราฟได้หลายแบบ เช่นกราฟ parabola กลับหัว หรือกราฟ sine ที่ขึ้นๆ ลงๆ ตามฤดูกาลก็ได้

 

เจ็บแล้วไม่เคยจำ

เรากำลังจะซื้อรถคันใหม่ รถคันนี้จะเปลี่ยนชีวิตเรา มันจะทำให้เรามีสถานะทางสังคมที่ดีขึ้นและทำให้การเดินทางรื่นรมย์กว่าเดิม เครื่องยนต์ของรถคันนี้เงียบฉี่จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถสตาร์ทอยู่รึเปล่า รถคันนี้จะนำมาซึ่งความสุขความพึงพอใจในระดับใหม่ที่จะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน

แต่เราลืมไปเลยว่าตอนที่จะซื้อรถคันก่อนเราก็คิดอย่างนี้แหละ เราไม่คิดเลยว่าเดี๋ยวพอซื้อรถคันใหม่ไอ้ความฟินนี้มันก็จะหมดไปภายในเวลาไม่กี่วันเหมือนคราวที่แล้ว เพราะถ้าเราคิดได้เราก็คงไม่อยากได้รถคันใหม่ขนาดนั้นหรอก

เรามัก overestimate ความสุขที่จะได้จากเรื่องดีๆ และ overestimate ความทุกข์ที่จะได้จากเรื่องแย่ๆ เสมอ ที่สำคัญคือเราเหมือนไม่เคยเรียนรู้จากการคาดการณ์ผิดในครั้งก่อนๆ เลย เหมือนสมองของเรามี bug ที่ทำให้ไม่เห็นความจริงข้อนี้

Bug ตัวนี้อาจเป็นผลงานของวิวัฒนาการก็ได้ การ overestimate ความสุขในอนาคตทำให้เรามีแรงผลักดันที่จะลงมือทำเพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่างมา เช่นออกหาอาหารหรือออกหาที่พำนักแห่งใหม่ (ในสมัยดึกดำบรรพ์) หรือซื้อรถซื้อบ้านหลังใหม่ (ในโลกปัจจุบัน)

ส่วนการที่สมอง overestimate ความทุกข์ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เราทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป จะได้มีชีวิตรอดเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ได้ แต่แม้ว่ามันจะช่วยป้องกันเราจากภยันตรายในเชิงกายภาพ มันก็ไม่สามารถป้องกันเราจาก Black Swan ได้อยู่ดี เพราะหงส์ดำนั้นมองไม่เห็น คาดไม่ถึงและเป็นนามธรรมเกินกว่าที่สมองของเราจะ estimate / overesimate ความอันตรายของมันได้

 

น้ำแข็งกำลังละลาย

ลองคิดถึง 2 สถานการณ์

สถานการณ์แรก – นึกภาพน้ำแข็งก่อนหนึ่งที่หล่นอยู่บนพื้นและประเมินว่ามันจะละลายยังไงในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า ลองคิดถึงภาพน้ำเจิ่งนองที่ต้องมานั่งเช็ดกันทีหลัง

สถานการณ์ที่สอง – คิดถึงภาพน้ำเจิ่งนองที่อยู่บนพื้น แล้วพยายามนึกถึงภาพก้อนน้ำแข็งที่ทำให้เกิดน้ำเจิ่งนองนี้

ในสถานการณ์แรก ถ้าเรามีสมการที่เหมาะสมเราก็สามารถคำนวณรูปแบบการละลายได้ไม่ยาก ใช้ความรู้วิศวกรรมระดับปริญญาตรีก็ทำได้แล้ว

แต่ในสถานการณ์ที่สอง เราสามารถสร้างก้อนน้ำแข็งได้ในรูปแบบที่นับไม่ถ้วน หรืออาจจะไม่เคยมีก้อนน้ำแข็งมาตั้งแต่แรกเลยก็ได้

น้ำแข็งละลายเป็น forward process ที่พอจะคาดการณ์ได้และเป็นกระบวนการที่ใช้ในฟิสิกส์และวิศวกรรมศาสตร์

แต่สถานการณ์ที่สองเป็น backward process ที่เราใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่สามารถทดลองหรือกระทำซ้ำได้

ผีเสื้อกระพือปีกในมุมไบอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดเฮอริเคนในนอร์ธแคโรไลนาได้ในอีกสองปีถัดมา แต่ถ้าเราพบเฮอริเคนในนอร์ธแคโรไลนา เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าอะไรคือต้นเหตุของมันเพราะมันมีความเป็นไปได้นับพันล้านอย่าง อาจจะเป็นผีเสื้อกระพือปีกในทิมบักตูหรือหมาเห่าในออสเตรเลียก็ได้ กระบวนการจากผีเสื้อไปเฮอริเคนนั้นซับซ้อนน้อยกว่ากระบวนการย้อนหลังจากเฮอริเคนกลับมาสู่ผีเสื้อมากมายนัก

ดังนั้น การที่นักประวัติศาสตร์พยายามอธิบายสาเหตุและตั้งสมมติฐานให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นนั้น เป็นการกระทำที่มีโอกาสผิดพลาดสูงมาก เพราะมันคือการพยายาม reverse engineer ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าน้ำที่เจิ่งนองหรือเฮอริเคนเสียอีก

