รักลูกไม่ควรมีเงื่อนไข แต่การชอบลูกควรมีเงื่อนไข

ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างที่ “ใกล้รุ่ง” ลูกชายวัยเกือบ 8 ขวบ กำลังนั่งทำการบ้านเลขอยู่ เขาก็ทักขึ้นมาถามผมว่า

“แด๊ดดี้ GPA คืออะไรครับ?”

“GPA คือตัวบ่งบอกว่าเราเรียนได้ดีแค่ไหน คะแนนเต็มคือ 4.0”

“แล้วมีคนได้ GPA 0 บ้างมั้ย?”

“ก็ยากนะ ปกติได้ 1.5 นี่ก็ถือว่าต่ำมากๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะให้เรียนใหม่”

“แล้วแด๊ดดี้คิดว่าใกล้รุ่งน่าจะได้ GPA เท่าไหร่”

“คิดว่าน่าจะถึง 3.5 ได้นะ”

“ทำไมล่ะครับ?”

“เพราะใกล้รุ่งมีศักยภาพที่จะทำได้ไง”

แล้วใกล้รุ่งก็กลับไปนั่งทำการบ้านเลขต่อ

ผ่านไป 2-3 นาที ใกล้รุ่งหันมาถามเพิ่มว่า

“ถ้าใกล้รุ่งได้ GPA ไม่ถึง 3.5 แด๊ดดี้จะผิดหวังรึเปล่า?”

ผมคิดในใจว่าดีจังเลยที่ถาม เกือบไปแล้ว

“ทำไมต้องผิดหวังด้วยล่ะ การได้ GPA สูงๆ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก ที่สำคัญกับแด๊ดดี้มากกว่าคือใกล้รุ่งเป็นคนดีรึเปล่า และถึงยังไงแด๊ดดี้ก็รักใกล้รุ่งเสมออยู่แล้ว”

ใกล้รุ่งพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะเข้าใจ แล้วก้มลงทำการบ้านต่อ เป็นอันจบบทสนทนา


หลายปีที่แล้ว ผมเคยอ่านเจอคุณแม่คนหนึ่งเล่าว่า

“I always love my children, but I don’t always like them.”

ตอนที่อ่านตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว

ว่าความรักของพ่อแม่นั้นไม่มีเงื่อนไข อย่างน้อยก็สำหรับพ่อแม่จำนวนหนึ่ง

แต่เราต้องระวังไม่ให้ความรักที่มีมากมายนั้นไปทำให้เรากลัวว่าเขาจะไม่รักเราด้วย

เพราะถ้าเรากลัวว่าลูกจะไม่รักเรา เราอาจเผลอตามใจลูกเกินพอดี

มันจึงมีคำพูดเตือนสติพ่อแม่ว่า “ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน”

ผมกับเพื่อนๆ เคยนั่งคุยกับ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร และ “พี่วู้ดดี้” ธนพล ศิริธนชัย เรื่องการส่งลูกเรียนโรงเรียนไทยกับโรงเรียนอินเตอร์

พี่วู้ดดี้บอกว่า สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอน คือความกตัญญูรู้คุณ สัมมาคารวะ และความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะสิ่งเหล่านี้โรงเรียนไม่ค่อยสอน แต่สำคัญมากสำหรับการอยู่และเติบโตในสังคมไทย

ลูกผมเรียนโรงเรียนอินเตอร์เล็กๆ แถวบ้าน พูดภาษาอังกฤษกันตลอด ทำให้บางทีเวลาพูดไทยจะไม่ค่อยมีหางเสียง จึงเป็นสิ่งที่ผมกับภรรยาต้องคอยเตือนตลอดว่า พูดอะไรให้ลงท้ายด้วย “ครับ/คะ/ค่ะ” ถ้าจะขออะไรเป็นภาษาอังกฤษต้องมีคำว่า “please” เสมอ เวลาเจอผู้ใหญ่ให้ยกมือไหว้โดยที่แด๊ดดี้มัมมี่ไม่ต้องคอยบอก และเวลาได้รับความช่วยเหลือจากใครก็ยกมือไหว้ขอบคุณเขา สิ่งเหล่านี้ถ้าเราทำจนเป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก จะทำให้คนรอบข้างเอ็นดู ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนชอบ

เหมือนหนึ่งในกฎ 12 ข้อที่ใช้ได้ทั้งชีวิตของ Jordan Peterson (12 Rules for Life)

“Do not let your children do anything that makes you dislike them.”

