เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลง

สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนจะมี “จังหวะสวรรค์” ที่เข้ามาเตือนให้ผมตระหนักและตั้งใจที่จะใช้มือถือให้น้อยลงกว่าเดิม

โดยเริ่มต้นจากที่หลวงปู่ปราโมทย์ปรารภไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ว่าถ้าเราตั้งอกตั้งใจฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว แต่พอพักแล้วมานั่งเล่นมือถือ ที่ฝึกมาก็สูญเปล่า*

จากนั้นผมได้อ่านหลายบทความที่พูดถึงภัยของสมาร์ตโฟน ไม่ว่าจะเป็น

How Social Media Shortens Your Life by Gurwinder Bhogal (เขียนไว้เมื่อ 3 Aug 2025)

The dawn of the post-literate society by James Marriott (19 Sep 2025)

Everything is Television by Derek Thompson (10 Oct 2025)

Is social media just…boring now? by Brian Klaas (17 Oct 2025)

ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การเล่นโซเชียลบนมือถือของผมเหลือวันละต่ำกว่า 20 นาทีมาสองสัปดาห์เต็ม หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 45-60 นาทีมาโดยตลอด

บทความที่ผมชอบที่สุดคือ How Social Media Shortens Your Life ของ Gurwinder Bhogal ผมจึงจะใช้เป็นแกนหลักของบทความนี้ และจะแซมเนื้อหาของนักเขียนท่านอื่นๆ เอาไว้ด้วยนะครับ


ทำไมเวลาที่เล่นมือถือจึงผ่านไปเร็วนัก

เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ตั้งใจจะเล่นมือถือนิดเดียว แต่พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า “30-minute ick factor” คือความรู้สึกไม่สบายใจหลังจากที่รู้ตัวว่าใช้มือถือไปนานกว่าที่ตั้งใจไว้

ประสบการณ์ที่เข้มข้น มักจะทำให้เวลาเดินช้าลง เช่นตอนเกิดอุบัติเหตุหรือตอนเกิดแผ่นดินไหว

จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คิดถึง “ระยะเวลา” ตอนเกิดเหตุการณ์นั้นๆ เราจะคิดถึงมันตอนที่ผ่านไปแล้ว ผ่านความทรงจำที่เราระลึกได้

บางครั้งเวลาเหมือนจะผ่านไปเร็ว แต่กลับรู้สึกยาวนานในความทรงจำ เช่นตอนที่เราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจจนลืมดูเวลา แต่พอหวนระลึกถึงประสบการณ์นั้นเรากลับรู้สึกว่ามันยาวนาน เพราะเราได้สร้างความทรงจำที่แข็งแรงเอาไว้มากมาย

ในทางกลับกัน ตอนรอต่อเครื่องที่สนามบิน ระหว่างที่รอช่างรู้สึกยาวนาน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปและมองย้อนกลับมา เรากลับรู้สึกว่ามันไม่ยาวมากนัก เพราะไม่มีอะไรให้จดจำ

ความร้ายกาจของโซเชียลมีเดียก็คือ มันทำให้เวลาสั้นลงทั้งตอนที่เราเล่นมือถือ และตอนที่เราย้อนคิดถึงมันด้วย

“A sinister thing about social media is that it speeds up your time both in the moment and in retrospect. It does this by simultaneously impairing your awareness of the present and your memory of the past.”

ลองนึกดูก็ได้ว่าเมื่อวานนี้เราเห็นโพสต์อะไรในเฟซบ้าง เราจะพบว่าเรานึกไม่ค่อยออก งานวิจัยหลายชิ้นก็ระบุว่าโซเชียลมีเดียมีผลกระทบกับความทรงจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว

เพราะโซเชียลมีเดียมักจะคัดสรรแต่โพสต์ที่เขย่าอารมณ์ ทั้งเรื่องที่ทำให้โกรธ เรื่องที่ทำให้เศร้า เรื่องที่ทำให้ฮา พอเจอโพสต์ที่กระตุ้นความรู้สึกเข้าบ่อยๆ ใจก็เลยเกิดความ “ด้านชา” (desensitised) กับเนื้อหาเหล่านี้ และไถมือถือไปแบบ autopilot

Sean Parker หนึ่งในผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค บอกว่าสิ่งที่นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการดึงเวลาและความสนใจจากผู้ใช้งานให้มากที่สุด

“The thought process that went into building these applications was all about: ‘How do we consume as much of your time and conscious attention as possible?'”

ถ้าเราอยากเข้าใจว่าโซเชียลมีเดียทำงานอย่างไร เราต้องย้อนกลับไปดูการทำงานของซูเปอร์มาร์เก็ตและคาสิโน


เขาวงกตเพื่อลูกค้าคนโปรด

เคยมั้ยครับเวลาที่เราไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตเพราะจะซื้อของไม่กี่อย่าง แต่กลายเป็นว่าได้ของมาเต็มรถเข็น?