ถ้าเราอยากศึกษาประวัติศาสตร์ก็จงทำไปเถิด แต่อย่าไปตั้งสมมติฐาน อย่าพยายามสร้างความเชื่อมโยงหรือตั้งทฤษฎีเพื่อมาอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้นเพราะมันจะทำให้เราเข้าใจอะไรๆ ได้คลาดเคลื่อนยิ่งกว่าเดิม

ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า

—-

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ The Black Swan – The Impact of the Highly Improbable โดย Nassim Nicolas Taleb

The Black Swan ตอนที่ 1 – โควิดเป็นหงส์ดำรึเปล่า
The Black Swan ตอนที่ 2 – ความเปราะบางของความรู้
The Black Swan ตอนที่ 3 – ไก่งวงหน้าโง่
The Black Swan ตอนที่ 4 – อันตรายของ “story”
The Black Swan ตอนที่ 5 – หลักฐานอันเงียบงัน
The Black Swan ตอนที่ 6 – โยนเหรียญเสี่ยงทาย

สรุปหนังสือ Sapiens – A Brief History of Humankind by Yuval Noah Harari (20 ตอน)

สรุปหนังสือ Brave New Work by Aaron Dignan (15 ตอน)

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการค้นหาสิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริง มีขายที่ whatisitpress.com ครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room/

The Black Swan ตอนที่ 6 – โยนเหรียญเสี่ยงทาย

20200531

ขอแนะนำตัวละครใหม่ 2 ตัว

“Fat Tony” หรือน้าอ้วนโทนี่ เป็นชายจากเมือง Brooklyn รูปร่างอ้วนท้วนตามฉายา ตอนเด็กเรียนไม่เก่ง จบแล้วมาเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นเสมียน แล้วค่อยๆ เรียนรู้การลงทุนอย่างเช่นการซื้ออสังหาธุรกิจที่ล้มละลายแล้วนำมาขายต่อ โทนี่มักมีวิธีการหาเงินโดยแทบไม่ต้องลงแรง คำขวัญประจำตัวของโทนี่คือ “มองหาไอ้หน้าโง่” (Finding who the sucker is) ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นพนักงานแบงค์ ถ้าคุณได้ไปเดินคุยกับโทนี่ซักครึ่งชั่วโมง คุณจะเข้าใจวิถีชีวิตของชาวโลกและธรรมชาติของธุรกิจขึ้นอีกเยอะ

“Dr.John” จบด็อกเตอร์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ใส่สูทสีดำ ใส่แว่นตา ทำงานด้านการคำนวณความเสี่ยงให้กับบริษัทประกัน จอห์นขับรถคาดิลแล็คและเป็นคนตรงต่อเวลามาก ในขณะที่โทนี่มักจะไปกินข้าวที่ร้านอาหาร จอห์นจะพกแซนด์วิชใส่กล่องไปทานเป็นอาหารกลางวันเสมอ จอห์นเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ก็ขีดเส้นชัดเจนว่าช่วงไหนคือเวลาทำงาน ช่วงไหนคือเวลาพักผ่อน

Nassim Nicolas Taleb (NNT) ผู้เขียนหนังสือ The Black Swan เชิญสองคนนี้มาร่วมพูดคุยกันในจินตนาการ

NNT: สมมติว่ามีเหรียญที่มีโอกาสออกหัวและก้อยเท่าๆ กัน ผมโยนเหรียญ 99 ครั้งและออกหัว 99 ครั้ง ถ้าผมโยนเหรียญครั้งที่ 100 โอกาสที่เหรียญจะออกก้อยคือเท่าไหร่?

Dr.John: ง่ายมาก ก็ต้อง 50% สิ เพราะคุณบอกแล้วว่าเหรียญมีโอกาสออกหัวและก้อยเท่ากัน และการโยนเหรียญแต่ละครั้งไม่ได้มีผลกับการโยนเหรียญครั้งต่อไปเลย

NNT: แล้วคุณคิดว่าไงโทนี่

Fat Tony: ผมว่าไม่เกิน 1% อยู่แล้ว

NNT: ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ผมบอกไปแล้วไงว่าเหรียญนี้มีโอกาสออกหัวและก้อยเท่ากัน

Fat Tony: คุณต้องเป็นคนตอแหลหรือไม่ก็โง่มากๆ ที่ไปหลงเชื่อว่าเหรียญนี้มีโอกาสออกหัวและก้อยเท่ากัน เหรียญนี้แม่งต้องถูกดัดแปลงมาชัวร์ป้าป (แปลไทยเป็นไทย: โอกาสที่สมมติฐานของคุณจะผิดนั้นสูงกว่าโอกาสที่เหรียญปกติจะออกหัวติดกัน 99 ครั้ง)

NNT: แต่ดร.จอห์นบอกว่า 50% นะ

Fat Tony (กระซิบใส่หู NNT): พวกเนิร์ดๆ แบบนี้มีอยู่เต็มธนาคารเลย คนพวกนี้คิดช้าเกินไปแถมยังคิดเหมือนๆ กันหมดด้วย หลอกง่ายจะตายชัก

“เนิร์ด” (nerd) ในความหมายของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้จำเป็นต้องเป็น “เด็กเรียน” มันคือชื่อที่ผู้เขียนเอาไว้เรียกพวกที่ “คิดในกรอบ” แบบสุดๆ

ถ้า Fat Tony กับ Dr.John ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด คุณจะเลือกคนไหน?

