ไม่ผิดแล้วจะถูกเอง

20160531_nowrong

ถ้าใครเป็นแฟนคลับของหลวงพ่อปราโมทย์ และเคยฟัง mp3 ของท่าน น่าจะจำคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ท่านมักสอนอยู่เสมอ คือ “รู้ว่าผิดแล้วมันจะถูกเอง”

เช่น ถ้าอยากมีสติมากขึ้น ก็แค่คอยรู้ตัวว่าเผลอ หรือรู้ตัวว่าคิดอยู่ สติก็เกิดแล้ว

หรือในศาสนาพุทธ ถ้าอยากเป็นคนดี เราก็ไม่ต้องทำดีก็ได้ แค่ละเว้นจากการทำชั่วด้วยการถือศีลห้า คุณก็เป็นคนดีได้แล้วเช่นกัน

วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมอยากจะใช้เวลาให้มีประโยชน์มากขึ้น เพราะสังเกตตัวเองหลายทีแล้วว่าวันหยุดมักจะหมดเวลาไปกับการอ่านการ์ตูนบนไอแพด หรือนั่งเล่นเฟซบุ๊คในคอมหรือมือถือมากเกินไป

วันนั้นผมจึงไม่มีแผนตายตัว แค่บอกตัวเองว่า อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ก่อนเที่ยงวันนี้จะไม่เล่นมือถือ ไอแพด หรือคอมพิวเตอร์

พอปิดโอกาสตัวเองที่จะผลาญเวลากับอุปกรณ์พวกนี้ ผมก็เลยได้เก็บกวาดห้องนอน พับผ้า ถูพื้น และทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ผัดวันประกันพรุ่งมานานเพราะว่า “ไม่มีเวลา”

วันนั้นจังเป็นวันที่รู้สึก productive มากที่สุดวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่มีแผนการอะไรเลย

คุณผู้อ่านลองเอาเทคนิค “ไม่ผิดแล้วจะถูกเอง” ไปลองใช้ดูบ้างก็ได้นะครับ แค่ระบุว่าอะไรที่เราไม่ควรทำ (เช่นเล่นเฟซบุ๊คหรือเช็คอีเมล์) แล้วก็ลองตั้งใจที่จะไม่ทำสิ่งนั้นซัก 2 ชั่วโมง

แล้วคุณอาจจะแปลกใจกับผลลัพธ์ครับ


อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pexels.com

วิธีใช้มือถือในปี 2559

20160101_HowToUseMobileDevice

คือใช้ตอนที่เราอยู่คนเดียวเท่านั้น

ผมได้ความคิดนี้ตอนยืนดูหนังสือเรื่อง Are you fully charged? ของ Tom Rath ผู้เขียนหนังสือ Strengthsfinder 2.0 อันเลื่องลือ

หนึ่งในสารบัญของหนังสือเรื่องนี้คือ Use Your Phone When You’re Alone

ประโยคสั้นๆ ที่ทำให้คิดอะไรได้มากมาย

จุดประสงค์ดั้งเดิมของอุปกรณ์สื่อสาร คือการเป็นสะพานเชื่อมโยงให้มนุษย์สองคนได้คุยกัน

แต่เดี๋ยวนี้อุปกรณ์สื่อสารกลับกลายเป็นกำแพง

เวลาเราอยู่กับเพื่อน กับแฟน หรือกับคนในครอบครัว ถ้าเราหยิบมือถือหรือไอแพดขึ้นมาเล่น เราก็ส่งสัญญาณว่า ผมไม่อยาก/ขึ้เกียจคุยกับคุณนะ และเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายก็คงต้องหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแก้เขินเช่นกัน

ปีนี้ ผมก็เลยคิดว่าจะลองใช้ธีม “เล่นมือถือเฉพาะเวลาตอนอยู่คนเดียว” ดู

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ

แต่ผมว่าน่าจะส่งผลดีด้านความสัมพันธ์กับคนที่มีความหมายกับเราจริงๆ ครับ

—–

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก Show First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