สิ่งนี้เรียกว่า Gruen Effect (อ่านว่า กรูเอ็น เอฟเฟ็กต์ จากชื่อของ Victor Gruen สถาปนิกชาวออสเตรีย) ซึ่งหมายถึงการที่ร้านถูกออกแบบมาให้ละลานตาละลานใจ จนลูกค้าลืมความตั้งใจแรกไปว่าเข้ามาในร้านทำไม และเริ่มซื้อของแบบไม่ยับยั้งชั่งใจ (impulse purchases)

ซูเปอร์มาร์เก็ตจึงถูกออกแบบมาให้คล้ายกับ “เขาวงกต” ทำให้เราต้องเดินผ่านชั้นสินค้าต่างๆ ที่เราไม่ได้คิดจะซื้อตั้งแต่แรก แต่พอเห็นป้ายลดราคาหรือป้ายแนะนำสินค้าเราก็เลยหยิบติดมือไปนิดๆ หน่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ของก็เต็มตะกร้าแล้ว

Bill Friedman เคยทำงานในคาสิโนในลาสเวกัสเป็นสิบปี ก่อนจะออกมาเขียนหนังสือเรื่องการออกแบบคาสิโน โดยยืมความคิดบางอย่างของการออกแบบซูเปอร์มาร์เก็ตมาใช้ เพื่อจะสร้าง “เขาวงกต” ที่ทำให้แขกอยู่ในคาสิโนให้นานที่สุด

หนึ่งในคอนเซปต์สำคัญที่ฟรีดแมนเสนอ คือการทำให้ทางเดินในคาสิโนเกือบทั้งหมดนั้นมีความเว้าโค้ง (curvilinear) และตั้งใจให้มี “โค้งหักศอก” (right-angle turns) ให้น้อยที่สุด

เพราะทางเดินที่เว้าโค้งจะทำให้ลูกค้าเดินอย่างเพลิดเพลินเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่ถ้าในคาสิโนมีจุดที่บังคับให้ต้องตัดสินใจว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา (right-angle turns) ลูกค้าอาจ “กลับมามีสติ” หันไปดูนาฬิกาว่าใช้เวลาในคาสิโนไปนานแค่ไหนแล้ว จนอาจเลือกเดินออกจากคาสิโนไปเลยก็ได้

เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในโซเชียลมีเดียเช่นกัน

สมัยโซเชียลมีเดียเกิดใหม่ๆ เราสามารถ scroll down ในจอคอมไปจนสุดทางได้ ไม่มีโพสต์อะไรให้อ่านต่อแล้ว

ด้านล่างสุดของเพจ ก็เหมือนกับโค้งหักศอกที่กระตุกให้เรากลับมามีสติ เลิกเล่นโซเชียลแล้วหันไปทำอย่างอื่น

แต่ช่วงปี 2007-2009 โซเชียลมีเดียได้เริ่มต้นใช้ “infinite scroll” ที่ทำให้ฟีดของโซเชียลเป็นเหมือนบ่อน้ำที่ไม่มีก้น ไถเท่าไหร่ก็ไม่หมด

ตัว infinite scroll จึงเหมือนทางเดินเว้าโค้งที่ทำให้เราเล่นโซเชียลมีเดียอย่างเพลิดเพลินจนลืมดูเวลา เหมือนคนที่ตกอยู่ในเขาวงกตไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์มาร์เก็ตหรือคาสิโน

การจะไปติดอยู่ในเขาวงกตอย่างร้านค้าหรือบ่อนได้ เราต้องอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านไปยังสถานที่แห่งนั้น

แต่สำหรับเขาวงกตแห่งโลกออนไลน์ เราพร้อมจะเข้าไปติดได้ตลอดทั้งวันเพราะอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ

แถมเขาวงกตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเขาวงกตทางกายภาพ แต่ยังเป็นเขาวงกตทางเวลาด้วย

“Our feeds are not just mazes in space, but also in time.”


เหมือนอ่านหนังสือในพายุ

สิ่งที่ตรงข้ามกับเขาวงกต คือ “เส้นทาง” (route) และเส้นทางสำหรับเวลาคือ “เรื่องราว” (story)

จากงานวิจัยหลายชิ้น คนเราจะประเมินว่าเวลาผ่านพ้นไปเท่าไหร่ได้แม่นยำกว่าเมื่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีเรื่องราว (narrative) เช่นเมื่อวานนี้ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงาน ฯลฯ มีเหตุการณ์ต่อกันเป็นลำดับจนร้อยเรียงออกมาเป็นเส้นเรื่องได้

เราจึงสามารถจำเนื้อหานิยายเล่มโปรดที่อ่านจบไปแล้วหลายปีได้ เพราะมันอยู่ในรูปแบบของเรื่องราวที่เราปะติดปะต่อได้ในความทรงจำ

