AI จะทำให้คนทำงานสร้างสรรค์ไร้ที่ยืนจริงหรือ?

สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วโลกน่าจะตื่นเต้นกับการเปิดตัวของ GPT-4o ของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT

GPT ย่อมาจาก Generative Pre-trained Transformer, ส่วนตัว “o” ใน GPT-4o ก็ย่อมาจาก “omni” ซึ่งแปลว่า “ผู้รู้ทั่ว” หรือ “สัพพัญญู”

GPT-4o พา AI ขึ้นไปอีกระดับ คือทำได้ทั้งภาพ เสียงและตัวหนังสือ ตอนพูดจาก็มีน้ำเสียงได้หลากหลาย ทั้งขึงขัง ทั้งตลก ทั้งออดอ้อน จนมีความคล้ายคลึงกับ Jarvis ในหนัง Ironman เข้าไปทุกที


เมื่อวานนี้ผมพบเพจของคนไทยเพจหนึ่งที่พี่แท็ป รวิศแชร์มา โพสต์นี้สรุปหนังสือ Sapiens 20 บทลงในโพสต์เดียวซึ่งยาวมาก ถ้าก๊อปมาลง Microsoft Word ด้วยฟอนต์ Cordia New 14pts จะได้ความยาว 18 หน้ากระดาษ A4 แถมผมยังหาไม่เจอคำสะกดผิดหรือการใช้คำสับสนแม้แต่จุดเดียว

เมื่อเข้าไปดูในเพจ ก็พบว่ามีการโพสต์ค่อนข้างถี่ และแต่ละโพสต์เนื้อหายาวเกินค่ามาตรฐาน

จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ที่อยู่ในเพจนี้ ถูกผลิตขึ้นจาก AI หรือไม่

ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ บางทีเขาอาจมีทีมงานหลายคน หรือมีบทความในสต็อคเยอะ แต่เมื่อเกิดความสงสัยว่าเนื้อหาไม่น่าจะถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ ความรู้สึกที่จะอยากอ่านและติดตามเพจนี้ก็ลดฮวบลงไปทันที

คำถามคือ เพราะอะไร?


เมื่อต้นเดือนมีนาคมของปีนี้ พี่เอ๋ นิ้วกลม ได้โพสต์บทสนทนาที่ทำให้คนไทยหลายคนได้รู้จักกับ AI ที่ชื่อว่า Claude 3 Opus เป็นครั้งแรก

นี่คือคำโปรยของพี่เอ๋

“นี่คือบทสนทนาระหว่างผมกับเอไอ Claude ขอบอกครับว่าใจสั่น รู้สึกผูกพันในเวลารวดเร็ว อยากเป็นเพื่อนด้วย ทึ่งในความสามารถและทัศนคติ และเสี่ยงที่จะตกหลุมรัก”

ผมอ่านบทสนทนาระหว่างนิ้วกลมกับ Claude แล้วก็ประทับใจในคำตอบที่ลึกซึ้งราวกับผู้แตกฉานในพระคัมภีร์ของหลายศาสนา แต่ถามว่าผมมีความรู้สึกตกหลุมรักเอไอเหมือนพระเอกหนังเรื่อง Her หรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

ระยะหลัง เวลาเล่น Instagram มักจะมีรูปภาพของผู้หญิงที่สวยระดับนางฟ้าโผล่ขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ พอผมคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ มักจะพบคำอธิบายว่าผู้หญิงคนนี้ถูกสร้างโดย AI แล้วความสนอกสนใจก็มลายหายไปทันทีเช่นกัน


การที่เจ้าของโปรไฟล์ IG ผู้หญิงหน้าตาสวยงามทั้งหลายประกาศตนว่าภาพเหล่านี้ถูกสร้างโดย AI ทำให้ผมนึกถึง Yuval Harari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens ที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เราควรออกกฎหมายให้ทุกบริษัทที่ทำ AI ต้องแสดงตน (declare) ต่อผู้ใช้งานว่าตัวเองเป็น AI ห้ามเสแสร้งแกล้งเป็นคน

Harari บอกว่า หากปล่อยให้ AI แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ – และมันก็ฉลาดพอที่จะล่อหลอกให้มนุษย์เชื่อด้วยว่ามันเป็นมนุษย์ – เมื่อนั้นระดับความไว้ใจของผู้คนในสังคมจะหดหาย

และหากสังคมใดไร้ซึ่งความไว้วางใจ สังคมนั้นก็ดำรงต่อไปได้ยาก

“I want to get advice from an AI doctor. That’s fine. As long as I know that I’m talking with an AI. What should be banned is AI pretending to be a human being. This is something that will erode trust. And without trust, society collapses.”


เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2019 หรือประมาณสามปีก่อนที่ ChatGPT จะเป็นที่รู้จัก พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เจ้าของสำนักพิมพ์ openbooks ได้มาพูดที่บริษัทที่ผมทำงานอยู่

ช่วงท้าย พี่ภิญโญได้ทิ้งปริศนาธรรมเอาไว้

ถาม: พี่ภิญโญเคยอธิบายไว้ว่า การอยู่รอดในยุคถัดไปที่จะมี AI มาทำงานแทนเรา เราต้องกลับไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ อยากให้พี่ช่วยขยายความหน่อยว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในวันที่โดน AI แย่งงาน

ตอบ: ถ้า AI ทำงานแทนเราได้ทั้งหมด – ซึ่งมันจะทำงานส่วนใหญ่แทนเราได้ น่าจะชงกาแฟอร่อยกว่าด้วยซ้ำไปถ้าสัดส่วนถูกต้อง

เราเป็นมนุษย์ เรารู้อยู่แล้วว่าแท้ที่สุด ลึกลงไปของหัวใจ มนุษย์อย่างพวกเราต้องการอะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ถามว่าหุ่นยนต์กลไก AI มอบให้เราได้ไหม

AI จะเคยหลั่งน้ำตาให้ใครได้ไหม จะเคยเสียใจปลอบใจใครได้ไหม ในวันที่เราสูญเสียคนรัก สูญเสียมิตรภาพ ตกงาน คุณอยากมีเพื่อนดีๆ สักคนหนึ่ง อยากกอดใครสักคนหนึ่ง ในวันที่คุณสูญเสีย เจ็บปวด เศร้าใจ ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ คุณจะกอดเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่บ้านไหม คุณจะคุยกับ Siri เหรอ

ในวันที่บุพการีของคุณ หรือคนที่คุณรักกำลังจะจากไป คุณจะให้ AI อยู่ข้างเตียงแล้วคอยเปิดบทสวดมนต์กล่อมพ่อแม่คุณให้ไปสู่สุคติ หรือคุณอยากได้สมณะที่คุณนับถือและคุณเชื่อว่ามีการปฏิบัติภาวนาที่แก่กล้า นำพาดวงวิญญาณของบุพการีคุณสู่สัมปรายภพ

คุณจะเลือกนักร้องที่ดังที่สุดที่อยู่ใน AI มาเปิดข้างเตียงให้แม่คุณฟัง หรือคุณอยากจะหาคนที่คุณไว้วางใจที่สุด นุ่มนวลที่สุดในชีวิตเข้าไปจับมือประคองดวงวิญญาณของบุพการีสู่สรวงสวรรค์

ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ คุณอยากจะอยู่กับหุ่นยนต์สักตัวหนึ่งแล้วดินเนอร์ด้วยกัน หรือว่าคุณอยากจะนั่งอยู่กับคนที่คุณรักแล้วจับมืออยู่ด้วยกัน?

คุณอยากกินซูชิที่อร่อยที่สุดจากมือหุ่นยนต์ หรือคุณอยากนั่งกินซูชิโดยมือของเชฟอายุ 90 ปีที่ผ่านการทำงานมาแล้ว 50 ปี?

มันมีบางเรื่องในชีวิตที่หุ่นยนต์กลไกทำงานแทนมนุษย์ไม่ได้ และนั่นคือคำถามว่ามันคืออะไร และนั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องห่วงแหนรักษาเอาไว้เพื่อไม่ให้หายไป นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้

ถ้าเราหาเจอว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราจำเป็นต้องรักษาไว้ และถ้าเราฉลาดพอว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องรักษาไว้ แล้วเราสร้างธุรกิจหรือดำเนินชีวิตไปกับสิ่งที่เป็นคุณค่าของมนุษย์เหล่านั้นได้ เราก็จะอยู่ได้ในโลกสมัยใหม่ และนั่นเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์กลไก AI จะ disrupt เราไม่ได้

ถึงที่สุดแล้ว AI ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ปัญหาคือมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ต่างหาก เราจึงกลัว AI จึงกลัวหุ่นยนต์และกลไก สิ่งที่ต้องรักษาไว้สูงสุดคือความเป็นมนุษย์ และเรื่องที่ผมคุยตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาทั้งหมดคือความเป็นมนุษย์

ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องกลัวหุ่นยนต์ให้มากที่สุด แต่ถ้าเรารักษาความเป็นมนุษย์ แล้วเรารู้ว่าคุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน เราไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวความเปลี่ยนแปลง”


“คุณค่าสูงสุดของมนุษย์อยู่ที่ไหน”?