อย่าปล่อยให้ลูก ๆ ทำสิ่งที่จะทำให้เรา (หรือใครก็ตาม) ไม่ชอบเขา

แน่นอนว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบลูกเราได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเราไม่ควรปล่อยปละละเลย (หรือกลัวลูกไม่รัก) จนลูกมีนิสัยบางอย่างที่ทำให้เราไม่ชอบเขา

สุดท้ายแล้วเราอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดี มีชีวิตที่ดีแม้ในวันที่เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับเขาแล้ว

รักลูกไม่ควรมีเงื่อนไข แต่การชอบลูกควรมีเงื่อนไขครับ

ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน

ช่วงนี้ผมกำลังอ่านหนังสือชื่อ Are You Mad at Me: How to Stop Focusing on What Others Think and Start Living for You ของ Meg Josephson อยู่ครับ

เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้ 4.48 ดาวบน Goodreads

หนังสือเหมือนจะเขียนให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก เพราะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ผมอ่านแล้วก็คิดว่ามันใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยเหมือนกัน

เราคงคุ้นเคยกันว่า เวลาเจอ “สถานการณ์อันตราย” เรามักจะมีวิธีตอบสนองแบบ fight or flight – ไม่สู้ก็หนี เช่นเวลาที่แฟนโกรธเรามากๆ ถ้าเราไม่ทะเลาะด้วยก็ใช้วิธีเดินหนี

หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อสามคือ freeze คือหยุดนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชวนให้นึกภาพกวางที่ยืนแน่นิ่งกลางไฮเวย์ยามค่ำคืน สายตาจับจ้องรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

fight, flight or freeze นี่คือสามวิธีที่เราใช้เมื่อพบกับความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในอันตราย

หนังสือ Are You Mad at Me สอนให้รู้จักกับวิธีการที่สี่ที่คือ fawn – อ่านว่า “ฟอว์น”

เป็นคำสั้นๆ พยางค์เดียว จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลยในชีวิต

Fawn แปลว่า give a servile display of exaggerated flattery or affection, typically in order to gain favor or advantage

ถ้าให้แปลเป็นไทยจะฟังดูแรงไปหน่อย คือ ประจบสอพลอ

แต่ความหมายของ fawn ในบริบทของ fight/flight/freeze/fawn หมายถึงการที่เราไม่กล้าขัดใจคนอื่น เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เราไม่ปลอดภัย จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทำร้าย ก็เลยใช้วิธี “เอาอกเอาใจ” แทน

เมื่อเราคุ้นชินกับการทำอย่างนั้น โตขึ้นมาเราก็เลยกลายเป็น “people pleasers” ที่อยากทำให้คนอื่นสบายใจไปเสียหมด ส่วนเรารู้สึกอย่างไรก็เก็บกดมันเอาไว้ข้างใน

จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ Are You Mad at Me? เพราะคนที่เป็น people pleasers จะกังวลอยู่ตลอดว่าเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า

Meg Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ก่อนที่เราจะเป็น people pleasers ได้นั้น เราเป็น parent pleasers กันมาก่อน

นั่นคือเราต้องเคยเอาอกเอาใจพ่อแม่จนติดเป็นนิสัย

การเอาอกเอาใจหรือ fawning ไม่ใช่เรื่องผิด มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดปลอภัยในวัยเด็กมาได้

มาลองดูกันว่าชีวิตวัยเด็กที่ต่างกันไปทำให้เราโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหนได้บ้างครับ

The Peacekeeper – ผู้รักษาความสงบ

เราอาจโตมาในครอบครัวที่คนในบ้านทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีคนใดคนหนึ่งโมโหร้าย ปิดประตูโครมคราม เดินกระทืบเท้า อารมณ์แปรปรวน บางทีก็โกรธหรือไม่ยอมคุยกับเราโดยที่เราไม่รู้เหตุผล

เด็กที่อยู่ในบ้านหลังนี้มักจะโดนแม่บังคับให้ไปขอโทษพ่อ หรือพ่อสั่งให้ไปขอโทษแม่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร พอจะเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ และบอกกับเด็กว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

เมื่อโตขึ้นมา เราจึงกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ และถ้ารู้สึกว่าทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ก็จะโทษตัวเองเอาไว้ก่อนและขอโทษขอโพยคนอื่นมากเกินพอดี (overapologize)

The Peacekeeper มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจลึกๆ นั้นดีกว่าแสดงมันออกมาและทำให้คนอื่นไม่พอใจ
  • เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะจับได้ว่าเราเป็นคนไม่ดี
  • ถ้ามีใครอารมณ์เสีย แสดงว่านั่นเป็นความผิดของเรา

The Performer – นักแสดง

บ้านหลังนี้ไม่ได้เสียงดังเหมือนบ้านหลังแรก แต่เต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศ “มาคุ” อยู่ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกของผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยถูกเอาขึ้นมาคุยกันอย่างเปิดอก

ความไม่ชอบใจไม่พอใจนั้นถูกเก็บเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พ่อมักจะค่อนแคะแม่ให้ลูกฟัง และแม่ก็บ่นถึงพ่อให้ลูกฟังเช่นกัน

เมื่อลูกจับความตึงเครียดในครอบครัวได้ สิ่งที่ลูกพอจะทำได้คือการยิงมุกหรือทำตัวตลกโปกฮาเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะโตขึ้นมาเป็นตัวเฮฮาประจำกลุ่ม และมองโลกในแง่บวกเยอะกว่าคนปกติ เด็กจะมองว่าการทำให้คนรอบตัวมีความสุขเป็นหน้าที่ของเขา และเด็กคนนี้จะรู้สึกว่าไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเพราะต้อง “แสดง” (perform) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยเอามากๆ

The Performer มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • การสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นเป็นหน้าที่ของเรา
  • เราควรเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อให้เขาชอบเรา
  • เรารู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา และต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ไว้เสมอ

The Caretaker – ผู้ดูแล

เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านที่มักจะมีพี่หรือน้องไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีพัฒนาการช้า เวลาและพลังงานของพ่อกับแม่จึงเทไปอยู่ที่คนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้ “เด็กปกติ” อย่างเราไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่นัก ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราก็รักพี่รักน้องของเราเหมือนกัน

เด็กคนนี้จึงทำตัวเป็นคน low maintenance ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร แถมยังพยายามช่วยเหลือทุกคนจนมักได้รับคำชมว่า “ความคิดความอ่านโตเกินวัย”

เด็กที่โตมาในครอบครัวแบบนี้ จะรู้สึกว่าเขาจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น เด็กจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาตัวน้อยของพ่อแม่ รับฟังความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเคืองที่พ่อแม่มีต่อกันและกัน

เด็กคนนี้จะไม่เล่าปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่อยากไปเพิ่มความเครียดให้พ่อหรือแม่อีก การที่เขาช่วยแบ่งเบาภาระของคนในบ้าน เพราะลึกๆ แล้วก็แอบหวังว่าถ้าพ่อแม่มีเวลามากขึ้นอีกนิด พ่อแม่อาจจะพอมีเวลามาคิดถึงเขาบ้าง

เมื่อโตขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเลย (hyperindependent) ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่เคยมีใครมาถามว่าเขาเป็นอย่างไร ชีวิตโอเครึเปล่า เพราะทุกคนคิดไปเองว่าเขาคนนี้จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด

คนที่เป็น Caretaker เวลาคบกับใคร จิตใต้สำนึกมักจะผลักให้เขาเลือกคบกับแฟนที่ต้องการการดูแล เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่เขาคุ้นเคย

The Caretaker มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ถ้าเราแคร์คนอื่นมากพอ สุดท้ายพวกเขาจะแคร์เราบ้างเหมือนกัน
  • ความต้องการของคนอื่นนั้นสำคัญกว่าความต้องการของเรา
  • เรามีคุณค่าต่อเมื่อเราทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น

The Lone Wolf – หมาป่าเดียวดาย

ถ้าชีวิตในวัยเด็ก เรารู้สึกว่าถูกละเลย (emotional neglect) ไม่มีใครมาสนใจเรา เราก็จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นหมาป่าเดียวดาย

เวลาเราไปเข้าค่ายหลายๆ คืน บ้านอื่นอาจจะเตรียมขนมและข้าวของเครื่องใช้แบบจัดเต็ม ในขณะที่กระเป๋าของเราแทบไม่มีอะไรเลย แถมระหว่างตอนอยู่ค่ายก็ไม่มีคนที่บ้านทักมาหาเหมือนเพื่อนคนอื่น

เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ และเราเข้ามาเก็บตัวร้องไห้ในห้องคนเดียว เราแอบหวังว่าพ่อหรือแม่จะมาเคาะประตูห้องและเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นหรือยัง เมื่อกี้แม่ขอโทษที่ตวาดลูกไป แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมาเคาะประตูห้องเราเลย

เราไม่กล้าบอกพ่อแม่เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เพราะถ้าพ่อแม่เชื่อแบบนั้นจริงๆ เรากลัวว่าพ่อแม่จะเลิกใส่ใจเราไปอย่างสิ้นเชิง

เด็กที่โตมาในบ้านหลังนี้ จะกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน (hyperindepedent) เวลาเล่นกีฬาก็มักจะเล่นกีฬาเดี่ยว ไม่อยากเล่นเป็นทีมเพราะกลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง และพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด คือห้องนอนของตัวเอง

The Lone Wolf มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • ความรักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
  • ไม่ควรสนิทกับใครเพราะไม่อยากจะผิดใจกัน
  • การปล่อยให้ใครรู้จักเรามากเกินไปเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย

The Perfectionist – เพอร์เฟกชั่นนิสต์

บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน

เด็กในบ้านหลังนี้มักจะมีพ่อหรือแม่ (หรือทั้งคู่) ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และควบคุมชีวิตลูก มักจะบอก (หรือบังคับ) ลูกว่าควรเรียนอะไร เรียนที่ไหน การที่เด็กจะหนีให้พ้นข้อติติงได้ ก็ด้วยการทำตัวให้ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาด

เวลาที่ลูกท้อแท้หรืองอแง พ่อแม่จะบอกว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ (not productive) และพอพ่อแม่เห็นว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่ควรค่าแก่การนั่งคุยกัน ลูกก็จะมองว่าตัวเองผิดที่มีความรู้สึกแบบนี้

เด็กจึงโตมาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นว่าสอบได้ A ทุกวิชายกเว้นวิชาเดียวที่ได้ B จะเป็นคนไม่กล้าบอกใครเวลาทำอะไรผิดพลาดเพราะกลัวจะโดนเพื่อนๆ วิจารณ์เหมือนที่เคยโดนพ่อแม่ตำหนิ