แต่เราแทบจะไม่สามารถเล่าได้เลยว่าเมื่อวานนี้ที่เราไถฟีดโซเชียล เราอ่านหรือดูอะไรไปบ้าง เพราะเนื้อหาในโซเชียลนั้นคือสุดยอดของความสะเปะสะปะ ไม่มีลำดับ ไม่มีเส้นเรื่องใดๆ โซเชียลมีเดียจึงเป็น “เขาวงกตทางเวลา” ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ตรงกลาง หรือจุดจบ

การเล่นโซเชียลมีเดียเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือท่ามกลางพายุ จากหน้า 10 ไปหน้า 218 กลับมาหน้า 129 ไปหน้า 322 ทั้งซีนและตัวละครสับสนปนเป เราจึงไม่มีทางที่จะเชื่อมโยงออกมาเป็นเรื่องราวได้เลย

หนักไปกว่านั้น เมื่อเราติดมือถือ ต้องหยิบขึ้นมาเล่นบ่อยๆ ก็ย่อมเกิด switching cost ระหว่างโลกจริงกับโลกออนไลน์ จนทำให้เราไม่สามารถใส่ใจกับชีวิตจริงได้

โซเชียลมีเดียทำให้เรา “ไถฟีด” ในโลกออนไลน์อย่างไร มันก็กำลังทำให้เรา “ไถฟีด” ในชีวิตจริงอย่างนั้นด้วยเช่นกัน

“By constantly interrupting you, social media platforms can impair your awareness and shorten your days even while you are not on them, so that you end up scrolling through the real world as shallowly as the virtual one.”


เล่นโซเชียลแล้วแก่เร็ว

คงไม่แย่มากถ้าโซเชียลมีเดียแค่กินเวลาของเราไปเฉยๆ แต่ความจริงคือมันกำลัง “กินสุขภาพ” ของเราด้วย

โซเชียลมีเดียทำให้นาฬิการ่างกายรวน จนงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมเด็กสมัยนี้ – โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง – ถึงเริ่มเป็นสาวเร็วกว่าแต่ก่อน

นอกจากจะเร่งการเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว อาการติดจอยังเหมือนจะเร่ง “ความแก่” ด้วย จากการศึกษาผู้ใหญ่กว่า 7,000 คน พบว่าคนที่ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอนานๆ มีสัญญาณของความแก่เร็วกว่า ทั้งในแง่มวลกล้ามเนื้อและความยาวของเทโลเมียร์ (ตัวบ่งบอกอายุของเซลล์)

พูดง่ายๆ คือ โซเชียลมีเดียไม่ได้แค่ทำให้เวลาชีวิตเราน้อยลง แต่มันยังอาจทำให้คุณภาพชีวิตของเราแย่ลง และยังทำให้เราแก่เร็วขึ้นอีกด้วย


เลิกเล่นโซเชียลแล้วก็ติดแชตบอตได้อยู่ดี

พอรู้โทษของโซเชียลแล้ว เราอาจพยายามลดละเลิกการเข้าแพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่ปัญหาก็คือ พอคนเลิกเล่นโซเชียล เราก็ไปเสียเวลาในแอปอื่นแทน

อย่างเช่น “แชตบอต” ที่ทำตัวเหมือนกับเขาวงกตเช่นกัน เพราะบางทีมันก็ตอบวกไปวนมา ชอบชื่นชมและยืนยันความคิด (ที่อาจจะผิด) ของเรา แถมยังชวนคุยต่อเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบ

ดังนั้นปัญหาจริงๆ จึงไม่ใช่แค่โซเชียลหรือแชตบอต — แต่คือ “เขาวงกต” ในโปรดักท์ต่างๆ ที่พาเราดำเนินตนไปอย่างไร้สติ

นอกจากเรื่องการเสียสุขภาพและการเสียเวลาแล้ว ก่อนจะไปถึงทางแก้ ผมอยากชวนคุยภาพใหญ่ของการที่มนุษยชาติเสพติดมือถือ นั่นคือเรากำลังสูญเสียอารยธรรมสำคัญ

นั่นคืออารยธรรมของการอ่านหนังสือ


การปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ

นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล คือคนธรรมดาจำนวนมหาศาลเริ่มอ่านหนังสือ

ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ยุคเครื่องพิมพ์เพิ่งถือกำเนิด การอ่านยังเป็นเรื่องของชนชั้นสูงเท่านั้น คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสได้แตะหนังสือเลย

แต่พอเข้าสู่ยุค 1700’s ระบบการศึกษาขยายตัวขึ้น หนังสือราคาถูกพิมพ์ออกมามากมาย การอ่านจึงเริ่มแพร่ขยายลงมาถึงชนชั้นกลางและคนชั้นล่าง