5 คุณูปการของบิล เกตส์ (ที่คุณอาจไม่เคยรู้)

20151412_BillGates

เมื่อวานนี้ที่ผมเขียนเรื่อง “รวยจริง” ผมก็นึกถึงบิล เกตส์ขึ้นมาครับ

คนที่รวยจริงในนิยามของพี่ซิโก้นั้น คือคนที่มีเงินแล้วนำไปช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า

และบิล เกตส์ก็เข้าตำรานี้ทุกประการ

พวกเราทุกคนรู้กันดีว่าบิล เกตส์เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกหลายสมัยติดต่อกันจากบริษัทไมโครซอฟท์ที่เขาก่อตั้งขึ้น

และพวกเราบางก็อาจจะรู้ว่าเขากับภรรยาได้ตั้งมูลนิธินาม Bill & Melinda Gates Foundation (BMGF) ขึ้นมา

แต่เชื่อว่าน้อยคนนักรู้ว่า มูลนิธินี้ได้สร้างผลงานอะไรบ้าง

วันเลยอยากเอามาเล่าให้ฟังครับ

1. ปฏิวัติวงการการกุศล

เรารู้จักองก์กรการกุศลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น UNICEF, Red Cross หรือมูลนิธิต่างๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทยนับร้อยนับพัน

แต่ใช่หรือไม่ว่า หลังจากเราบริจาคเงินของเราไปแล้วนั้น เราแทบไม่รู้เลยว่าเงินที่เราบริจาค ได้นำไปก่อประโยชน์จริงๆ แค่ไหน

ตัวอย่างของความไร้ประสิทธิภาพ/ความโปร่งใสขององค์กรการกุศลที่เป็นข่าวระดับโลก ก็เช่นการที่ American Red Cross ได้รับเงินบริจาคช่วยเหลือประเทศเฮตที่ประสบภัยแผ่นดินไหว รวมเป็นเงินกว่า 500 ล้านดอลล่าร์ แต่เพื่อการฟื้นฟูที่จับต้องได้ กลับเป็นบ้านเพียงแค่ 6 หลัง 

สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่มูลนิธิ BMGF ได้ทำ คือการนำมุมมองเชิงธุรกิจมาประยุกต์ใช้กับการกุศลครับ ทั้งการนำเทคโนโลยีและแรงจูงใจทางธุรกิจมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ความโปร่งใสในการใช้เงินทุน และการมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ คือต้องมีผลงานจับต้องได้จริง “คนปลายทาง” ได้รับประโยชน์จริงๆ

2. สนใจแต่เรื่องระดับชาติหรือระดับโลก
บิลและเมลินดาก่อตั้งมูลนิธิ BMGF ในปี 2000 หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว โดยมี Focus Areas สี่อย่าง 

Global Development Division – ช่วยเหลือคนในประเทศที่ยากไร้ให้หลุดพ้นจากความหิวโหยและความยากจน

Global Health Division – ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือชีวิตคน (save lives)

United States Division – พัฒนาการศึกษาในอเมริกาและช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสในรัฐวอชิงตัน

Global Policy & Advocacy Division – สร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลแต่ละประเทศเพื่อร่างกฎหมายและนโยบายที่จะเอื้อต่อการทำงานของมูลนิธิ

3. ข้าไม่ได้มาคนเดียว
BMGF ไม่ได้พยายามทำทุกอย่างเองคนเดียว แต่ใช้วิธีการร่วมมือกับองค์กรในพื้นที่เพื่อจะได้เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงว่าควรจะจัดการอย่างไร จากนั้นหากเห็นว่าต้องใช้ความร่วมมือจากองค์กรอื่นๆ ด้วย (เช่นต้องการบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้) ก็จะดึงองค์กรนั้นๆ มาร่วมด้วยเช่นกัน โดยแต่ละองค์กรก็จะได้เงินช่วยเหลือแตกต่างกันไป

ดูรายชื่อองค์กรที่ได้เงินทุนจาก BMGF ได้ที่นี่ครับ

และแน่นอน แต่ละองค์กรที่ได้รับเงินช่วยเหลือจะต้องทำรายงานกลับมาว่ามีผลงานอะไรบ้าง