ถ้าให้ทำแบบทดสอบ IQ หรืออะไรในโลกวิชาการ ดร.จอห์นคงเอาชนะน้าอ้วนโทนี่อย่างขาดลอย แต่ในโลกธุรกิจและชีวิตจริงน้าอ้วนโทนี่มีภาษีดีกว่าเยอะ

 

Ludic Fallacy – โลกไม่ใช่คาสิโน

Ludic มาจากคำว่า Ludus ซึ่งเป็นภาษาละตินที่แปลว่า “เกมส์” (Taleb บอกว่าอะไรก็ตามที่ตั้งชื่อให้เป็นภาษาละตินจะฟังดูมีภูมิความรู้ขึ้นมาทันที)

Ludic Fallacy คือตรรกะวิบัติที่เชื่อว่าความรู้ในโลกแห่งเกมส์นั้นจะสามารถเอามาใช้ในชีวิตจริงได้

เวลาเราเรียนวิชาอย่าง statistics และหัวข้ออย่าง probability ตัวอย่างที่เอามาใช้มักจะเป็นลูกเต๋าหรือไพ่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในคาสิโน

แต่คาสิโนเป็น “พื้นที่ที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว” (sterile environment) ที่เรารู้กฎกติกาชัดเจนและเราสามารถคำนวณความน่าจะเป็นได้เกือบทั้งหมด

แต่โลกแห่งความจริงไม่เหมือนในคาสิโนสักนิด เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า “ลูกเต๋า” ที่เรากำลังจะทอยในเกมธุรกิจนั้นออกได้กี่หน้า และลูกเต๋านี้โดนดัดแปลงจนทำให้หน้าไหนหน้าหนึ่งมีโอกาสออกมากกว่าหน้าอื่นๆ รึเปล่า

ดร.จอห์นนั้นเป็นเหยื่อของ Ludic Fallacy ที่คิดไปเองว่าโลกนี้มันแฟร์และกฎกติกานั้นจะเป็นไปตามที่เขาเคยได้อ่านตอนเรียนหนังสือ

Black Swan มันซ่อนอยู่ใน silent evidence เรามัวแต่กังวลกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว แต่ไม่เคยกังวลกับเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น เราเลยชอบฟังเรื่องราวที่สื่อสารและจัดหมวดหมู่ได้ง่าย มีกฎกติกาที่ชัดเจน และนี่คือเหตุผลที่คนที่เรียนดีมักจะไม่ได้เรื่องเวลาออกไปเผชิญโลกแห่งความจริงเพราะพวกเขามี ludic fallacy เหมือนดร.จอห์นและคนอย่างดร.จอห์นนี่แหละที่มักจะโดน Black Swan เล่นงาน

 

อ่อนด้อยแล้วยังไม่เจียม

ลองบอกชื่ออุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อโลกเราในวันนี้มากที่สุดมา 3 ข้อ

คนไม่น้อยจะตอบว่า คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเลเซอร์ ทั้งสามอย่างนี้เป็น Black Swans ในเชิงบวก มันล้วนเกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการวางแผน ไม่เคยมีใครคาดเดาเอาไว้ และไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าในช่วงแรกๆ ด้วยซ้ำ

มนุษย์ไม่เคยจดจำว่าเรามีสถิติการพยากรณ์ที่แย่เอามากๆ เราชอบทำนายอนาคตโดยแทบไม่เคยกลับไปดูเลยว่าที่ผ่านมาสิ่งที่เราทำนายเอาไว้นั้นมักจะผิดเป็นส่วนใหญ่  เราจึงชอบคาดการณ์ล่วงหน้าโดยไม่เคยเอา “เหตุการณ์ไม่คาดฝัน” เข้ามาอยู่ในกระบวนการการประเมินด้วยเลย

ไม่ว่าโมเดลหรือเครื่องมือในการทำนายของเราจะดีขึ้นแค่ไหน แต่ความซับซ้อนของโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่ามากนัก และยิ่ง Black Swan ตัวใหม่มี impact มากแค่ไหน อนาคตก็ยิ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้

 

หยิ่งทะนงในความรู้

ความหยิ่งทะนงในความรู้ หรือ Epistemic Arrogance (epistḗmē เป็นภาษากรีก แปลว่า knowledge หรือความรู้ การใช้ภาษากรีกก็ทำให้เราดูมีภูมิมากขึ้นเช่นกัน) คือปรากฎการณ์ที่ “ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรารู้” นั้นสูงกว่า “สิ่งที่เรารู้จริงๆ” และช่องว่างระหว่างสองสิ่งนี้นี่แหละที่ทำให้เราต้องเดือดร้อนมาโดยตลอด