โลกของ “ตัวหนังสือ” เป็นโลกที่มีระเบียบ เป็นเหตุเป็นผล ความรู้ถูกจัดหมวดหมู่ ถูกอธิบาย เชื่อมโยง และวางไว้ในที่ที่ควรจะเป็น หนังสือไม่ได้แค่เล่าเรื่อง แต่ “สร้างเหตุผล” เสนอแนวคิด ตั้งคำถาม และค่อยๆ พัฒนาไอเดีย

นักคิดชื่อ Eric Havelock เคยบอกว่า การรู้หนังสือในยุคกรีกโบราณคือจุดเริ่มต้นของ “ปรัชญา” เพราะเมื่อมนุษยชาติเริ่มบันทึกความคิดลงบนกระดาษได้ เราก็มีโอกาสกลับมาทบทวน แก้ไข และต่อยอดความคิดเหล่านั้น

Elizabeth Eisenstein ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Printing Revolution in Early Modern Europe ว่า การอ่านออกเขียนได้ คือชนวนที่นำไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance), การปฏิรูปศาสนา (Reformation) และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) และนักประวัติศาสตร์หลายคนยังบอกว่ามันส่งผลถึงยุคแห่งเหตุผล (Enlightenment), สิทธิมนุษยชน และการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วย

ถ้ามองย้อนกลับไปจะเห็นว่า ผู้นำ นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินผู้สร้างอารยธรรมของเรามีสิ่งหนึ่งร่วมกัน นั่นคือพวกเขาอ่านหนังสือกันจริงจัง โธมัส เอดิสัน ชาร์ลส์ ดาร์วิน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ล้วนเป็นนักอ่าน และแม้แต่อีลอน มัสก์ก็ยังเติบโตมากับหนังสือ


เอกลักษณ์ของหนังสือ

นักทฤษฎีชื่อ Walter Ong เคยพูดไว้ว่า “การเขียนทำให้ความคิดเย็นลงและมีเหตุผลมากขึ้น”

ถ้าเราพูดต่อหน้าคน หรือทำคลิปวิดีโอ เราสามารถใช้วิธีอื่นมาช่วยโน้มน้าวได้ เช่น ตะโกน บีบน้ำตา ทำเสียงออดอ้อน ใส่ดนตรี หรือใส่ภาพสะเทือนใจ ทั้งหมดนี้คือการสื่อสารด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล และมนุษย์เราก็มีแนวโน้มจะเชื่อสิ่งที่กระทบใจมากกว่าสิ่งที่ใช้เหตุผล

แต่หนังสือไม่สามารถตะโกนใส่เราได้ ร้องไห้ก็ไม่เป็น นักเขียนจึงไม่สามารถใช้ลูกเล่นทางอารมณ์แบบยูทูบเบอร์หรือติ๊กต็อกเกอร์ได้

นักเขียนต้องประกอบคำพูดขึ้นทีละประโยค สร้างเหตุผลทีละชั้น แม้จะเป็นเรื่องยากเย็นแต่ก็ทำให้หนังสือเป็นสื่อที่ผูกพันกับตรรกะและเหตุผลมากที่สุดในบรรดาการสื่อสารของมนุษย์ทั้งหมด


สมบัติล้ำค่าที่กำลังหลุดมือเราไป

Neil Postman ได้เขียนไว้ในหนังสือ Amusing Ourselves to Death ว่า

“What Orwell feared were those who would ban books. What Huxley feared was that there would be no reason to ban a book because there would be no one who wanted to read one.”

George Orwell คือผู้เขียนหนังสือ 1984

Aldous Huxley คือผู้เขียน Brave New World

ดูเหมือนว่า Huxley จะทำนายถูกกว่า Orwell เพราะเดี๋ยวนี้คนอ่านหนังสือน้อยลงอย่างน่าใจหาย

ในอเมริกา ภายในเวลาเพียง 20 ปี คนที่อ่านหนังสือเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจลดลงไปถึง 40% ส่วนในอังกฤษก็มีผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 3 ที่ยอมรับว่าเลิกอ่านหนังสือไปแล้ว

ในรายงานของ OECD เมื่อปลายปี 2024 ความสามารถในการอ่านและเขียน (literacy levels) ของคนในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นกำลังดิ่งหัวลง ถ้านักสังคมศาสตร์มาเห็นกราฟแล้วไม่รู้บริบท อาจจะนึกว่ามีสงครามหรือการล่มสลายของระบบการศึกษาในประเทศเหล่านั้น

แต่สาเหตุที่แท้จริง คือการมาถึงของสมาร์ตโฟนครับ

ตั้งแต่ที่คนทั่วโลกเริ่มหันมาใช้สมาร์ตโฟนในช่วงปี 2010-2015 คะแนน PISA ที่ใช้ประเมินสมรรถนะของนักเรียนในระดับสากลก็ดิ่งลงแบบน่าตกใจ (ลองเสิร์ชคำว่า global pisa score in decline ดู)