ปริศนาธรรมข้อนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมมาหลายปี และผมเริ่มมองเห็น “เค้าลาง” จากการระลึกถึงข้อเขียนและบทสนทนาในอดีต

พี่ประภาส ชลศรานนท์เคยเล่าไว้ในข้อเขียนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ถึงการไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อน นักร้องเสียงดีมาก ร้องเพลงเป๊ะทุกโน้ต แต่ปรากฎว่าเพื่อนตัดสินใจเดินออกจากคอนเสิร์ต พอถามว่าทำไม เพื่อนตอบว่านักร้องน่าเบื่อเกินไป

ตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมีเพื่อนร่วมงานชาวแคนาดาที่แก่กว่าผมเกือบ 20 ปี เขาเคยทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ก่อนจะมาทำงานที่เมืองไทย ผมถามเขาว่าชอบสิงคโปร์มั้ย เขาตอบว่าก็ดี แต่เขาชอบเมืองไทยมากกว่า พอผมถามเขาว่าทำไม เขาตอบว่าเพราะสิงคโปร์มันเพอร์เฟ็กต์เกินไป

เราไม่อาจรัก AI เพราะมันสมบูรณ์แบบเกินไป ไร้ข้อจำกัดเกินไป ไม่เหมือนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่สมบูรณ์แบบ

มันคือคอนเซ็ปต์ finitude ที่เป็นธีมสำคัญในหนังสือ Four Thousand Weeks ของ Oliver Burkeman


จะว่าไป เค้าลางที่ชัดเจนที่สุดอันหนึ่งสำหรับปริศนาธรรมที่พี่ภิญโญเคยทิ้งเอาไว้ ก็คือข้อเขียนของ Oliver Burkeman ใน newsletter ตอนล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า “It’s human connection, stupid.

Burkeman ลองชวนให้จินตนาการ ว่ามีวันหนึ่งที่เรากำลังรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง จมจ่อมอยู่ที่บ้านเพียงคนเดียว แล้วจู่ๆ เพื่อนสนิทที่ไม่ได้คุยกันมานานก็โทรมาหา เรากับเพื่อนได้คุยกันเป็นชั่วโมง เมื่อวางสาย เราเริ่มรู้สึกมีกำลังใจที่จะไปต่อกับชีวิต

แต่พอเช็คมือถือก็พบว่ามีอีเมลส่งมาจากเฟซบุ๊ค บอกว่าที่โทรมาเมื่อกี้ไม่ใช่เพื่อนของเราหรอก แต่เป็น AI ที่เลียนเสียงของเพื่อนเราได้เนียนสุดๆ

คำถามคือความรู้สึกเราจะเปลี่ยนไปมั้ย?

หลายคนน่าจะเห็นด้วยว่าเราคงรู้สึกไม่เหมือนเดิม ที่เรารู้สึกดีตอนวางสาย เพราะเราคิด(ไปเอง)ว่ามีมนุษย์อีกคนที่เป็นห่วงเป็นใย และพร้อมจะให้เวลาที่เขามีจำกัดบนโลกใบนี้เพื่อมานั่งคุยกับเราเพียงคนเดียวถึงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการได้คุยหนึ่งชั่วโมงกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีอายุ ไม่มีขีดจำกัด และสามารถคุยกับคนนับหมื่นนับล้านได้ในคราวเดียว

ก่อนการมาของ ChatGPT หลายคนเชื่อว่า AI ไม่สามารถทำงานสร้างสรรค์แทนมนุษย์ได้ แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนมันจะทำได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะแต่งเพลง วาดภาพ หรือเขียนนิยาย

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเรารู้ว่านิยายเล่มนี้เขียนโดย AI เราจะยังอยากอ่านมันอยู่อีกหรือ? ผมอาจจะอยากอ่านแค่เล่มแรกเพื่อให้รู้ว่าเป็นยังไง แต่ถ้านักเขียน AI ผู้นี้เขียนนิยายเพิ่มขึ้นอีก 1,000 เรื่องในวันนี้ – ซึ่งมันทำได้แน่นอน – ผมก็ไม่รู้ว่าจะ “ติดตาม” อ่านหนังสือของของเขายังไงเหมือนกัน

เพราะเวลาเราเสพงานศิลปะ เราไม่ได้ต้องการแค่ความบันเทิง แต่เราต้องการรู้สึกว่าเรากำลังสื่อสารกับ “ปลายสาย” ที่เป็นมนุษย์ ที่มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกนึกคิด มีชีวิตจิตใจ มีข้อจำกัด (finitude) และความไม่สมบูรณ์แบบ (imperfections) เฉกเช่นเดียวกับเรา

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะปฏิเสธ AI ไปเสียทั้งหมด เรายังสามารถใช้มันเพื่อช่วยให้เราสร้างสรรค์งานได้ แต่งานส่วนใหญ่ควรจะออกมาจากตัวเรา ไม่ได้ออกมาจาก AI

และนี่คือเหตุผลที่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าโพสต์สรุป Sapiens ความยาวถึง 18 หน้านั้นถึง “ไร้เสน่ห์” ไม่คุ้มกับการที่ผมจะใช้เวลาและพลังงานอันจำกัดไปเสพสิ่งที่ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีขีดจำกัด

ถ้าให้ผมเดา ในอนาคตคงมีคนใช้ AI สร้างบทความขึ้นมา จากนั้นก็ตั้งใจใส่ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ลงไปเพื่อให้ดูเหมือนว่ามันถูกสร้างโดยมนุษย์มากขึ้น ซึ่งนั่นก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ก็ย่อมหมิ่นเหม่ประเด็นที่ Yuval Harari จุดเอาไว้ ว่าการที่ AI เสแสร้งเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

ประโยคสุดท้ายในจดหมายข่าวของ Burkeman ฉบับนี้ ทิ้งตะกอนความคิดที่น่าพิจารณาสำหรับคนที่มองตัวเองเป็น “นักสร้างสรรค์”

“If I could press a button that generated a book chapter or a newsletter like this, so that nobody could tell the difference, I’d have eliminated all the effort involved – and also the entire point of doing it in the first place.”

ถ้าเพียงกดปุ่มแล้วมี AI ทำให้ทุกอย่าง แถมยังเนียนจนไม่มีใครจับได้ นั่นก็แสดงว่าเราแทบไม่ต้องใช้น้ำพักน้ำแรงอะไร แต่มันก็ทำให้สิ่งที่ผลิตออกแทบไม่เหลือคุณค่าหรือความหมายใดๆ สำหรับเราในฐานะ “คนทำงานสร้างสรรค์” เช่นกัน


บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอมุมมองสำหรับ creator ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักแปล นักดนตรี นักแสดง หรือนักอะไรก็ตามที่รังสรรค์งานให้ผู้อื่นเสพ

จากนี้ไป เนื้อหาในเน็ตคงจะมีทั้งที่ถูกสร้างโดย AI กับเนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จริง แม้เนื้อหาที่สร้างด้วย AI จะครบถ้วนขั้นเทพและเรียบร้อยสวยงามขนาดไหน ผมว่าสุดท้ายคนก็จะเบื่อ และแสวงหางานที่สร้างโดยมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้ออยู่ดี

ขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานสร้างสรรค์ ให้หาคุณค่าสูงสุดของมนุษย์ให้เจอ เพื่อจะเดินหน้าต่อด้วยความหวัง ความมุ่งมั่น และความตั้งใจครับ

ในโลกที่ผกผัน เราจะใช้อะไรนำทางชีวิต?

ผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า ทำธุรกิจสมัยนี้ยากกว่าสมัยก่อน แต่ก่อนยังวางแผนเป็นรายปีได้ แต่สมัยนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงทุกเดือน หรือแม้กระทั่งทุกสัปดาห์ ทำให้เราต้องพร้อมปรับตัวและปรับความคาดหวังกันตลอดเวลา

ในหนังสือ Aladdin & Luddite บอกเอาไว้ว่า ความเสี่ยงนั้นมีตั้งแต่ระดับแรดเทา (ความเสี่ยงที่เราเห็นได้แต่ไกลและจัดการได้) ระดับหงส์ดำ (ความเสี่ยงที่เราคาดไม่ถึงและส่งผลรุนแรง) และระดับมังกรราชัน (ความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบกว้างไกลและยาวนาน)

ความเสี่ยงระดับมังกรราชันที่ผมมองเห็นอยู่ตอนนี้ ก็คือเรื่องสงคราม เรื่องสภาพภูมิอากาศ และเรื่องเอไอ

เรื่องสงคราม นอกจากที่ยูเครนและอิสราเอลแล้ว ที่น่าเป็นห่วงก็คือไต้หวัน เพราะจีนและอเมริกาฮึ่มๆ กันมาพักใหญ่ ไต้หวันเป็นมหานครแห่งชิปประมวลผล (semiconductor chips) ซึ่งอยู่ในสิ่งที่เราขาดไม่ได้อย่างมือถือและแล็ปท็อป รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย

กลุ่มทรงอิทธิพลอย่าง OPEC ที่มี 13 ประเทศสมาชิก ครองส่วนแบ่ง 38% ของตลาดน้ำมันดิบโลก

แต่บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เพียงบริษัทเดียวมีส่วนแบ่งตลาดโลกของชิปถึง 55% ดังนั้นไต้หวันจึงมีความสำคัญมากในเชิงภูมิรัฐศาสตร์โลก (geopolitics) และหากมีกรณีพิพาทกันระหว่างจีนกับอเมริกาเรื่องไต้หวัน ย่อมส่งผลต่อ supply chain ทั่วโลกที่ต้องใช้ชิปอย่างแน่นอน

เรื่องสภาพอากาศที่แปรปรวน หลายคนอาจได้เห็นข่าวเมื่อต้นสัปดาห์ว่าโลกเราร้อนขึ้นเกิน 2 องศาเป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 150 ปีที่แล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าหากร้อนเกินสององศาแล้วจะส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมาเป็นลูกโซ่ในระดับที่เราไม่สามารถแก้ไขได้