4. ลงไปคลุกฝุ่นเอง
อันนี้เป็นความเจ๋งที่สุดของบิลเกตส์ เพราะเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่ออฟฟิศในอเมริกาแล้วเซ็นเช็คเงินบริจาคเท่านั้น แต่เขาลงพื้นที่จริงเพื่อจะได้พูดคุยกับคนที่เขาพยายามจะช่วยเหลือ หรือพบปะกับผู้นำประเทศโลกที่สาม (ซึ่งหลายคนมีชื่อเสียงในทางไม่ดี) เพื่อขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือนั้นไปถึงประชาชนจริงๆ (ไม่ใช่บริจาคเข้ารัฐบาลแล้วโดนฉ้อราษฎร์บังหลวงหมด)

รูปภาพด้านบนที่ผมแปะมาคือรูปบิลเกตส์ดื่มน้ำจากเครื่อง Omniprocessor ของบริษัท Janicki Bioenergy  ครับ

Omniprocessor คือเครื่องที่แปลงอุจจาระและปัสสาวะเป็นน้ำที่ดื่มกินได้

บิล เกตส์ ลงทุนดื่มน้ำที่จากของเสียเพื่อโชว์ให้เห็นว่ามันดื่มได้จริงๆ นะ ไม่ได้โม้
(ทั่วโลกมีคนถึงสองพันล้านคนที่ไม่ได้ใช้ส้วมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสุดท้ายแล้วของเสียที่ขับถ่ายออกมาเจือปนกับน้ำที่ดื่มกิน ทุกๆ ปีมีเด็ก 700,000 คนตายจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร )

5. ชวนเศรษฐีคนอื่นมาทำความดีด้วย
อีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ของเกตส์ก็คือการร่วมมือกับ Warren Buffet เพื่อโปรโมต The Giving Pledge หรือการชักชวนมหาเศรษฐีทั่วโลกมาแสดงเจตจำนงค์ว่าจะมอบความมั่งคั่งของตัวเองอย่างน้อย 50% ของตัวเองเพื่อการกุศล

คนดังๆ ที่เรารู้จักก็เช่น George Lucas ผู้กำกับ Star Wars, Ted Turner ผู้ก่อตั้ง CNN, Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle, Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และล่าสุด Mark Zuckerberg ผู้ก่่อตั้ง Facebook

ดูรายชื่อทั้งหมดได้ที่นี่ครับ http://givingpledge.org/

—–

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Quora:

บิล เกตส์และภรรยาบริจาคเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 28,000 ล้านดอลล่าร์

วัคซีนจาก BMGF ช่วยชีวิตคนไปแล้วเกือบ 6 ล้านคน

ใน 15 ปีที่ผ่านมา BMGF ได้ช่วยชีวิตเด็กให้ปลอดภัยจากมาเลเรียได้มากกว่าที่ UN ทำมาตลอด 70 ปีเสียอีก

BMGF ช่วยให้อินเดียกำจัดโปลิโอได้สำเร็จในปี 2012 เหลืออีกเพียงสามประเทศคือไนจีเรีย อัฟกานิสถาน และปากีสถานที่ยังมีเด็กเป็นโรคโปลิโออยู่ โดยเป้าหมายคือโลกใบนี้จะปราศจากโปลิโอภายในปี 2020

ยังมีโรคอีกหลายตัวที่ BMGF กำลังจัดการ ยกตัวอย่างเช่นมาเลเรีย วัณโรค และไวรัสตับอักเสบบี

—–

สิ่งที่บิล เกตส์ทำ น่าจะเป็นการทำบุญ (ในทางกายภาพ) ที่ใหญ่ที่สุดที่โลกมนุษย์เคยมีมาเลยก็ว่าได้นะครับ

นี่สิคน(รวย)จริง!