ส่วนไอคิวของคนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นมาตลอดหลายชั่วอายุคนจนมีชื่อเรียกว่า Flynn effect ก็กำลังลดลงเช่นกัน

แต่ก่อนเทคโนโลยีอย่างภาพยนตร์หรือทีวีมันนั้นล้วนดึงความสนใจเราได้แค่ชั่วคราว แค่ให้เราดูสักพักแล้วก็จบไป แต่สมาร์ตโฟนกลับเรียกร้องเวลาจากเราตลอดทั้งวันและตลอดทั้งชีวิต

สมัยนี้ คนทั่วไปใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง ส่วน Gen Z ใช้จอถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน บทความหนึ่งใน The Times ยังระบุว่าเด็กยุคนี้จะใช้ช่วงเวลาที่ลืมตาไปกับการไถหน้าจอรวมกันกว่า 25 ปี

เมื่อใช้เวลาอ่านข้อความสั้นๆ หรือดูวีดีโอบนหน้าจอเยอะๆ ความสามารถที่เราสูญเสียไปคือการอ่านหนังสือ

ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เหล่าปัญญาชนเชื่อกันว่า “วรรณกรรมและการเรียนรู้” คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ที่วรรณกรรมคลาสสิกถึงยังถูกสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมันได้รวบรวม “สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เคยคิดและได้พูดเอาไว้” (the best that has been thought and said.)

นิยายและบทกวีชั้นยอดช่วยเปิดมุมมองของเรา ให้เราได้เข้าไปอยู่ในความคิดและความรู้สึกของคนอื่น พาเราเดินทางไปยังยุคสมัยที่เราเกิดไม่ทัน หรือไปยังสถานที่ที่เราไม่เคยไป

ส่วนหนังสือ non-fiction ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา หรือบันทึกการเดินทาง ก็ช่วยให้เราเข้าใจโลกอันซับซ้อนใบนี้มากขึ้น

แต่สมาร์ตโฟนกำลังค่อยๆ แย่งสิ่งมีค่าพวกนี้ไปจากเรา

จะเกิดอะไรขึ้น หากมนุษย์ส่วนใหญ่เลิกอ่านหนังสือ และเสพแต่คลิปวิดีโอมากขึ้นไปทุกที?


เมื่อสมองกลายเป็นส่วนเกิน

ญาติห่างๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ชื่อว่า “ซีสคเวิร์ต” (sea squirts)

ตอนเด็กๆ พวกมันจะหน้าตาคล้ายลูกอ๊อด คอยว่ายน้ำไปมาอย่างขยันขันแข็ง สำรวจโลกใต้ทะเลอย่างอิสระ

แต่พอโตขึ้น ชีวิตที่เคยผาดโผนของมันก็ค่อยๆ เลือนหายไป ซีสเควิร์ตจะหาหินสักก้อนเพื่อเกาะอยู่ตรงนั้น และไม่ย้ายไปไหนอีกเลยตลอดชีวิต ร่างกายของมันค่อยๆ กลายเป็นถุงนิ่มๆ ที่ไม่ทำอะไรนอกจากรอจับเหยื่อที่ลอยผ่านมากินไปวันๆ

วิถีชีวิตแบบนี้ไม่ต้องใช้สมองเท่าไหร่ สมองเลยกลายเป็นของสิ้นเปลืองพลังงาน มันก็เลย “กินสมอง” บางส่วนของตัวเองไปด้วย

ดูเป็นตลกร้ายที่สอดคล้องชีวิตของเราหลายคนในโลกโซเชียล ที่นอนนิ่งๆ ไถจอทั้งวัน จนสมองของเราจะกลายเป็นส่วนเกินเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


เมื่อโซเชียลมีเดียไม่โซเชียลอีกต่อไป

สมัยก่อนโซเชียลมีเดียถูกสร้างมาเพื่อเชื่อมโยงคนเข้าหากัน

ตอนปี 2004 เหตุผลหลักที่คนสมัคร TheFacebook (ชื่อเดิมของ Facebook) ก็เพราะอยากรู้ว่ากำลังจะมีปาร์ตี้ที่ไหน หรือมีกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัย มันช่วยให้คนได้ออกไปเจอกันในชีวิตจริง

แต่ทุกวันนี้มันกลับกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความโดดเดี่ยว เพราะระบบถูกออกแบบให้เรานั่งไถจอคนเดียวไปเรื่อยๆ

ในโลกแห่งความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดจาแย่ๆ คนรอบข้างจะตีตัวออกห่าง แต่โลกโซเชียลกลับให้รางวัลคนแบบนี้ ยิ่งพูดจาแรงๆ ยิ่งได้ยอดไลก์ ยิ่งได้คนติดตาม

ตอนแรกเราสมัครแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจะได้ keep in touch กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก แต่ตอนนี้เรากลับเห็นโพสต์จากคนดังมากกว่าเพื่อน และแม้กระทั่งเจ้าของบริษัทเอง ก็กำลังบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกต่อไป!