ลองเดาคำตอบสำหรับคำถามดังต่อไปนี้

ราชินีแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซียเคยมีคนรักกี่คน

จังหวัดสุพรรณบุรีมีประชากรเท่าไหร่

โดยคุณสามารถให้คำตอบแบบเป็น range ได้ โดยปรับ range จนกว่าคุณจะมั่นใจว่าคำตอบของคุณมีโอกาสถูก 98% และโอกาสผิดเพียง 2% ยกตัวอย่างเช่น

“ผมมั่นใจ 98% ว่าราชินีแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซียเคยมีคนรักระหว่าง 34 ถึง 63 คน”

หรือ

“ผมมั่นใจ 98% ว่าจังหวัดสุพรรณบุรีมีประชากรระหว่าง 1-2 ล้านคน”

ขออย่างเดียวว่าอย่าบอกตัวเลขแบบครอบจักรวาล เช่น “1 คน ถึง 1 พันล้านคน” เพราะอย่างนั้นก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้ทายอะไรเลย

เคยมีนักวิจัยทำการทดลองนี้ ปรากฎว่า ที่คนคิดว่าตัวเองมีโอกาสตอบผิดเพียง 2% สุดท้ายแล้วตอบผิดกันถึง 45%! (คำตอบที่ถูกไม่ได้อยู่ใน range ที่ให้มา) แถมกลุ่มตัวอย่างที่ตอบคำถามเหล่านี้ยังเป็นนักศึกษา MBA จาก Harvard อีกด้วย (คนกลุ่มนี้มีความมั่นใจสูงลิ่วอยู่แล้ว พอลองไปสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่มีพื้นเพต่างออกไป อัตราการตอบผิดลดลงมาอยู่ที่ 15-30% แต่ก็ยังเกิน 2% ไปมากอยู่ดี)

Epistemic Arrogance ทำให้เราประเมินความรู้ของเราสูงเกินไป และประเมินความไม่แน่นอนต่ำเกินไป (จึงทำให้ range ของเราแคบกว่าที่ควรจะเป็น)

 

ข้อมูลมากไปยิ่งเสียหาย

นักวิจัยเคยเอาภาพของหัวดับเพลิงมาเบลอจนดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แล้วแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เห็นภาพนี้ที่ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็น 10 สเต็ป ส่วนกลุ่มที่สองให้เห็นภาพที่ค่อยๆ ชัดขึ้น 5 สเต็ป โดยภาพสุดท้ายที่ทั้งสองกลุ่มเห็นเป็นภาพที่ชัดเท่ากันแต่ก็ยังเบลอประมาณหนึ่งอยู่ดี

ปรากฎว่า กลุ่มที่เห็นภาพเพียง 5 สเต็ปนั้นมีโอกาสทายถูกมากกว่ากลุ่มที่เห็นภาพ 10 สเต็ป

การทดลองนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณให้ข้อมูลกับใครมากขึ้น เขาก็มีแนวโน้มที่จะตั้งสมมติฐานมากกว่าเดิม และถ้าลองได้ตั้งสมมติฐานที่ผิดแล้ว ก็เป็นการยากที่เขาจะละทิ้งสมมติฐานนั้น เพราะดันปักใจเชื่อไปเสียแล้ว

ข้อมูลบางอย่างเป็นเพียงคลื่นรบกวน (noise) แต่เราดันไปยึดถือว่ามันเป็นสัญญาณ (signal) การฟังข่าวทุกชั่วโมงนั้นแย่กว่าการอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์มากมายนัก เพราะอย่างน้อยหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ก็กลั่นกรอง noise ออกไปได้ระดับนึงแล้ว

อีกการทดลองหนึ่ง – การแข่งขันม้านั้นมีข้อมูลหลายด้านให้วิเคราะห์ว่าม้าตัวไหนจะมาวิน นักวิจัยได้ดึงข้อมูลออกมา 84 ตัวแปร (variables) แล้วเลือก 10 ตัวแปรที่มีผลต่อการแข่งขันมากที่สุดส่งไปให้นักพนันม้าลองประเมินว่าม้าตัวไหนจะชนะ

จากนั้นนักวิจัยเพิ่มข้อมูลเข้าไปให้อีก 10 ตัวแปร (รวมเป็น 20 ตัว) ปรากฎว่าอัตราการทายถูกนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แต่ “ความมั่นใจว่าตัวเองน่าจะทายถูก” ของนักพนันนั้นสูงขึ้นอย่างชัดเจน

ความรู้ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้เราทายผลได้ดีขึ้น แต่มักจะทำให้เรามั่นใจมากขึ้น การได้รับข้อมูลที่มากเกินจึงเป็นอันตรายด้วยประการฉะนี้

 

ตัวจริง-ตัวปลอม

โอกาสที่ “expert” จะเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงหรือตัวปลอมนั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ในวงการไหน

ผู้เชี่ยวชาญที่มักจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ก็อย่างเช่นกรรมการปศุสัตว์ นักดาราศาสตร์ เซียนหมากรุก นักฟิสิกส์ นักบัญชี คนคัดเมล็ดพืช