—–

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ถ้ากด Get Notifications ใต้ปุ่ม Like หรือเลือก See First ใต้ปุ่ม Following ก็จะไม่พลาดตอนใหม่ครับ)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

—–

ขอบคุณข้อมูลจาก

Quora: Does Bill Gates get too much credit for his donation to charity?

Gates Notes: This Ingenious Machine Turns Feces Into Drinking Water

Pro Publica: How the Red Cross Raised Half a Billion Dollars for Haiti ­and Built Six Homes

8 สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังหยุดเล่นเฟซบุ๊คบนมือถือ

20150913_FacebookFast

เค้าว่ากันว่าทุกวิกฤตินำมาซึ่งโอกาส

เมื่อประมาณกลางเดือนที่แล้วมือถือผมเจ๊งครับ

ซัมซุงกาแล๊กซี่โน๊ตสองที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาสองปีครึ่ง จู่ๆ ก็บู๊ธไม่ขึ้น

ระหว่างที่เอาเครื่องไปซ่อมอยู่นั้น ก็ได้เครื่องสำรองมาใช้ไปพลางๆ ก่อน

เมื่อต้องเริ่มจากเครื่องเปล่า ผมเลยถือโอกาสเริ่มต้นใหม่

สิ่งแรกที่ทำก็คือลองลงโปรแกรมเท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น

แต่ก็ยังไม่วายลง Facebook อยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้ล็อกอินเอาไว้

ครั้งสุดท้ายที่ผมล็อกอินเฟซบุ๊คทางมือถือคือวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม หลังจากถ่ายรายการโฮมรูมเรื่องการเก็บบ้านแบบคอนมาริครับ ต้องรีบเข้าไปคอมเม้นท์เพื่อจะได้โปรโมตบล็อกตัวเอง เพราะในรายการไม่ได้พูดถึงเลย 😛

2015-09-13_195047

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 21 วันพอดี ซึ่งฝรั่งเค้าเชื่อกันว่า ถ้าจะสร้างนิสัยใหม่ๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 21 วันก่อนที่นิสัยนั้นจะติดแน่นคงทน

วันนี้เลยมาขอเล่าให้ฟังว่า หลังจากหยุดเล่นเฟซบุ๊คไปแล้ว เจอความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ

1. ใช้เวลากับมือถือน้อยลงไปเยอะ นอกจากจะไม่เล่นเฟซบุ๊คแล้ว ผมยังเลิกเล่น Quora ผ่านมือถือด้วย โดยจะมานั่งอ่าน Quora ช่วงพักเที่ยงแทน พอไม่ต้องเล่นสองโปรแกรมนี้ เวลาที่ใช้จ้องมือถือก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ

2.ไม่ต้องห่วงเรื่องแบตเตอรี่ พอเล่นมือถือน้อยลง จึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวันเลย บางวันจะเข้านอนแล้วแบตยังเหลือเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตอนที่ยังเล่นเฟซบุ๊คบนมือถืออยู่

3. ได้อ่านบทความดีๆ เยอะขึ้น เวลาผมเจอบทความอะไรที่น่าสนใจ ผมจะเซฟลงแอ็พชื่อ Pocket (ดาวน์โหลดได้จาก Google Play Store และ Apple iTunes)

แต่บทความส่วนใหญ่มักจะได้แค่เซฟไว้แต่ไม่เคยได้อ่าน เพราะพอเราหยิบมือถือขึ้นมาทีไรก็เปิดเฟซบุ๊คหรือไม่ก็โควร่าก่อนทุกครั้ง แต่พอเลิกเล่นเฟซบุ๊คสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ได้อ่านบทความที่ตัวเองเซฟไว้อย่างน้อยวันละสอง-สามบทความ

4. เล่นเฟซบุ๊คได้สะใจมากขึ้น เมื่อก่อนผมจะเปิดดูเฟซบุ๊คอย่างน้อยชั่วโมงละสองครั้ง ซึ่งบางทีก็มี notification (ที่เป็นตัวเลขสีแดงๆ ตรงลูกโลก) แค่หนึ่งหรือสองชิ้น หรือบางทีเปิดมาแล้วไม่มี notification เลยผมก็อดไม่ได้ที่จะห่อเหี่ยวเล็กๆ (โดยเฉพาะหลังจากที่เราโพสท์อะไรใหม่ๆ แล้วลุ้นว่าจะมีใครมาไลค์หรือคอมเม้นท์รึเปล่า)