เมื่อเดือนสิงหาคม Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ให้การกับศาลและหน่วยงาน FTC (Federal Trade Commission) ว่าตัวเองไม่ได้ผูกขาดตลาด social media เพราะว่า

“ทุกวันนี้ users ของเราดูโพสต์จาก “เพื่อนจริงๆ” บน Instagram แค่ 7% ส่วนบน Facebook ก็ราว ๆ 17% เท่านั้น เวลาที่เหลือเกือบทั้งหมดคือการดูวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้นๆ ที่ไม่ได้มาจากเพื่อนหรือคนที่ users ติดตาม แต่เป็นคลิปที่ระบบเอไอของ Meta แนะนำขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถแข่งขันกับ TikTok ได้”

พูดง่ายๆ ก็คือทุกวันนี้ “โซเชียลมีเดีย” แทบจะไม่เหลือความเป็น “โซเชียล” อีกแล้ว มันกลายเป็นแค่ “ทีวี” ที่มีเนื้อหาไม่จำกัดและเปิดสถานี 24×7 เท่านั้น


เราจะใช้โชคดีของเราไปกับอะไร

เมื่อ 13,000 ล้านปีที่แล้ว จู่ๆ จักรวาลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกของเราเมื่อราว 3,800 ล้านปีก่อน นับแต่นั้นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็เกิดขึ้นและดับไปนับไม่ถ้วน ค่อยๆ วิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน จากซีสเควิร์ท มาถึงไดโนเสาร์ มาถึงลิงชิมแปนซี และสุดท้ายก็กลายเป็นพวกเราเหล่า Homo Sapiens – สิ่งมีชีวิตที่มีสติรู้ตัว คิดได้ซับซ้อน เข้าใจโลก รู้จักความสุข ความรัก และความหมายของการมีชีวิตในแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มีวันเข้าถึงได้

ในหมู่มวลมนุษย์นี้เอง ยังมีคนอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่ไม่เคยมีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาเลย เพราะคนที่ได้เกิดมาเป็นเพียงสเปิร์มตัวที่ว่ายเร็วที่สุดเท่านั้น

จากความเป็นไปได้นับอเนกอนันต์นี้ เราคือไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เกิดมาและได้มีชีวิตอยู่จริงๆ

เราจึงเป็นเหล่าผู้โชคดี แม้จะมีเวลาแค่ราว 30,000 วันบนโลกนี้เท่านั้นก็เถอะ

คำถามก็คือ จากสามหมื่นวันที่เราโชคดีได้รับมา เราใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการนั่งดูเรื่องราวไร้แก่นสารบนโลกออนไลน์?


ปลดแอกจากมือถือ

จากประสบการณ์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น ผมมีคำแนะนำ 4 ข้อ

  1. เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
  2. ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
  3. หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
  4. ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก

หนึ่ง เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล

เคยได้ยินใช่มั้ยครับว่าเงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่แย่

สมาร์ตโฟนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน มันเป็นทาสที่ดีมาก แต่เป็นเจ้านายที่แย่มาก

หลายคนตกเป็นทาสของมันมานาน ตอนนี้ถึงเวลาประกาศอิสรภาพให้ตัวเองแล้ว

เพราะหากเราเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มและโซเชียลมีเดียไม่ใช่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แม้แต่การสร้างความบันเทิง แต่คือการ “สร้างเขาวงกต” เพื่อให้เราเข้าไปติดอยู่ในนั้นให้นานที่สุด เพื่อจะได้สร้างรายได้ให้มากที่สุด

เปรียบเหมือนเซลล์ในเรื่องดราก้อนบอล ที่สูบชีวิตคนไปหมดเมืองเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง


สอง ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก

โลกแห่งความจริงนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัด โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้เราติดใจ เพราะมันมอบความรู้สึกไม่จำกัดให้เราผ่าน infinite scroll และแชตบอตที่ถามได้ทุกเรื่อง

ถ้าเราเข้าไปสู่โลกของมัน เราสู้ไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดู

  • วางมือถือไว้ไกลมือ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำและวันหยุด วางไว้คนละชั้นในบ้านเลยยิ่งดี แต่เปิดเสียงให้ดังพอที่เราวิ่งไปรับสายได้ (จะว่าไป เดี๋ยวนี้คนก็ไม่ค่อยโทรหากันแล้ว)
  • ตั้งเวลาว่าจะเล่นแอปแต่ละตัวไม่เกินกี่นาที ถ้าเป็นบน Android ให้เข้า Digital Wellbeing ก็จะดูได้ว่าเราใช้แอปแต่ละตัวในแต่ละวันนานแค่ไหน
  • ล็อกเอาท์พวกแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ เวลาที่คลิกเข้ามาแล้วเจอหน้าล็อกอินก็จะเหมือนกับที่เราเจอ “โค้งหักศอก” ให้เราคิดดีๆ ว่าเราอยากเข้าเขาวงกตตอนนี้จริงหรือ
  • ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าจะหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ควรจะมีเป้าหมายบางอย่างเสมอ เช่นจะหาข้อมูล หรือจะตอบแชทใครบางคน อย่าหยิบขึ้นมาเพียงเพราะความเคยชินและต้องการแค่จะไถหน้าจอฆ่าเวลา ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ต่างอะไรกับซีสเควิร์ตที่กินสมองของตัวเอง