เพอร์เฟกชั่นนิสต์จะแสดงออกว่าเขา productive ตลอดเวลา ถ้าในวัยเด็กกำลังนอนดูทีวีอยู่และได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาก็จะโยนรีโมตทิ้งแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นนั่งอ่านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจะเป็นคนที่กดดันตัวเองและรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะไม่อาจเป็นคนสมบูรณ์แบบเหมือนภาพที่วาดเอาไว้

The Perfectionist มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เราต้องเพอร์เฟ็กต์เราถึงจะได้รับความรัก
  • สิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้นไม่เคยดีพอ
  • ลึกๆ แล้วเรามีอะไรที่ผิดปกติไปจากคนอื่น

The Chameleon – กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

ใครที่ในวัยเด็กที่รังแกหรือถูกล้อบ่อยๆ มักมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นกิ้งก่าที่ปรับสีสันไปตามสภาพ

เราอาจถูกล้อเรื่องการแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ รูปร่างหน้าตา เวลายกมือตอบคำถามในห้องเรียนก็ถูกเพื่อนๆ หัวเราะคิกคัก โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบมาหาเรื่องเราบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ดูเท่ ดูอินเทรนด์ ดูมีพาวเวอร์ และชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสํู้อย่างเรา เพราะเราอาจเพิ่งย้ายโรงเรียนมา หรือมีฐานะครอบครัวยากจน

พอเราโดนรังแกมากๆ จนร้องไห้ไปบอกที่บ้าน พ่อหรือแม่กลับบอกว่าอย่าไปใส่ใจ จงทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น

แต่การล้อเลียนก็ยังคงดำเนินต่อไป เราเลยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการเลียนแบบคนที่ชอบรังแกเรา ถ้าเด็กกลุ่มนี้ดูรายการทีวีเรื่องอะไรเราก็ดูตาม จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง เด็กกลุ่มนี้แต่งตัวแบบไหนเราก็แต่งตาม เขาจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าเราแต่งตัวเชย

การเลียนแบบคนที่ชอบรังแกคือแนวทางในการปกป้องตัวเอง แต่สิ่งที่ตามมาคือเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วเราเป็นใครกันแน่ เราชอบอะไรกันแน่ เราไม่มีความเห็นเป็นของตัวเองเลยเพราะเคยชินกับการทำตามคนอื่นมาตลอด

The Chameleon มักจะมีความเชื่อเหล่านี้

  • เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
  • เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
  • เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร

และนี่คือคน 6 ประเภทที่เราอาจเป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน

บ้านที่มีปากเสียง จะทำให้เราเป็น ผู้รักษาความสงบ
บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก)
บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล
บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย
บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน

คิดว่าหลายท่านคงจะพอเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และเหตุใดเราถึงกลายเป็น people pleasers และต้องใช้วิธีการ fawning เอาอกเอาใจคนอื่นและไม่ค่อยยอมบอกความต้องการของตัวเอง เพราะมันจำเป็นต่อการเอาตัวรอดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

แล้วถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เต็มทีแล้ว เราจะเยียวยารักษาตัวเราได้อย่างไร?

ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ จึงไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปหาหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson มาลองอ่านดู

ก่อนจากกัน ขอฝากประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมาก และอยากให้ลองพูดกับตัวเอง:

“Thank you, past self, for protecting me for so long. I am safe now.”

ขอบคุณนะ ตัวเราในอดีต ที่ปกป้องเรามาตลอด ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วนะ

พ่อคนแม่คนควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง

ทุกวันเสาร์สิบโมงเช้าผมจะขับรถไปส่งลูกเรียนเปียโนที่บ้านของคุณครูในหมู่บ้านแถวพัฒนาการ จากนั้นผมก็จะไปนั่งกินช็อคโกแล็ตเย็นร้านประจำที่อยู่ในซอยเดียวกัน ก่อนจะขับรถไปรับลูกตอนสิบเอ็ดโมง

ตอนนี้ปรายฝนเก้าขวบครึ่ง ส่วนใกล้รุ่งเจ็ดขวบครึ่ง เมื่อตอนที่พวกเขายังเด็กกว่านี้ ใกล้รุ่งจะชอบประท้วงว่าทำไมผมไม่นั่งรอที่บ้านคุณครู พอเขาเรียนเสร็จจะได้เจอผมเลย ไม่ต้องนั่งรอ (บางทีผมจะมาถึงช้ากว่าที่เขาเรียนเสร็จประมาณ 3-5 นาที) ใกล้รุ่งเปรียบเทียบว่าเวลาคุณย่าหรือมัมมี่ (คุณแม่) มาส่งยังนั่งรอที่บ้านเปียโนเลย