เวลาเปิดเฟซขึ้นมาแล้วเจอ notification แค่หนึ่งเรื่อง อารมณ์มันคล้ายกับเปิดก๊อกแล้วเจอน้ำที่ไหลเบาราวเยี่ยวแมว ทำให้เราต้องใช้น้ำอย่างกระเบียดกระเสียร

แต่พอผมเล่นเฟซบุ๊คน้อยลง ตอนกลางคืนหลังเลิกงานแล้วไม่ได้เล่นเลย มาเช็คอีกทีเช้าวันถัดมา พอเปิดเฟซบุ๊คขึ้นมาคราวนี้จะเจอ notifications เป็นสิบเรื่อง อารมณ์เหมือนเอาขันตักน้ำในโอ่งแล้วราดใส่หัว โดยรวมแล้วจำนวนน้ำก็เท่าเดิมแหละ แต่มันชื่นใจกว่าจริงๆ

5. เลิกเล่นมือถือระหว่างรถติด รู้อยู่แก่ใจนะครับว่าเล่นมือถือระหว่างรถติดนั้นเป็นอันตราย แต่บางทีพอรถติดหนักๆ มันก็อดไม่ได้จริงๆ

แต่มาตอนนี้ มือถือไม่มีอะไรให้ดูแล้ว (จะอ่านบทความจาก Pocket ก็ใช่ที่เพราะยาวเกิน) ความรู้สึกอยากหยิบมือถือขึ้นมาเล่นนั้นยังมีอยู่เรื่อยๆ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหยิบขึ้นมาก็ไม่มีอะไรดูอยู่ดี การหยุดเล่นเฟซบุ๊คจึงถือเป็นวิธีเลิกเล่นมือถือระหว่างขับรถที่ทรงพลังที่สุดสำหรับผม

6. เลิกเล่นมือถือที่โต๊ะกินข้าว อันนี้ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แฟนผมก็เล่นมือถือระหว่างนั่งกินข้าวน้อยลงไปเยอะ อาจเป็นเพราะว่า เวลาเราอยู่กับใครสักคน ถ้าเขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่น เราก็เหมือนโดนบังคับกลายๆ ให้หยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปด้วย (เพราะไม่มีใครคุยด้วย) แต่มาตอนนี้ เมื่อผมไม่เล่นมือถือแล้ว แฟนก็คงไม่รู้สึกอยากหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเท่าแต่ก่อน นั่งคุยกันเองสนุกกว่าเยอะ!

7. เข้านอนตรงเวลามากขึ้น สมัยก่อนเวลาผมกับแฟนกลับถึงบ้านมาเหนื่อยๆ ก็จะขอเอนกายลงบนเตียงนอนเล่นเฟซบุ๊ค “แป๊บนึง” ประมาณว่าไม่เกินสิบนาที แต่สิ่งที่เกิดจริงๆ ก็คือมันมักจะกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ซึ่งย่อมไปเบียดบังเวลานอนของเราอย่างช่วยไม่ได้ สมัยนี้กลับมาถึงบ้าน ผมก็จะอาบน้ำเลย แล้วมานอนคุยกับลูก (ในท้องแฟน) หรือไม่ก็อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ แทน

8. มีเวลาภาวนามากขึ้น คนที่อ่านบล็อกผมมาซักพักอาจจะพอระแคะระคายบ้างว่าผมสนใจเรื่องการภาวนา ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตามรู้กายตามรู้ใจตนเอง การภาวนาเป็นเรื่องที่ทำที่ไหนก็ได้ เช่นตอนรถติด ตอนรอลิฟต์/ขึ้นลิฟต์ และตอนรออาหาร เพียงแต่สมัยก่อนเวลาว่างสั้นๆ เหล่านี้โดนมือถือเอาไปกินเรียบ แต่พอมือถือมีบทบาทต่อชีวิตน้อยลง ผมก็เอาเวลาช่วงนี้ไปทำสิ่งที่มีความหมายต่อตัวเองได้มากขึ้นครับ