สาม หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ

ในหนังสือ The Power of Habit ของ Charles Duhigg บอกว่า habit loop ของเรามีสามส่วนด้วยกัน คือ Trigger -> Routine -> Reward

Trigger ของการเล่นมือถือ คือมีเวลาว่าง รู้สึกเบื่อ หรืออยากหาอะไรทำฆ่าเวลา

ถ้าเราตัด Routine ของการเล่นมือถือออกไป แต่ Trigger เดิมยังไม่หายไปไหน เราจำเป็นต้องหา Routine อย่างอื่นมาใส่แทน ไม่อย่างนั้นเราจะกลับไปติดมือถืออีกครั้ง

หนึ่งในรูทีนที่ดี คือเบื่อหรือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

อย่างที่กล่าวไปว่า การอ่านหนังสือคืออารยธรรมอันล้ำค่าของมนุษย์ มันคือการส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายร้อยหลายพันปี และเรากำลังสูญเสียมันไปเพราะการมาถึงของสมาร์ตโฟนและเอไอที่ทำให้เราสมาร์ตน้อยลงไปทุกที

ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้นพอสมควร เทคนิคที่ผมเริ่มใช้ก็คือ ครั้งแรกของวันที่เปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมจะใช้ดินสอเขียนลงใกล้ๆ เลขหน้าว่าวันนี้จะอ่านถึงหน้าไหน เช่นถ้าวันนี้ผมตั้งใจจะอ่าน 10 และผมอยู่ที่หน้า 101 ผมก็จะเขียน 110 กำกับตรงเลขหน้านั้น และถ้าเป็นวันหยุด ผมตั้งใจจะอ่าน 20 หน้า ก็จะเขียนเลข 120 กำกับไว้ตรงหน้า 101 การประกาศเจตนาเล็กๆ นี้เป็นแรงผลักชั้นดีให้หยิบหนังสือขึ้นมาแทนการหยิบโทรศัพท์มือถือ

แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านหนังสือ จะทำอย่างอื่นก็ได้ที่สอดคล้องกับจริตและเป้าหมาย บางคนอาจจะยืดเส้นยืดสาย ทำ breathwork ขบคิดเรื่องบางเรื่อง โทรหาคนในครอบครัว สังเกตสิ่งรอบตัว คุยกับคนนั้นคนนี้ ออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจและความรู้เนื้อรู้ตัว

แต่ละข้อที่กล่าวมาอาจจะไม่ได้ดูสนุกมากนัก แต่ขอให้มองว่ามันคือการฝึกฝนในการทานกระแสนิสัยเดิม

และเชื่อเถอะว่าที่เราชอบไถมือถือ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนุกกับมันหรอก เล่นเสร็จแล้วทุกข์กว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เราทำไปเพราะเราเคยชินกับการเข้าไปอยู่ในเขาวงกตต่างหาก

เพราะถ้าเราใช้เวลาว่างไปกับการเล่นมือถือ เราจะไม่เคยมีเวลาได้พักจริงๆ เลย เมื่อไหร่ที่เรามีเวลาว่าง การอยู่ห่างจากหน้าจอต่างหากที่จะช่วยให้เราได้ชาร์จแบตกายและใจ


สี่ ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก

หลวงปู่ปราโมทย์บอกว่า มือถือคือศัตรูอันร้ายกาจของการภาวนา* และผมมองว่ามันยังสามารถเป็นศัตรูอันร้ายกาจในมิติอื่นๆ ด้วย ทั้งการมีสุขภาพที่ดี ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และการบรรลุความมุ่งหมายที่เรียกร้องให้เราออกมาเผชิญโลกแห่งความจริง

มนุษย์เกิดมาเพื่อมีประสบการณ์ เพื่อรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวา ภายใต้ข้อจำกัดของสี่พันสัปดาห์หรือสามหมื่นวัน

ในชั่วโมงสุดท้ายของวันที่สามหมื่น ในคืนที่เรานอนหายใจรวยริน คงไม่มีใครอุทานว่า “เสียดายจัง เราน่าจะเล่นมือถือให้มากกว่านี้สักหน่อย”

ก่อนจากกันไป ขอฝากหนึ่งประโยคเอาไว้ที่อาจช่วยให้เราระลึกได้เนืองๆ ว่าเรามีเวลาจำกัดขนาดไหน:

“ถ้าอักขระแต่ละตัวมีความยาวเท่ากับหนึ่งปี อายุเฉลี่ยของคนเราก็คงยาวไม่เกินประโยคนี้”

“If years were letters, the average human lifespan would not be longer than this sentence.”