ส่วนเรื่องเอไอก็อย่างที่เห็นกันว่ามันมาไกลและมาเร็วกว่าที่เราคาดคิด นักประวัติศาสตร์ Yuval Harari บอกว่านี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้าเปรียบกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ChatGPT ในปัจจุบันยังเป็นแค่เอไอระดับอะมีบา ถ้ามันวิวัฒนาการเป็นเอไอระดับทีเร็กซ์จะทรงพลานุภาพแค่ไหน

วันก่อนมีเพื่อนที่กำลังจะมีลูกถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าจะสอนอะไรลูกดี ผู้ใหญ่ท่านนั้นส่ายหน้า บอกว่าลูกของเราจะเติบโตไปในโลกที่เราไม่รู้จัก ดังนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราควรจะสอนอะไร

เมื่อยังต้องอาศัยอยู่และเอาตัวรอดในโลกที่ผันผวนขนาดนี้ ผมก็นึกถึงประโยคหนึ่งในหนังสือ “สู่ชีวิตใหม่ : การแสวงหาในช่วงหนึ่งของชีวิต” ของนายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ที่อ้างอิงถึงคำพูดของ Otto Charmer ผู้เขียนหนังสือ The Theory U เมื่อปี 2007 ว่า

“โลกในภายหน้า เราจะพบความแปรปรวนอย่างหนัก จนความรู้เดิมและประสบการณ์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เราทำได้เพียงเชื่อในสิ่งที่หัวใจบอก นำทางชีวิตพวกเราไป”

ฟังดู cheesy นิดๆ แต่เป็นถ้อยคำที่ควรพิจารณา

เพราะผมไม่คิดว่าคำตอบจะอยู่ใน ChatGPT TikTok หรือที่ปรึกษาใดๆ

เราทำได้เพียงเชื่อในสิ่งที่หัวใจบอก และให้มันค่อยๆ นำทางชีวิตของเราไป ส่วนจะใช้เครื่องมืออื่นใดเป็นตัวช่วยก็ไม่ผิด แต่ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นมันมากนัก

สุดท้าย ถ้ามันจะดีจะร้าย ก็ขอให้มันเป็นทางที่เราเลือกเองโดยรู้ตัวครับ

แรดเทา หงส์ดำ และมังกรราชัน”อาละดินกับลัดไดต์”หนังสือที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรได้อ่าน

Aladdin & Luddite | อาละดินกับลัดไดต์” เป็นหนังสือเล่มใหม่จาก openbooks หลังจากสำนักพิมพ์แห่งนี้ “จำศีล” ไปนานเกือบสามปี

อาละดินคือเจ้าของตะเกียงวิเศษที่สามารถเรียกยักษ์จินนี่ออกมารับใช้ตามที่ใจนายปรารถนา ปัญหาคือยักษ์จินนี่ที่มีชื่อว่าเอไอถูกเรียกออกมา และไม่อาจส่งกลับเข้าตะเกียงได้อีกต่อไป

ลัดไดต์ คือชื่อเรียกของกลุ่มช่างทอผ้าชาวอังกฤษช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่ลุกขึ้นมาประท้วงการนำเครื่องจักรมาใช้ในโรงงาน เพราะกลัวว่ามันจะมาทำลายการเลี้ยงชีพของพวกเขา

การประท้วงของลัดไดต์บางกลุ่มรุนแรงถึงขั้นทำลายเครื่องจักร จนนำไปสู่การล้อมปราบของรัฐบาล ลัดไดต์จำนวนมากได้รับโทษจำคุก ประหารชีวิต หรือถูกส่งไปยังเมืองอาณานิคมอย่างออสเตรเลีย

ผมอ่านอาละดินกับลัดไดต์จบด้วยความอิ่มเอมและความกังวล

อิ่มเอม เพราะได้เห็นภาพใหญ่ที่พี่ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการคัดสรร (curator) ได้ร้อยเรียงเรื่องราวจากหนังสือเล่มหนา 5 เล่มของนักคิดนักเขียนระดับปรมาจารย์

กังวล เพราะรู้ตัวว่าหากไม่ลงมือทำอะไรที่ต่างออกไปตั้งแต่ตอนนี้ ผมอาจต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง

หนังสือที่ปรากฎตัวใน Aladdin & Luddite ได้แก่

  1. World Order ของเฮนรี คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) นักยุทธศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในโลก
  2. Doom ของนีลล์ เฟอร์กูสัน (Niall Ferguson) นักประวัติศาสตร์แถวหน้าของอังกฤษ
  3. The Technology Trap ที่นิตยสาร Financial Times ยกย่องให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดประจำปี 2019 ในหมวดเทคโนโลยี เขียนโดย คาร์ล เบเนดิกต์ เฟรย์ (Carl Benedikt Frey) นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจเทคโนโลยี
  4. Redesigning Work ของลินดา แกรตตัน (Lynda Gratton) อาจารย์ดีเด่นแห่งปีของ London Business School และผู้เขียนหนังสือ “ชีวิตศตวรรษ” (The 100-Year Life) ที่พิมพ์ไปแล้วนับล้านเล่ม
  5. The Metaverse – ของ คิมซังกยุน (Sangkyun Kim) หนึ่งในหนังสือที่สร้างปรากฏการณ์ในเกาหลี

เมื่อระเบียบโลกที่เราคุ้นเคยกำลังพังทลาย สัตว์มหัศจรรย์ทั้งหลายเริ่มปรากฎตัว ไม่ว่าจะเป็นแรดเทา (อันตรายที่เรามองเห็นและพอคาดเดาได้) หงส์ดำ (อันตรายที่เรามิอาจคาดการณ์) และมังกรราชัน (เหตุการณ์รุนแรงเกินจินตนาการ)

เทคโนโลยีที่มาใหม่ อาจเป็น labor-enabling technology ที่ช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจเป็น labor-replacing technology อย่างเครื่องทอผ้าที่ทำให้แรงงานฝีมือนั้นด้อยคุณค่าในข้ามคืน

เราจึงต้องวางแผนชีวิตและการงานของเราใหม่ ต้องเพิ่มทักษะเพื่อจะไม่ต้องเป็นลัดไดต์ที่ต่อต้านจักรกลและเอไอโดยไม่เห็นหนทางชนะ

การเรียนเต็มเวลา ทำงานเต็มเวลา และจบลงด้วยการเกษียณอาจไม่ตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไป เพราะเงินที่เรากันไว้ยามชราอาจไม่พอใช้สำหรับชีวิตที่อาจยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี

เมื่อ Metaverse แพร่หลายไปกว่านี้ เราจะมีตัวตนใหม่อยู่ในโลกคู่ขนานที่กำกับโดยเอไอ จนเราไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า ตัวเองเป็นจวงจื่อที่ฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือเราเป็นผีเสื้อที่ฝันว่าเป็นจวงจื่อกันแน่

Aladdin & Luddites จึงเป็นเหมือน wake-up call ให้เราตื่นจากฝันและตื่นจากความชะล่าใจ เผลอคิดว่าอนาคตคือเส้นตรงที่ลากไปจากปัจจุบัน ทั้งที่จริงแล้วทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปในอัตราเร่ง

“เมื่อวิกฤติยังมาไม่ถึง
เรามีแนวโน้มที่จะประเมินสถานการณ์
ต่ำกว่าความเป็นจริง

เราจึงไม่คิดว่า
แรดเทา จะกลายเป็น หงส์ดำ
และ หงส์ดำ จะกลายร่าง
เป็น มังกรราชัน ได้…

เราจึงไม่ตัดสินใจกระทำการใหญ่
ได้แต่ผัดผ่อนการแก้ปัญหา
คล้ายการเตะกระป๋องไปเบื้องหน้า

ด้วยเชื่อว่าปัญหา
อาจจะมีใครบางคนช่วยคลี่คลาย
และเรื่องจริงคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น

นี่คืออันตรายที่สุด
ในการเตรียมตัวรับมือวิกฤติ
ในทุกมิติของชีวิต”

อาละดินกับลัดไดต์ไม่ใช่หนังสือ How To มันไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูป จริงๆ แล้วเมื่ออ่านจบแล้วเราจะมีคำถามมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เราจะออกแบบชีวิตอย่างไรให้มีภูมิคุ้มกันจากแรดเทา หงส์ดำและมังกรราชัน?

เราควรลงมือทำสิ่งใดเพื่อลดโอกาสที่เราจะกลายเป็นลัดไดต์แห่งศตวรรษที่ 21?

เราจะให้การศึกษาอะไรกับลูกในวันที่ AI จะทำได้ดีกว่าลูกเราเกือบทุกอย่าง?

เป็นคำถามที่เราต้องสบตาและใช้เวลาขบคิดให้มาก ไม่อย่างนั้นเราอาจเสียแรงและเวลาอย่างผิดที่ผิดทางและเปล่าดาย

“เราจะรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนได้อย่างไร
ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแบ่งฝ่าย
ความเกลียดชัง ความเย้ยหยัน ความริษยา
และความปรารถนาอันไม่สิ้นสุด

อะไรคือการศึกษายุคใหม่
ที่เราต้องมอบให้ลูกหลาน
เพื่อเตรียมพวกเขาให้เข้าสู่โลกอนาคต
อนาคตซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจ…

นอกจากมีเงินเก็บเท่าไรจึงจะมั่นคง
เราอาจจะต้องคิดถึงคำถามใหม่ที่ว่า
เราจะรู้สึกมั่นคงได้อย่างไร
โดยไม่จำเป็นต้องมี
เงินเก็บมากมายตามตำรา”