ผมตอบใกล้รุ่งว่า รอนิดรอหน่อยไม่เห็นเป็นไร เพราะบางทีเจ่เจ้ (ปรายฝน) ก็เรียนเสร็จช้ากว่าสิบเอ็ดโมงเหมือนกัน ยังไงใกล้รุ่งก็ต้องรออยู่ดี และแด๊ดดี้เองก็ไม่ชอบนั่งรอในห้องแอร์ แด๊ดดี้อยากไปนั่งที่ร้านประจำของแด๊ดดี้ที่มีโซนพัดลม กินช็อกโกแล็ตแก้วโปรดแล้วอ่านหนังสือที่ชอบ พอถึงเวลาก็มารับใกล้รุ่ง เป็น win-win กันทุกฝ่าย

ใกล้รุ่งเคยประท้วงอย่างนี้อยู่ 3-4 ครั้ง ก่อนจะหยุดไปหลังจากที่ผมยืนกรานคำเดิม

วันนี้ตอนที่ส่งเด็กๆ เสร็จ ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าวันหนึ่งเขาถามขึ้นมาอีก ใกล้รุ่งน่าจะโตพอที่ผมจะตอบว่า “เพราะพ่อแม่ก็ต้องการเวลาของตัวเองเหมือนกัน”


เมื่อกลางสัปดาห์ ผมนัดเจอกับลูกน้องเก่าสองคน คนแรกวัยยี่สิบปลายๆ เพิ่งแต่งงานออกเรือน คนที่สองวัยสามสิบกลางๆ ยังไม่ได้สร้างครอบครัวแต่ก็คบหากับแฟนคนหนึ่งมานานนับสิบปี

คนแรกเล่าว่า เวลาสุดสัปดาห์ที่กลับไปที่เยี่ยมพ่อกับแม่ เขาจะรู้สึกเศร้าทุกครั้งตอนขับรถกลับออกมา เพราะรู้ว่าแม่คงจะเหงาและคิดถึงเขาน่าดู เพราะพี่สาวแต่งงานและไปอยู่เมืองนอกนานแล้ว ชีวิตของแม่จึงโคจรรอบตัวน้องคนนี้มาโดยตลอด

ส่วนอีกคนที่ยังไม่แต่งงานก็ถามผมว่า ระหว่างลูกกับตัวเอง ผมรักใครมากกว่ากัน

ผมนิ่งไปสักครู่และตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะถ้าพิจารณาดีๆ ผมก็มีความรักตัวเองเอามากๆ ไม่สามารถตอบได้เลยว่ารักใครมากกว่า

น้องคนนี้จึงเล่าว่า เขาถามคำถามนี้กับเพื่อนที่มีลูกแล้วหลายคน เกือบทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่ารักลูกมากกว่า มีแค่ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้ตอบแบบนี้


ผมกับภรรยาจะอยู่ในกลุ่มไลน์ของผู้ปกครองของห้องที่ลูกตัวเองเรียนอยู่ เอาไว้ส่งข่าวสาร พูดคุยเรื่องซื้อชุดไปร่วมงานแสดง หรือซื้ออาหารมาปาร์ตี้ที่โรงเรียน

สิ่งที่เห็นได้ชัด คือคุณพ่อคุยในห้องเหล่านี้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคุณแม่คุย และจะมีคุณแม่ประมาณ 2-3 คนที่คุยเยอะสุด สอดคล้องกับกฎ 80/20

คุณแม่ที่คุยเยอะๆ มักจะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือไม่ก็เป็นคุณแม่เต็มเวลา

ผมเดาว่าความรู้สึกผูกพันที่มีต่อลูกนั้น คนเป็นแม่มักจะมีมากกว่าคนเป็นพ่อ เพราะอุ้มท้องและให้นมมากับมือ บางคนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ละทิ้งความก้าวหน้าในวิชาชีพเพื่อจะได้มีเวลาดูแลลูกอย่างเต็มที่ คนเป็นแม่ต้องเสียสละกว่าคนเป็นพ่อมากมายนัก

ในขณะที่ผมชื่นชมคนที่เด็ดเดี่ยวและตัดสินใจอย่างนี้ ผมก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกันว่าหากเราทุ่มเทเพื่อลูกมากเกินไป เราจะเหลือเพียงอัตลักษณ์เดียวคือความเป็นแม่เท่านั้น

ในวันหนึ่งที่ลูกโตขึ้นและออกจากบ้านไป คนที่มีลูกเป็นทั้งเหตุและผลของการดำรงชีวิตอยู่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาจะรู้สึกเคว้งคว้างและอ้างว้างขนาดไหน

ลูกเองก็น่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นทุกอย่างของพ่อแม่ จนบางคนก็อึดอัดเพราะไม่กล้าออกนอกกรอบหรือทำตามสิ่งที่ใจต้องการ เพราะไม่อยากให้คนที่รักเรามากต้องผิดหวังหรือเสียใจ


ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวอาจจะมั่นคงกว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ผูกทุกอย่างไว้กับลูก

เราทำเต็มที่เพื่อให้ลูกมีความสุขในวันนี้และมีโอกาสที่จะมีอนาคตที่ดี แต่เราไม่สามารถอยู่กับลูกไปตลอดได้

คนเป็นพ่อแม่มักจะรู้สึกว่าลูกเป็น ‘ส่วนขยาย’ (extension) ของตัวเอง ก็เลยมีความยึดมั่นถือมั่นว่าลูกเป็นตัวเรา ลูกเป็นของเรา

ทำให้ผมนึกถึงข้อความของคาลิล ยิบรานในหนังสือ The Prophet ที่ว่า

Your children are not your children.
They are the sons and daughters of Life’s longing for itself.
They come through you but not from you,
And though they are with you yet they belong not to you.

