
วันนี้ผมอ่านเจอเรื่องราวหนึ่งในหนังสือ Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ
เป็นเรื่องราวของคาร์ลตัน ที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง แต่เมื่อถึงจุดนึงพ่อเกิดร่ำรวยจากตลาดหุ้น เลยตั้งปณิธานและพร่ำบอกกับลูกไว้ว่า “ลูกชายของพ่อต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น!”
เมื่อคาร์ลตันเรียนจบและเปรยกับพ่อว่าอยากจะย้ายไปอยู่นิวยอร์ก พ่อก็ให้เขาย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์เพนต์เฮาส์ที่เพิ่งซื้อมาหมาดๆ แถมยังให้เงินก้อนโตสำหรับใช้จ่ายแต่ละเดือนอีกด้วย
คาร์ลตันได้ลองทำอาชีพหลายอย่าง โดยได้งานดีๆ จากเส้นสายของพ่อ แต่เนื่องจากแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะทำงานเหล่านี้ได้ดี พอทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็มักจะมีผู้ใหญ่เรียกเขาไปคุยอย่างสุภาพว่าเขาควรลองหาอย่างอื่นทำได้แล้ว
เนื่องจากบริษัทเหล่านี้รู้ว่าคาร์ลตันคงอยู่ไม่นาน จึงแทบไม่เคยมีใครให้ฟีดแบ็คว่าเขาต้องปรับปรุงตัวหรือพัฒนาเรื่องอะไรบ้าง พอถึงเวลาก็แค่มาบอกให้เขาลาออก ซึ่งมันทำให้เขาอับอายมาก
แท้จริงแล้วคาร์ลตันไม่เคยขอให้พ่อซื้ออพาร์ตเมนต์ให้ ไม่เคยขอเงินพ่อไว้ใช้จ่าย ไม่เคยขอให้พ่อหางานให้ แต่พอเขาเปรยๆ ว่าสนใจอะไรสักอย่าง ไม่กี่วันถัดมาเขาก็จะได้รับโทรศัพท์มาแจ้งว่ามีตำแหน่งว่างในงานที่เขาสนใจพอดี
ในปี 2008 คาร์ลตันในวัย 26 ปีก็แต่งงานกับแฟนสาว แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และพ่อของคาร์ลตันได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนต้องขายอพาร์ตเมนต์ทิ้งและหยุดให้เงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนแก่คาร์ลตัน
ตอนนั้นคาร์ลตันอยู่ในช่วงตกงาน เลยต้องอาศัยเพียงเงินเดือนของภรรยาและเงินก้อนเล็กๆ ที่เขามีในธนาคาร
คาร์ลตันหางานสุดชีวิต สมัครงานเป็นร้อยตำแหน่งแต่ก็ไม่ผ่านสักงานเดียว คงเป็นเพราะว่าเรซูเม่ของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ที่ใดได้ไม่เกินหนึ่งปีเลย
“พ่อผมชอบทำตัวเป็นวีรบุรุษเอามากๆ พ่อไม่สนว่ามันจะทำให้ผมพึ่งพาตัวเองทางการเงินไม่ได้เลยหรือเปล่า พ่อไม่สนว่ามันจะทำให้ชีวิตการงานของผมพังมั้ย ผมอายุ 27 แล้ว และผมก็ไม่มีทักษะอะไรเลย ไม่มีคุณสมบัติอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีอนาคต! พ่อทำลายชีวิตผม! ทุกครั้งที่ผมถูกปฏิเสธงาน ผมได้ยินเสียงพ่อในหัวผม ‘ลูกชายพ่อต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น!'”
ผมว่าคาร์ลตันรำไม่ดีโทษปี่โทษกลองไปหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนี้
คนเป็นพ่อแม่ โดยเฉพาะที่เคยลำบากมา ก็ย่อมอยากจะให้ลูกสบายและได้รับโอกาสในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยได้
แต่เราก็ต้องระวังที่จะไม่ให้ความรักมันบังตาจนเราทำร้ายลูกทางอ้อมโดยไม่รู้ตัว
ผู้ใหญ่ท่านนึงเคยบอกกับผมว่า เวลาเราเห็นข่าวลูกไฮโซก่อเรื่อง ขับรถชนแล้วหนี หรือทำผิดแล้วลอยนวล คนเหล่านั้นมักเคยได้รับการปรนเปรอเกินพอดีมาตั้งแต่เด็ก
หากรู้ตัวว่าเราเป็นพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ก็ขอให้ระวังกับดักนี้กันให้ดีนะครับ
ขอบคุณเรื่องราวจากหนังสือ Emotional First Aid ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ Guy Winch เขียน ลลิตา ผลผลา แปล สำนักพิมพ์: Be(ing)