แน่นอน การเลิกเล่นเฟซบุ๊คบนมือถือก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียที่ผมสังเกตได้ก็คือผมเปิดเฟซบุ๊คผ่านคอมบ่อยขึ้น แต่บวกลบคูณหารแล้วผมก็ใช้เวลากับเฟซบุ๊คน้อยลงอยู่ดี

อ้อ อีกสิ่งหนึ่งที่พบก็คือ แม้ว่าบางครั้งจะมี Notifications มานับสิบเรื่อง แต่พอกดเข้าไปดู หลายๆ ครั้งก็รู้สึกว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

ยิ่งทำให้คิดได้ว่า แต่ก่อนที่เรากดเฟซบุ๊คดูบ่อยๆ มันเป็นเพราะเราหมกมุ่นเกินไปจริงๆ

—–
ป.ล. ความเสี่ยงของการเขียนโพสต์นี้ก็คือ ถ้าผู้อ่านเล่นเฟซบุ๊คน้อยลง บทความผมก็อาจจะถูกอ่านน้อยลงด้วยเช่นกัน แต่ชั่งน้ำหนักแล้วคิดว่าเขียนแล้วมีประโยชน์กว่าไม่ได้เขียนครับ ใครที่กดไลค์เพจแล้วไม่อยากพลาดบทความก็สามารถกด “See First” ใต้ปุ่ม Following ได้นะครับ หรือถ้าใคร scroll down ไปอีกหน่อย ก็จะมีช่องให้กรอกอีเมล์เพื่อรับบล็อกใหม่ส่งตรงถึง Mailbox ทุกวันครับ ใครหาที่กรอกไม่เจอลองดูรูปนี้ครับ)

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

เราไม่ควรมานั่งจ้องแสง

20150611_NotOurNature

อยากให้คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมที่เคยตอบกระทู้ไว้ใน http://www.bookcyber.com ที่ว่า “การอ่านในอินเตอร์เน็ตไม่ได้ความรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือ”

อ่านหนังสือมันมีความสบายเกิดขึ้น…(พูดเสียงสบาย) มันมีสัมผัสของกระดาษ…มันมีอารมณ์ มีอะไรมากกว่าจอเหลี่ยมๆ ผมคิดอย่างนั้นนะ แล้วเราต้องยอมรับเลยว่า มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์เลยที่จะมานั่งจ้องแสง จ้องอะไรจ้าๆ ที่ออกมาจากจอนานๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติเลย (ย้ำหนักแน่น) ถึงแม้ว่าข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ตมันจะไปไกลเร็วแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายผมเชื่อว่า มนุษย์เราต้องอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับกระดาษ อยู่กับแสงธรรมชาติ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า วัฒนธรรมที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ชาติน่าจะคือ กระดาษกับดินสอ

– ประภาส ชลศรานนท์ สัมภาษณ์ลง a day volume 1 number 1, September 2000

—–

ผมเคยเป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของนิตยสาร a day ครับ

ซื้อ a day ตั้งแต่เล่มแรก สมัยที่พี่โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ เป็นบรรณาธิการ (คนอะไรชื่อ-นามสกุลเท่ชะมัด)

และถ้าผมจำไม่ผิด ผมมี a day ครบทุกเล่มตลอด 7-8 ปีแรกของนิตยสารเล่มนี้ มาปีหลังๆ นี่แหละที่ต้องเลือกซื้อเพราะไม่มีที่จะเก็บและไม่มีเวลาจะอ่าน

เมื่อคืนนี้อยากจะหา “เชื้อเพลิง” มาเขียนบล็อก เลยสุ่มหยิบ a day มาเล่มหนึ่ง ก็ดันหยิบได้ a day ฉบับปฐมฤกษ์มา และบทสัมภาษณ์ที่สำคัญที่สุดในเล่มนี้ก็คือบทสัมภาษณ์ของคุณประภาส ชลศรานนท์

ก็เลยได้เรื่องของพี่จิกมาเล่าเป็นวันที่สองติดต่อกัน ขอบคุณนะครับพี่จิก!