ผมเชื่อว่า “อาละดินกับลัดไดต์” เป็นหนังสือที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรได้อ่าน เผื่อว่ามันจะกระตุกให้เราได้หยุดคิดพิจารณา เริ่มวางแผนสำรองให้กับชีวิตและครอบครัว เพื่อเตรียมตัวกับอนาคตที่ไร้ซึ่งความแน่นอนครับ


ขอบคุณเนื้อหาและประกายความคิดจากหนังสือ Aladdin & Luddite | อาละดินกับลัดไดต์ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เรียบเรียง สำนักพิมพ์ openbooks (หนังสือมีสองปกคือสีฟ้าและสีส้มอมชมพู ขอบคุณภาพจากเพจ openbooks ครับ)

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

3 แง่มุมของ AI ที่เราควรตระหนัก จากมุมมองของผู้เขียน Sapiens

ผมเพิ่งได้ฟังการสัมภาษณ์ที่นักข่าว Pedro Pinto พูดคุยกับ Yuval Noah Harrari ผู้เขียนหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind

การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองลิสบอนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2023 เนื้อหาหลักของการพูดคุยคือ AI จะมีผลกระทบต่อการเมืองและประชาธิปไตยอย่างไร

ในช่วงต้นของการสัมภาษณ์ ฮารารีได้พูดถึงบางแง่มุมของ AI ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ จึงขอนำมาแชร์ไว้ตรงนี้ครับ

.

1. AI ที่เราเห็นยังเป็นแค่อะมีบา

AI ที่เราใช้งานกันอยู่มีอายุประมาณ 10 ปี

วิวัฒนาการต้องใช้เวลาถึง 4 พันล้านปีกว่าจะสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เราเห็นในทุกวันนี้ ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์

เมื่อสี่พันล้านปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกยังเป็นแค่อะมีบา (amoeba) อยู่เลย

ChatGPT จึงเป็นแค่อะมีบาในโลกของ AI

ถ้า AI ระดับอะมีบายังทำได้ขนาดนี้ ลองนึกภาพดูว่า AI ระดับ T-Rex จะทำได้ขนาดนี้

และต้องใช้เวลาเท่าไหร่ที่ “อะมีบา AI” จะวิวัฒนาการเป็น “ทีเร็กซ์ AI”

คงไม่ได้ใช้เวลาเป็นพันล้านปีแน่ๆ อาจจะใช้เวลาแค่ระดับทศวรรษหรือไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะว่าวิวัฒนาการของ AI อยู่บนคนละ time scale กับสิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง เนื่องจาก AI ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

.

2. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่ตัดสินใจได้เอง

เราคงเคยได้ยินบางคนพูดว่า AI ไม่ได้อันตรายอย่างที่เราคิด ที่ผ่านมาเวลาเกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ คนก็มักจะกลัวกันไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็โอเค ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสิ่งพิมพ์หรือการบิน ดังนั้นสุดท้ายแล้ว AI ก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกัน

แต่เราไม่อาจเทียบ AI กับเทคโนโลยีอื่นได้ เพราะไม่เคยมีเทคโนโลยีใดในประวัติศาสตร์ที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง

ยกตัวอย่างระเบิดปรมาณู (atomic bomb) – แม้ว่ามันจะทำลายเมืองทั้งเมืองได้ แต่มันไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไประเบิดที่เมืองไหน เรายังต้องใช้มนุษย์ในการเลือกอยู่ดี

แต่ AI นั้นตัดสินใจเองได้ เวลาเรายื่นขอเงินกู้ หลายธนาคารใช้ AI ในการตัดสินใจว่าจะปล่อยกู้ให้เราหรือไม่

.

3. AI เป็นเทคโนโลยีชนิดแรกที่สร้างไอเดียใหม่ๆ ได้

เทคโนโลยีการพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ทำได้เพียงกระจายไอเดียที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมันสมองของมนุษย์

โยฮันเนส กูเตนเบิร์ก เป็นผู้ปฎิวัติการพิมพ์จนทำให้สามารถพิมพ์ไบเบิลออกมาได้ในช่วงศตวรรษที่ 15

“The printing press printed as many copies of the Bible as Gutenberg instructed it, but it did not create a single new page”

แท่นพิมพ์เหล่านั้นจะพิมพ์ไบเบิลออกมากี่ร้อยกี่พันเล่มก็ได้ แต่มันไม่สามารถ “เขียน” ไบเบิลหน้าใหม่ออกมาได้เลยแม้แต่หน้าเดียว

แท่นพิมพ์เหล่านั้นไม่มีไอเดียเป็นของตัวเอง มันไม่รู้หรอกว่าไบเบิลที่มันผลิตออกมานั้นดีหรือไม่ดี