ผู้เชี่ยวชาญที่มักจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ก็อย่างเช่นโบรกเกอร์ นักจิตวิทยา อาจารย์แนะแนว นักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยง

อะไรก็ตามที่ชุดความรู้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมักจะมีผู้เชี่ยวชาญ อะไรก็ตามที่สถานการณ์เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ และมักจะเกี่ยวพันกับอนาคตมักจะไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เราจึงไม่ควรเชื่อมั่นคนที่อ้างตัวว่าเป็น expert ในกลุ่มนี้มากนัก

คนที่ทำอาชีพที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจากอดีตเพื่อทำนายอนาคตมักจะทำนายได้แค่ “สถานการณ์ปกติ” แต่เหตุการณ์ที่มันจะส่งผลต่ออนาคตได้จริงๆ ล้วนแล้วแต่เป็น “สถานการณ์ไม่ปกติ” ทั้งนั้น อย่างเช่นการลดค่าดอกเบี้ยจาก 6% เป็น 1% ระหว่างปี 2000-2001 ก็ย่อมทำให้ 5-year projection ที่คุณทำเอาไว้ผิดไปได้มากมายมหาศาลแล้ว

และเวลาคนในอาชีพเหล่านี้พบว่าตัวเองทำนายผิดพลาด ก็มักจะโทษว่าเขามีข้อมูลไม่เพียงพอ หรือเป็นข้อมูลจาก “ศาสตร์แขนงอื่น” ที่เขาเข้าไม่ถึง เช่นนักเศรษฐศาสตร์อาจจะไม่ได้เอาความเสี่ยงทางการเมืองหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติมาใส่ไว้ในการคำนวณเพราะถือว่ามันอยู่นอกแขนงวิชาของเขา คนเหล่านี้เป็นพวก nerd ที่โฟกัสแต่สิ่งที่ตัวเองรู้และคิดแต่ในกรอบโมเดลที่ตัวเองคุ้นเคย

เราไม่สามารถสร้างแผนที่เพอร์เฟกต์ได้ก็จริง แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรจะวางแผนโดยรู้ว่าแผนการของเรามีขีดจำกัดและเผื่อใจไว้ว่าสถานการณ์ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ

 

ค่าเฉลี่ยไม่สำคัญเท่าโอกาสผิดพลาด

เวลาเราทำนายหรือพยากรณ์อะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าผลลัพธ์ก็คือโอกาสในความผิดพลาด (error rate)

ถ้าจะไปเที่ยวเมืองนอก แล้วพยากรณ์อากาศบอกว่าอุณหภูมิจะประมาณ 25 องศา โดยมีโอกาสผิดพลาด 15 องศา เราต้องเตรียมเสื้อผ้าเผื่อทั้งหนาวจัดและร้อนจัดไปด้วย (เพราะอุณหภูมิเป็นไปได้ตั้งแต่ 10-40 องศา) แต่ถ้าโอกาสผิดพลาดแค่ 2 องศาเราก็จัดเสื้อผ้าไปแบบเดียวก็พอ

เวลาจะตัดสินใจอะไรก็ตาม จึงห้ามดูแค่ expected outcome แต่ต้องดูด้วยว่า range of possible outcomes นั้นกว้างแค่ไหน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้ว่าถ้ามันเกิด worst-case scenario หรือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เราพร้อมรับความเสี่ยงนั้นรึเปล่า ถ้าแม่น้ำลึกเฉลี่ย 120 เซนติเมตร แต่ส่วนที่ลึกที่สุดนั้นลึก 2 เมตร การเดินลุยแม่น้ำนั้นไปทั้งๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็เป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ

 

ช้าแล้วยังช้าได้อีก

Sydney Opera House เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่เราคุ้นตากันดี ตามแผนการเดิมโรงละครแห่งนี้จะเปิดทำการในปี 1963 และใช้ค่าก่อสร้าง 7 ล้านเหรียญออสเตรเลีย แต่ในความเป็นจริงก็คือกว่าจะเปิดได้ก็ปี 1973 แถมยังใช้เงินไปทั้งหมดถึง 104 ล้านเหรียญแถมยังได้ของที่ไม่ดีเท่าที่วางแผนไว้ตอนแรก

นี่คือความแตกต่างระหว่าง Mediocristan กับ Extremistan

ในโลกแห่ง Mediocristan อย่างอายุขัย เด็กผู้หญิงที่เกิดในประเทศที่พัฒนาแล้วมีอายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) 79 ปี

พอเธออายุครบ 79 เธอจะมีอายุคาดเฉลี่ยเหลืออีก 10 ปี

พอเธออายุครบ 90 เธอจะมีอายุคาดเฉลี่ยเหลืออีก 4.7 ปี

พอเธออายุครบ 100 เธอจะมีอายุคาดเฉลี่ยเหลืออีก 2.5 ปี

และหากเธอมีอายุถึง 119 ปี เธอจะเหลือเวลาอีกเพียง 9 เดือน

ในดินแดน Mediocristan นั้น distribution จะอยู่ในรูปแบบกราฟระฆังคว่ำหรือ bell curve ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ อายุคาดเฉลี่ยที่เหลือจะต่ำลงไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าเราเข้าไปอยู่ในดินแดน Extremistan ผลลัพธ์จะตรงกันข้ามเลย