เขาไม่ได้ ‘มาจากเรา’ เขาเพียงเดินทางมายังโลกนี้ ‘ผ่านเรา’ เท่านั้น

ถึงวันหนึ่งเขาย่อมต้องเติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง เรายังรักเขาได้เหมือนเดิมแต่เรารั้งเขาไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว

ดังนั้น ในวันที่ลูกยังเล็ก คนเป็นพ่อแม่ก็ควรเรียนรู้ที่จะทิ้งความเป็นพ่อแม่ในบางโมงยามด้วยเช่นกัน

Ed Sheeran เจ้าของเพลงดังอย่าง ‘Perfect’ และ ‘Thinking Out Loud’ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“Me and my wife have a date night. It’s a strict date night every single week. And no matter who’s in town or who wants to see us, it’s always this one night in the week and we go out and our rule is we can’t talk about our baby. We have to talk about each other and catch up.

As a parent, you spend so much time discussing being a parent that you kind of forget who you were before. So we have one night a week where we are who we were before.”

การเลี้ยงลูกเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และหนักหนา หนักจนบางทีเราก็ลืมไปว่าเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกเท่านั้น เราควรแบ่งเวลาและพลังงานเพื่อทำบางอย่างเพื่อตัวเองด้วย

ลองนึกภาพคุณลูกร้องเพลง ‘ที่ว่าง’ ของวงพอสให้คุณแม่ฟัง

หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เธอได้ตามหาฝันของเธอ

นอกจากความฝันที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้ว มนุษย์หนึ่งคนยังมีฝันอื่นได้อีก เพียงแต่บางความฝันอาจถูกฝังกลบเอาไว้นานเกินไปนิด

พ่อคนแม่คนควรมีชีวิตเป็นของตัวเองครับ

เมื่อลูกเริ่มนอนเป็นเวลา แม่ก็ควรเอาชีวิตตัวเองกลับมาเช่นกัน

หนึ่งในสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนคนหนึ่งได้มากที่สุดก็คือการมีลูก

ตอนเป็นโสดอาจจะมีเหงาบ้าง แต่ก็คล่องตัว สามารถทำอะไรได้อิสระเสรีพอสมควร

พอมีคู่ความเหงาก็คลี่คลาย อิสระอาจจะน้อยลง แต่ถ้าเป็นคู่ที่ไปไหนไปกันก็สนุกไปอีกแบบ

แต่พอมีลูก เราแทบจะต้องทิ้งทุกอย่างที่เคยทำเพื่อมาดูแลสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่ขาดเราไม่ได้

คนเป็นแม่นั้นลำบากกว่าคนเป็นพ่อหลายเท่า เพราะลำบากตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ต้องแพ้ท้อง ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ต้องกังวลกับท้องลายและน้ำหนักที่ขึ้นเอาๆ ตอนช่วงท้ายก็อุ้ยอ้ายทำอะไรก็ลำบาก พอคลอดน้องออกมายังไม่ทันมีเวลาพักให้หายเจ็บแผลก็ต้องอดหลับอดนอนเอาลูกเข้าเต้า กล่อมลูกนอน พอลูกหลับปุ๊บยังต้องปั๊มนมเก็บไว้อีก

สามเดือนแรกน่าจะเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ เหนื่อยน้อยลงแต่ก็ต้องเริ่มกลับมาทำงาน ส่วนลูกก็มีโจทย์มาให้เราแก้เรื่อยๆ เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวดื้อ เดี๋ยวต้องเตรียมเข้าโรงเรียน

แต่สำหรับแม่ที่ทำงานประจำ หลายคนต้องสู้รบกับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทุ่มเทเต็มร้อยกับงานได้ จะดูแลลูกก็รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพออีก สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือวันทั้งวันก็จะเทเวลาให้กับสองสิ่งนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็เรื่องลูก ถ้าไม่ใช่เรื่องลูกก็เรื่องงาน

เมื่อคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบนี้ไปนานๆ เข้า แม่บางคนอาจลืมไปเลยว่าแต่ก่อนเราเคยมี passion หรือมีความสุขกับเรื่องอะไร หรือถึงไม่ลืมเราก็จะบอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน เอาเรื่องลูกก่อน เอาเรื่องงานก่อน

แต่ผมกลับรู้สึกว่า ถ้าลูกเริ่มนอนเป็นเวลาแล้ว (เช่นตอนอายุเกิน 1 ขวบ) เริ่มไม่ต้องมีเราอยู่ในทุกฝีก้าวในชีวิตเขาแล้ว คนเป็นแม่ควรกลับมาดูแลจิตใจและร่างกายตัวเองบ้าง

แผลผ่าตัดหายดีแล้ว ลูกเริ่มกินนมจากขวดได้แล้ว ตัวแม่กับลูกไม่จำเป็นต้องติดกันตลอดเวลาอีกแล้ว นี่คือจังหวะที่ดีที่เราจะจัดเวลาทำอะไรที่เติมเต็มเราได้บ้าง

เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ชีวิตเราจะมีแค่งานกับลูก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ไปนานๆ เข้าก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า resentment หรือความเคืองขุ่นในจิตใจ ทั้งกับตัวงาน ตัวคู่สมรส หรือแม้กระทั่งตัวลูกเอง จากนั้นก็รู้สึกโกรธที่ตัวเองดันแอบไปรู้สึกแย่กับลูกอีกด้วย

เราจึงไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ไปถึงจุดนั้น เราไม่จำเป็นต้องสวมบทบาทมนุษย์แม่ตลอดเวลา หันกลับมาใส่ใจในสิ่งที่ spark joy ให้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือกิจกรรมหย่อนใจโดยไม่จำเป็นต้องมีลูกเป็นศูนย์กลางของทุกการกระทำ

เมื่อเราสามารถจัดเวลาให้ตัวเองได้บ้าง ได้เติมบางอย่างที่ขาดหายมานาน เราก็จะมีพละกำลังที่จะทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มใจและยืนระยะได้ดีกว่าเดิมครับ

เมื่อลูกเริ่มนอนเป็นเวลาแม่ก็ควรเอาชีวิตตัวเองกลับมาเช่นกัน

หนึ่งในสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนคนหนึ่งได้มากที่สุดก็คือการมีลูก

ตอนเป็นโสดอาจจะมีเหงาบ้าง แต่ก็คล่องตัว สามารถทำอะไรได้อิสระเสรีพอสมควร

พอมีคู่ความเหงาก็คลี่คลาย อิสระอาจจะน้อยลง แต่ถ้าเป็นคู่ที่ไปไหนไปกันก็สนุกไปอีกแบบ

แต่พอมีลูก เราแทบจะต้องทิ้งทุกอย่างที่เคยทำเพื่อมาดูแลสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ที่ขาดเราไม่ได้

คนเป็นแม่นั้นลำบากกว่าคนเป็นพ่อหลายเท่า เพราะลำบากตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ต้องแพ้ท้อง ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ต้องกังวลกับท้องลายและน้ำหนักที่ขึ้นเอาๆ ตอนช่วงท้ายก็อุ้ยอ้ายทำอะไรก็ลำบาก พอคลอดน้องออกมายังไม่ทันมีเวลาพักให้หายเจ็บแผลก็ต้องอดหลับอดนอนเอาลูกเข้าเต้า กล่อมลูกนอน พอลูกหลับปุ๊บยังต้องปั๊มนมเก็บไว้อีก

สามเดือนแรกน่าจะเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด จากนั้นจึงค่อยๆ เหนื่อยน้อยลงแต่ก็ต้องเริ่มกลับมาทำงาน ส่วนลูกก็มีโจทย์มาให้เราแก้เรื่อยๆ เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวดื้อ เดี๋ยวต้องเตรียมเข้าโรงเรียน

แต่สำหรับแม่ที่ทำงานประจำ หลายคนต้องสู้รบกับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทุ่มเทเต็มร้อยกับงานได้ จะดูแลลูกก็รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพออีก สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือวันทั้งวันก็จะเทเวลาให้กับสองสิ่งนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็เรื่องลูก ถ้าไม่ใช่เรื่องลูกก็เรื่องงาน

เมื่อคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบนี้ไปนานๆ เข้า แม่บางคนอาจลืมไปเลยว่าแต่ก่อนเราเคยมี passion หรือมีความสุขกับเรื่องอะไร หรือถึงไม่ลืมเราก็จะบอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน เอาเรื่องลูกก่อน เอาเรื่องงานก่อน

แต่ผมกลับรู้สึกว่า ถ้าลูกเริ่มนอนเป็นเวลาแล้ว (เช่นตอนอายุเกิน 1 ขวบ) เริ่มไม่ต้องมีเราอยู่ในทุกฝีก้าวในชีวิตเขาแล้ว คนเป็นแม่ควรกลับมาดูแลจิตใจและร่างกายตัวเองบ้าง

แผลผ่าตัดหายดีแล้ว ลูกเริ่มกินนมจากขวดได้แล้ว ตัวแม่กับลูกไม่จำเป็นต้องติดกันตลอดเวลาอีกแล้ว นี่คือจังหวะที่ดีที่เราจะจัดเวลาทำอะไรที่เติมเต็มเราได้บ้าง

เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ชีวิตเราจะมีแค่งานกับลูก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ไปนานๆ เข้าก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า resentment หรือความเคืองขุ่นในจิตใจ ทั้งกับตัวงาน ตัวคู่สมรส หรือแม้กระทั่งตัวลูกเอง จากนั้นก็รู้สึกโกรธที่ตัวเองดันแอบไปรู้สึกแย่กับลูกอีกด้วย

เราจึงไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ไปถึงจุดนั้น เราไม่จำเป็นต้องสวมบทบาทมนุษย์แม่ตลอดเวลา หันกลับมาใส่ใจในสิ่งที่ spark joy ให้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือกิจกรรมหย่อนใจโดยไม่จำเป็นต้องมีลูกเป็นศูนย์กลางของทุกการกระทำ