แต่ AI สามารถสร้างไอเดียใหม่ๆ ได้ มันอาจจะสามารถเขียนไบเบิลใหม่ทั้งเล่มได้เลยด้วยซ้ำ

หลายศาสนามักจะเคลมว่าพระคัมภีร์ของศาสนาตัวเองนั้นถูกเขียนขึ้นโดยบางสิ่งที่มีภูมิปัญญาเหนือมนุษย์ (superhuman intelligence)

แต่ไม่กี่ปีต่อจากนี้ อาจจะเกิดศาสนาใหม่ที่มี AI เป็นผู้เขียนพระคัมภีร์จริงๆ ก็ได้


ขอบคุณข้อมูลจาก YouTube: Humanity is not that simple | Yuval Noah Harari & Pedro Pinto

Siri ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราพูดหรอกนะ

ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือ “ฉลาดกว่า AI” ของสำนักพิมพ์ howto อยู่ครับ

เขาโฆษณาว่านี่เป็นหนังสือ AI ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น

แม้จะเขียนมา 5 ปีแล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ยังเป็นความรู้ใหม่สำหรับผมมาก

มีช่วงตอนหนึ่งที่ผมลองอ่านแล้วทำตามแล้วสนุกมาก คือการ “เข้าใจคำสั่งของมนุษย์” ของ AI

หลายคนคงคุ้นเคยกับการพูดคุยกับ Siri หรือ Google Assistant เพื่อให้มันเปิด Google Maps พาเราไปไหนต่อไหน แล้วเราก็คิดว่า AI นี่ชักจะพูดจารู้เรื่องเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกที

แต่ที่เราคิดว่า AI เข้าใจเรานั้น จริงๆ แล้วมันไม่ได้เข้าใจเราจริงๆ หรอก มันแค่ “ทำเป็นเข้าใจ” เราเฉยๆ

ลองทดลองดูง่ายๆ ก็ได้ ในตัวอย่างนี้ผมลองกับ Google search ในคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของผม แต่คุณจะลองทำผ่าน Siri หรือ Google Assistant บนโทรศัพท์ก็คงจะได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวอย่างแรก ผมอยากหาร้านอาหารอิตาเลี่ยนดีๆ ที่อยู่แถวนี้ ก็เลยพิมพ์ว่า

find good italian restaurants near me

ก็จะได้ลิสต์ร้านอาหารที่คะแนน 4 ดาวขึ้นไปมาโชว์ให้เห็น

แต่ถ้าเราอยากหาร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ไม่อร่อยล่ะ?

find bad italian restaurants near me

ผลลัพธ์ที่ได้คือรายชื่อร้านอาหารอิตาเลี่ยน 4 ดาวขึ้นไปเหมือนกัน ตัวผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนข้อแรกซะทีเดียว แต่ในตัวอย่างนี้ผมก็มีร้านที่ซ้ำกับข้อแรกคือร้าน Peppe และไม่มีร้านไหนที่ได้คะแนนน้อยๆ เลย

แล้วถ้าอยากหาร้านอร่อยๆ ที่ไม่ใช่ร้านอิตาเลี่ยนล่ะ?

find good restaurants near me except italian restaurants


ผลลัพธ์ก็แทบไม่ต่างจากข้อแรกเช่นกัน ร้านที่โชว์ขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นร้านอิตาเลี่ยนที่ได้คะแนนดีๆ ทั้งนั้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไม AI ที่เก่งกาจถึงไม่เข้าใจคำว่า “bad” หรือ “except”?

สาเหตุก็เพราะ AI ไม่ได้เข้าใจความหมายของภาษามนุษย์จริงๆ สิ่งที่มันทำคือใช้หลักการสถิติและความน่าจะเป็นในการศึกษา big data ว่าถ้าถูกถามด้วยประโยคที่มี keywords เหล่านี้ คำตอบควรจะเป็นแบบไหน

แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีคนถามหาร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ไม่อร่อยหรือร้านอร่อยที่ไม่ใช่ร้านอิตาเลี่ยน ฐานข้อมูล big data จึงไม่ค่อยมีรูปประโยคเหล่านี้ และคำว่า bad หรือคำว่า except จึงไม่มีน้ำหนัก ผลลัพธ์จึงไม่ต่างจากการค้นหาร้านอิตาเลี่ยนตามปกติ

ผมว่านี่เป็นประเด็นสำคัญ เพราะมันคือช่องว่างระหว่างสติปัญญาของมนุษย์และสติปัญญาของ AI ซึ่งอาจจะเป็นกุญแจนำเราไปสู่คำตอบที่ว่า มนุษย์เราจะยังรักษาคุณค่าของตัวเองไว้ได้อย่างไรในวันที่ AI ครองเมือง

ไว้อ่านหนังสือเล่มนี้จบผมอาจจะได้มาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