สมมติว่ามีโปรเจคหนึ่งที่คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 79 วัน

ถ้าครบ 79 วันแล้วยังไม่เสร็จ ก็เผื่อใจไว้เลยว่ามันอาจต้องใช้เวลาอีก 25 วัน

ถ้าครบ 90 วันแล้วยังไม่เสร็จ ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 58 วัน

ถ้าครบ 100 วันแล้วยังไม่เสร็จ ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 89 วัน

ถ้าครบ 119 วันแล้วยังไม่เสร็จ ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 149 วัน

ถ้าครบ 600 วันแล้วยังไม่เสร็จ ก็เผื่อใจได้เลยว่าต้องใช้เวลาอีก 1,590 วัน

ยิ่งรอมานานเท่าไหร่ ยิ่งต้องรอเพิ่มนานขึ้นเท่านั้น

ปรากฎการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับโปรเจ็คอย่างการสร้าง Sydney Opera House การรอจดหมายตอบกลับจากนักเขียนคนโปรด การสิ้นสุดของสงคราม หรือการรอคอยจะได้กลับบ้านเกิดของคนที่ลี้ภัยทางการเมือง

ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้าครับ


ราชินีแคทเธอรีนที่ 2 แห่งรัสเซียเคยมีคนรัก 12 คน และจังหวัดสุพรรณบุรีมีประชากร 850,000 คน

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ The Black Swan – The Impact of the Highly Improbable โดย Nassim Nicolas Taleb

The Black Swan ตอนที่ 1 – โควิดเป็นหงส์ดำรึเปล่า
The Black Swan ตอนที่ 2 – ความเปราะบางของความรู้
The Black Swan ตอนที่ 3 – ไก่งวงหน้าโง่
The Black Swan ตอนที่ 4 – อันตรายของ “story”
The Black Swan ตอนที่ 5 – หลักฐานอันเงียบงัน

สรุปหนังสือ Sapiens – A Brief History of Humankind by Yuval Noah Harari (20 ตอน)

สรุปหนังสือ Brave New Work by Aaron Dignan (15 ตอน)

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการค้นหาสิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริง มีขายที่ whatisitpress.com ครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room/

The Black Swan ตอนที่ 5 – หลักฐานอันเงียบงัน

20200524

ในเรื่องเล่าเก่าแก่ของชาวโรมัน ไดแอกโกรัส (Diagoras) ผู้ไม่นับถือพระเจ้าองค์ใด ได้ไปพบศิลาจารึกที่เต็มไปด้วยรูปวาดของเหล่าผู้ศรัทธาที่สวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าจนรอดชีวิตจากเรืออัปปาง

ไดแอกโกรัสจึงถามว่า “แล้วรูปของคนที่สวดมนต์แต่จมน้ำตายล่ะ อยู่ที่ไหน?”

ไดแอดโกรัสกำลังพูดถึง silent evidence หรือ “หลักฐานอันเงียบงัน” ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ที่ตรงไปตรงมาแต่ดูเหมือนผู้คนมักจะมองข้ามสิ่งนี้

เหล่าผู้ศรัทธาที่จมน้ำตายไม่อาจอยู่รอดเพื่อมาวาดรูปตัวเองลงบนศิลาได้ฉันใด “ผู้พ่ายแพ้ในประวัติศาสตร์” ก็ไม่ได้มาเล่าเรื่องราวของตัวเองฉันนั้น

Silent evidence ที่ไม่เคยถูกพูดถึงนี่เองที่มักจะเป็นตัวการซุกซ่อนความไร้แบบแผนของเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เป็น Black Swans

 

ไม่มีหมอที่เป็นบ๋อย

ในบทที่สองเราพูดถึงความแตกต่างระหว่างอาชีพที่ scalable และอาชีพที่ไม่ scalable

อาชีพที่ scalable คืออาชีพที่อยู่ใน Extremistan ถ้าคุณประสบความสำเร็จ คุณก็จะสำเร็จอย่างสุดโต่ง เช่นนักเขียนหรือนักดนตรี แต่อาชีพนี้มีคนสำเร็จน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย “นักเขียน” ส่วนใหญ่เลยต้องรับ “จ๊อบเสริม” อย่างการทำงานตามร้านอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพตอนกลางวันและเขียนหนังสือตอนกลางคืน

ส่วนอาชีพที่ไม่ scalable นั้นอยู่ใน Mediocristan แม้จะไม่หวือหวาแต่ก็จะไม่อดตาย ผู้คนส่วนใหญ่ในอาชีพเหล่านี้ประสบความสำเร็จพอประมาณ เราจึงไม่เคยเห็นหมอคนไหนต้องมารับจ๊อบเสริมเป็นบ๋อยในร้านอาหาร

เรื่องราวของนักเขียนหรือนักร้องที่ประสบความสำเร็จนั้น จึงเป็นเรื่องราวของคนเพียง 0.01% ในวงการนี้ ในขณะที่เรื่องราวของผู้ล้มเหลวอีก 99.99% นั้นไม่เคยถูกกล่าวถึงแม้แต่น้อย

นักเขียนนิยายชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 19 อย่าง Honoré de Balzac นั้น มักจะได้รับการยกย่องในความ “เสมือนจริง” “ความเข้าใจอันลึกซึ้ง” “รายละเอียดของตัวละคร” และ “ความสามารถในการตรึงอารมณ์คนอ่าน” และคุณสมบัติเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ Balzac ประสบความสำเร็จกว่านักเขียนทั่วไป

แต่ข้อความด้านบนจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อนักเขียนคนอื่นๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้นขาดคุณสมบัติเหล่านี้

ในความเป็นจริง อาจจะมีนักเขียนอีกหลายสิบคนที่มีคุณสมบัติที่กล่าวไปไม่แพ้ Balzac แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี

ดังนั้น ปัจจัยที่ทำให้ Balzac ประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่ทักษะที่กล่าวถึงเลย Balzac แค่ “โชคดี” กว่านักเขียนคนอื่นๆ เท่านั้นเอง

ประเด็นไม่ใช่จะบอกว่า Balzac นั้นไม่เก่ง ประเด็นคือความเก่งของเขานั้นไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นมากเท่าที่เราคิด (he is less uniquely talented than we think) เพราะมี silent evidence มากมายที่ไม่เคยถูกวิเคราะห์ มีต้นฉบับนับพันนับหมื่นที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์

 

บันได 10 ขั้นสู่การเป็นเศรษฐีเงินล้าน

หลายต่อหลายคนพยายามจะศึกษาชีวิตของนักธุรกิจหรือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จและวิเคราะห์ “คุณสมบัติร่วม” (common traits) ที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้ได้ เช่นกล้าเสี่ยง มองโลกในแง่ดี ฯลฯ แล้วเราก็มักจะคิดว่านิสัยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ

คราวนี้ลองหันไปดู “สุสาน” บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะคนที่ล้มเหลวนั้นไม่ค่อยออกมาเขียนหนังสือกันหรอก และถึงจะเขียนก็ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนอยากพิมพ์ให้ เพราะคนส่วนใหญ่อยากจ่ายเงิน 300 บาทเพื่ออ่านเรื่องราวของคนสำเร็จมากกว่าเรื่องของคนล้มเหลวอยู่ดี (หนังสือเกี่ยวกับความล้มเหลวที่ Taleb เคยได้อ่านแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ที่สุดคือ What I Learned Losing a Million Dollars ของ D.Paul และ B.Moyinahan ซึ่งนักเขียนต้องจัดพิมพ์เอง)

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะคิดว่าตัวเองเป็นอัจริยะเพราะ “เอาชนะตลาด” ได้ติดต่อกันหลายต่อหลายปี แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณมี sample size ที่ใหญ่พอ และลองทำ computer simulation มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีบาง sample ที่ชนะติดๆ กันเพราะความบังเอิญล้วนๆ

แต่เรากลับพยายามหา “สาเหตุ” และ “คำอธิบาย” ว่าคนๆ นี้สำเร็จเพราะอะไร “เพราะเขากินเต้าหู้เป็นประจำ” “เพราะเธอทำงานจนค่ำ วันก่อนสองทุ่มแล้วยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลย” และแน่นอน “เพราะเธอเป็นคนขี้เกียจโดยธรรมชาติ และคนขี้เกียจมักจะมองเห็นอะไรได้ชัดกว่าคนทั่วไป”

ในอาชีพที่ scalable อย่างนักเขียน นักดนตรี นักค้าหุ้นนั้น สุสานของความล้มเหลวมีขนาดใหญ่มหึมา และเราไม่เคยได้ยินเรื่องราวจากพวกเขาเลย

นี่จึงทำให้อาชีพเหล่านี้ดูมีโอกาสสำเร็จมากกว่าความเป็นจริง

 

คนตายพูดไม่ได้

เหตุการณ์เฮอริเคน Katrina ถล่ม New Orleans ในปี 2005 นั้นเป็นข่าวไปทั่วโลก ผู้นำรัฐบาลต่างออกมาบอกว่าทุกคนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาอย่างดีที่สุด

แต่เงินที่ใช้เยียวยาไม่ได้มาจากกระเป๋าของท่านผู้นำเหล่านั้น มันมาจากเงินภาษีของประชาชน และเมื่อเหยื่อของ Katrina ได้เงินมากกว่าปกติ ก็ย่อมจะหมายความว่ามีเงินภาษีเหลือน้อยลงสำหรับการช่วยบางกลุ่มบางองค์กร แต่องค์กรเหล่านี้ไม่เคยได้ออกสื่อ พวกเขาอาจจะเป็นมูลนิธิที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งก็ได้ มีคนตายจากมะเร็งมากกว่าจากเฮอริเคน Katrina มากมายนัก และการที่พวกเขาขาดเงินช่วยเหลือไปอาจจะทำให้พวกเขาต้องตายเร็วกว่าเดิม นี่คืออาชญากรรมที่ทุกคนไม่เคยมองเห็น

เหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2500 คนจากการก่อการร้ายของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ญาติผู้เสียชีวิตรวมถึงผู้บาดเจ็บต่างก็ได้รับการเยียวยาและชดเชยอย่างเต็มที่

แต่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งพบว่า ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีนั้นมีประชาชนอีกประมาณ 1,000 คนที่อาจเป็นเหยื่อของผู้ก่อการร้ายเช่นกัน เพราะสถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงขึ้นผิดปกติ สมมติฐานก็คือประชาชนจำนวนไม่น้อยกลัวการขึ้นเครื่องบิน และเลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์แทน และส่วนหนึ่งของคนที่เปลี่ยนมาเดินทางบนถนนนั้นประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ญาติของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ไม่เคยได้รับการเยียวยา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เราเขารักนั้นก็ตกเป็นเหยื่อของผู้ก่อการร้ายเช่นกัน

 

เราคือคาสโนว่าผู้รอดชีวิต

เรารู้จักคาสโนว่ากันดีในมุมของผู้ชายที่เป็นสุดยอดแห่งความเจ้าชู้ แต่จริงๆ แล้วเขามองตัวเองเป็นนักวิชาการ (scholar) และต้องการจะสร้างเครดิตให้ตัวเองด้วยการเขียนหนังสือ 12 เล่มภายใต้ชื่อ History of My Life

นอกจากจะเล่าเรื่องการจีบสาวแล้ว หนังสือชุดนี้ยังกล่าวถึงเหตุการณ์หลายต่อหลายเหตุการณ์ที่คาสโนว่าต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ถึงที่สุดแล้ว “ดวงดาวแห่งโชค” จะนำพาให้เขาเอาตัวรอดได้เสมอ

เป็นไปได้มั้ยว่าคาสโนว่าคือคนที่ฟ้าเลือกให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือโชคชะตา?

ก็อาจจะไม่ เพราะมีนักผจญภัยมากมายในประวัติศาสตร์ที่ทำตัวเหมือนคาสโนว่า หลายคนไม่รอด ส่วนบางคนก็รอดมาได้ และคนที่รอดก็มักจะนึกว่าตัวเองนั้นพิเศษกว่าคนอื่นเลยมาเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ให้เราฟัง

ถ้ามองในภาพใหญ่ มนุษย์ Homo Sapiens ก็คือ “คาสโนว่าผู้รอดชีวิต” เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่โชคดีอย่างมากที่ผ่านความเสี่ยงมามากมายแต่ก็ยังอยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์มาได้ถึงขนาดนี้

แต่แม้ว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้เพราะโชคช่วย ก็ไม่ได้แปลว่าเราควรจะเสี่ยงอย่างนี้เรื่อยไป เหมือนเราเล่นรูเล็ตชนะมาแล้วหลายตา ก็ถึงเวลาที่ควรจะเลิกเล่นการพนันแล้วหางานดีๆ ทำเสียที

ในมุมของคาสโนว่าหรือนักการพนันที่ร่ำรวย เขาจะคิดว่าโอกาสที่จะ “ชนะติดต่อกันหลายหน” ได้อย่างเขานั้นมีโอกาสน้อยเสียยิ่งกว่าหนึ่งในล้าน ถ้าไม่ใช่เพราะฟ้ากำหนดไว้ก็ต้องเป็นเพราะอัจฉริยภาพของเขาอย่างแน่นอน

แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเขาเอาตัวเองเป็นจุดตั้งต้นในการประเมินต่างหาก วิธีคำนวณที่ถูกต้องต้องเริ่มจากจำนวนคนที่เข้าเล่นการพนันทั้งหมด ซึ่งมีหลายล้านคน และแน่นอนว่าจะต้องมีหนึ่งในนั้นที่จะชนะติดต่อกันหลายครั้งได้เพราะความบังเอิญล้วนๆ

ในบทที่แล้ว เราพูดถึงหนังสือพิมพ์ที่ชอบหาเหตุผลมาอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ story นั้นฟังดูเป็นเหตุเป็นผลและเข้าใจได้ง่าย

แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าเราต้องระวังการให้เหตุผลให้มากๆ ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่เพราะว่าเรื่องราวต่างๆ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น

สิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็น “ปัจจัย” นั้นอาจจะไม่มีความหมายเลยก็ได้ หากเราคำนึงถึง silent evidence ที่เต็มไปด้วยปัจจัยเดียวกันแต่กลับไม่ได้ส่งผลอย่างที่เราคิด

โปรดติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้า


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ The Black Swan – The Impact of the Highly Improbable โดย Nassim Nicolas Taleb

The Black Swan ตอนที่ 1 – โควิดเป็นหงส์ดำรึเปล่า
The Black Swan ตอนที่ 2 – ความเปราะบางของความรู้
The Black Swan ตอนที่ 3 – ไก่งวงหน้าโง่
The Black Swan ตอนที่ 4 – อันตรายของ “story”

สรุปหนังสือ Sapiens – A Brief History of Humankind by Yuval Noah Harari (20 ตอน)

สรุปหนังสือ Brave New Work by Aaron Dignan (15 ตอน)

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมที่ว่าด้วยการค้นหาสิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริง มีขายที่ whatisitpress.com ครับ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room/