ผมลองเข้าไปดู http://www.bookcyber.com ปรากฎว่าเว็บหายไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะคำพูดนี้พี่จิกพูดไว้ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว สมัยที่คนยังใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมากกว่าแล็ปท็อป มือถือฮิตที่สุดคือโนเกีย 3210  และโลกยังไม่เคยได้ยินคำว่า Kindle หรือ iPad

ดังนั้นการเสพสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่ก็คือการอ่านผ่านจอมอนิเตอร์ 15 นิ้ว

“มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์เลยที่จะมานั่งจ้องแสง จ้องอะไรจ้าๆ ที่ออกมาจากจอนานๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติเลย”

ถ้าพี่จิกจำคำพูดนี้ได้ มาเห็นตอนนี้คงจะตกใจ เพราะเรากำลังใช้เวลากับจอจ้าๆ นี้มากกว่าปี 2000 ไม่รู้ตั้งกี่เท่า

เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมยังเรียนอยู่ปี 3 เวลาส่วนใหญ่จึงอยู่กับห้องเรียน หอพัก และสนามบอล เวลาที่ต้องจ้องคอมก็มีแค่ตอนทำรายงานบางชิ้น ซึ่งก็น่าจะไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง

มาเดี๋ยวนี้ผมจ้องจอคอมไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมงที่ทำงาน ต่อด้วยจอมือถืออีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และเมื่อมองไปในอนาคตก็ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจำนวนชั่วโมงจะลดลงแต่อย่างใด

“ผมเชื่อว่า มนุษย์เราต้องอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับกระดาษ อยู่กับแสงธรรมชาติ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า วัฒนธรรมที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ชาติน่าจะคือ กระดาษกับดินสอ”

ผมก็เป็นคนนึงที่ยังนิยมอ่านหนังสือที่ทำจากกระดาษ เพราะมันสบายตากว่า ไฮไลท์ง่ายกว่า และพออยู่บนชั้นหนังสือก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ดูงามตา แม้จะมีข้อเสียที่มันเก็บฝุ่นและกินพื้นที่ แต่ตอนนี้ก็อ่านหนังสือได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะมือถือดึงเวลาไปเกือบหมด

เวลาผมทำ To Do List แต่ละวัน ผมก็จะใช้ดินสอนเขียนบนกระดาษ A4 ข้อดีก็คือเราจะได้ไม่พยายามทำอะไรเยอะเกินไป และความรู้สึกตอนที่ใช้ดินสอนขีดคร่อมงานที่ทำเสร็จแล้วมันสะใจกว่าการติ๊ก “Done” ในคอมเยอะเลย

ผมเคยเขียนบล็อกถึงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเรื่องว่า ใช้ iPad เยอะๆ มันไม่ดีนะ เพราะมันจะทำให้กลายเป็นคนแก่ใจร้อนและเสียเวลาในการทำกิจที่ควรทำ

ส่วนตัวเองก็พยายามจะลดเวลาอยู่กับจอคอมให้น้อยลง ด้วยการพักเบรกไปเดินเล่นบ่อยๆ และไม่ใช้คอมหรือมือถือหลังสี่ทุ่มเพราะมันจะทำให้นอนหลับไม่สนิท

แค่ 15 ปี พฤติกรรมพวกเรายังเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ไม่อยากคิดว่าอาการ “ติดจอซินโดรม” จะหนักแค่ไหนในอีก 15 ปีข้างหน้า

ตาเริ่มล้าแล้ว คงได้เวลาพักไปเดินเล่น คงต้องขอจบบทความนี้ไปก่อน

แต่ก่อนจะไป ขอฝากวีดีโอเรื่องนี้ที่ผมคิดว่าทำออกมาได้เจ๋งดีครับ