เมื่อเราสามารถจัดเวลาให้ตัวเองได้บ้าง ได้เติมบางอย่างที่ขาดหายมานาน เราก็จะมีพละกำลังที่จะทำหน้าที่แม่ได้อย่างมั่นคงกว่าเดิมครับ

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น

วันนี้ผมอ่านเจอเรื่องราวหนึ่งในหนังสือ Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ

เป็นเรื่องราวของคาร์ลตัน ที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง แต่เมื่อถึงจุดนึงพ่อเกิดร่ำรวยจากตลาดหุ้น เลยตั้งปณิธานและพร่ำบอกกับลูกไว้ว่า “ลูกชายของพ่อต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น!”

เมื่อคาร์ลตันเรียนจบและเปรยกับพ่อว่าอยากจะย้ายไปอยู่นิวยอร์ก พ่อก็ให้เขาย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์เพนต์เฮาส์ที่เพิ่งซื้อมาหมาดๆ แถมยังให้เงินก้อนโตสำหรับใช้จ่ายแต่ละเดือนอีกด้วย

คาร์ลตันได้ลองทำอาชีพหลายอย่าง โดยได้งานดีๆ จากเส้นสายของพ่อ แต่เนื่องจากแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะทำงานเหล่านี้ได้ดี พอทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็มักจะมีผู้ใหญ่เรียกเขาไปคุยอย่างสุภาพว่าเขาควรลองหาอย่างอื่นทำได้แล้ว

เนื่องจากบริษัทเหล่านี้รู้ว่าคาร์ลตันคงอยู่ไม่นาน จึงแทบไม่เคยมีใครให้ฟีดแบ็คว่าเขาต้องปรับปรุงตัวหรือพัฒนาเรื่องอะไรบ้าง พอถึงเวลาก็แค่มาบอกให้เขาลาออก ซึ่งมันทำให้เขาอับอายมาก

แท้จริงแล้วคาร์ลตันไม่เคยขอให้พ่อซื้ออพาร์ตเมนต์ให้ ไม่เคยขอเงินพ่อไว้ใช้จ่าย ไม่เคยขอให้พ่อหางานให้ แต่พอเขาเปรยๆ ว่าสนใจอะไรสักอย่าง ไม่กี่วันถัดมาเขาก็จะได้รับโทรศัพท์มาแจ้งว่ามีตำแหน่งว่างในงานที่เขาสนใจพอดี

ในปี 2008 คาร์ลตันในวัย 26 ปีก็แต่งงานกับแฟนสาว แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และพ่อของคาร์ลตันได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนต้องขายอพาร์ตเมนต์ทิ้งและหยุดให้เงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนแก่คาร์ลตัน

ตอนนั้นคาร์ลตันอยู่ในช่วงตกงาน เลยต้องอาศัยเพียงเงินเดือนของภรรยาและเงินก้อนเล็กๆ ที่เขามีในธนาคาร

คาร์ลตันหางานสุดชีวิต สมัครงานเป็นร้อยตำแหน่งแต่ก็ไม่ผ่านสักงานเดียว คงเป็นเพราะว่าเรซูเม่ของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ที่ใดได้ไม่เกินหนึ่งปีเลย

“พ่อผมชอบทำตัวเป็นวีรบุรุษเอามากๆ พ่อไม่สนว่ามันจะทำให้ผมพึ่งพาตัวเองทางการเงินไม่ได้เลยหรือเปล่า พ่อไม่สนว่ามันจะทำให้ชีวิตการงานของผมพังมั้ย ผมอายุ 27 แล้ว และผมก็ไม่มีทักษะอะไรเลย ไม่มีคุณสมบัติอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีอนาคต! พ่อทำลายชีวิตผม! ทุกครั้งที่ผมถูกปฏิเสธงาน ผมได้ยินเสียงพ่อในหัวผม ‘ลูกชายพ่อต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น!'”


ผมว่าคาร์ลตันรำไม่ดีโทษปี่โทษกลองไปหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนี้

คนเป็นพ่อแม่ โดยเฉพาะที่เคยลำบากมา ก็ย่อมอยากจะให้ลูกสบายและได้รับโอกาสในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยได้

แต่เราก็ต้องระวังที่จะไม่ให้ความรักมันบังตาจนเราทำร้ายลูกทางอ้อมโดยไม่รู้ตัว

ผู้ใหญ่ท่านนึงเคยบอกกับผมว่า เวลาเราเห็นข่าวลูกไฮโซก่อเรื่อง ขับรถชนแล้วหนี หรือทำผิดแล้วลอยนวล คนเหล่านั้นมักเคยได้รับการปรนเปรอเกินพอดีมาตั้งแต่เด็ก

หากรู้ตัวว่าเราเป็นพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ก็ขอให้ระวังกับดักนี้กันให้ดีนะครับ


ขอบคุณเรื่องราวจากหนังสือ Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ Guy Winch เขียน ลลิตา ผลผลา แปล สำนักพิมพ์: Be(ing)