– Gurwinder Bhogal

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลงครับ


ป.ล. เป็นเรื่องย้อนแย้งที่ผมตีพิมพ์บทความชวนให้ลดการเล่นโซเชียลมีเดียผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ผมจึงขอแปะลิงค์ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามบล็อกไว้ตรงนี้นะครับ https://linktr.ee/anontawong


* จิตหลงแล้วรู้ :: หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช 11 ต.ค. 2568 นาทีที่ 24:22

Status Game – เกมที่เราหยุดเล่นไม่ได้

Status Game คือเกมการแข่งขันทางสถานะเพื่อวัดว่าใครอยู่สูงกว่าใคร

Naval Ravikant เคยกล่าวไว้ว่า เราไม่ควรลงไปแข่งเกมสถานะ เพราะมันคือ zero-sum game มีคนชนะก็ย่อมมีคนแพ้ เหมือนการแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่มีทีมแชมป์ได้ทีมเดียว

ยิ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา status game ยิ่งทวีความดุดเดือดเพราะมีโซเชียลมีเดีย

สมัยก่อน ถ้ารุ่นพ่อแม่เราห้อยทองเส้นใหญ่ ใส่นาฬิกาแพง ขับรถหรู เราก็อวดได้แค่คนที่เราพบเจอในชีวิตจริงเท่านั้น แต่สมัยนี้ เราสามารถอวดสถานะให้กับคนที่อยู่คนละซีกโลกได้โดยสบายและแทบจะในทันที

เมื่อเดือนที่แล้ว พี่เอ๋ นิ้วกลม ก็ตั้งข้อสังเกตว่าแม้กระทั่งเรื่องการดูแลสุขภาพอย่าง Longevity ก็กลายมาเป็น status game ด้วยเช่นกัน

วันนี้เลยอยากจะมาเขียนถึงเรื่องนี้ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มาจาก Will Storr ผู้เขียนหนังสือ The Status Game นะครับ


สถานะคือ “เงินสกุลแรก”

เวลาคนเราอวดสถานะ สิ่งที่เรามักนึกถึง ก็คือการอวดว่าฉันเป็นคนมีเงิน ผ่านการซื้อของแพงๆ หรือประสบการณ์ที่ต้องใช้เงินในการเข้าถึง

แต่ก่อนที่เราจะมีเงิน เราวัดสถานะกันอย่างไร?

Storr มองว่าความต้องการที่จะได้มาซึ่งสถานะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการสร้างขึ้นมาในสัตว์ที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่คณะ เพราะสัตว์ที่มีสถานะสูงสุดในฝูงจะได้กินอาหารเป็นคน(ตัว)แรก มีสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองมากที่สุด และได้เลือกที่นอนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว

ลิงที่เป็นจ่าฝูงจึงมีโอกาสสืบพันธุ์และส่งต่อพันธุกรรมมากกว่าลิงปลายแถว

ถ้าจะให้นิยามว่าสถานะคืออะไร มันคือการได้มาซึ่งการยอมรับและเคารพนับถือ (acceptance, respect, and admiration) โดยสัตว์ทุกตัวต้อง “เข้าพวก” ให้ได้ (get along) ก่อน แล้วจึงหาทางสร้างความโดดเด่นและความก้าวหน้า (get ahead) เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ

วิวัฒนาการออกแบบให้สัตว์ทั้งหลายโหยหาสถานะ เพราะมันเป็นผลดีต่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เมื่อลิงแต่ละตัวต้องการได้รับความยอมรับนับถือ ก็มีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการหาอาหาร การแบ่งปัน และการปกป้องพวกพ้อง

ในมุมมองของ Storr สถานะของมนุษย์นั้นมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน

Dominance – สถานะที่ได้มาเพราะพละกำลังหรือศักยภาพในการทำให้คนอื่นหวาดกลัว เช่นการต่อสู้ การเป็นหัวหน้าแก๊งค์ หรือการเป็นเผด็จการ

Virtue – สถานะที่ได้มาเพราะมีคุณธรรมหรือ “ความดี” ที่สูงส่งกว่าคนอื่น สามารถทำตามกฎกติกาที่สังคมหรือกลุ่ม (tribe) นั้นๆ ยอมรับและให้คุณค่า เช่นการเป็นผู้นำศาสนา หรือการทำองค์กรไม่แสวงหากำไร

Success – สถานะที่ได้มาเพราะความเชี่ยวชาญในบางอย่าง เช่นเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ เป็นคนวาดรูปสวยอย่างดาวินชี หรือเป็นคนคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างเอดิสัน


Status Game คือเกมที่เราไม่สามารถเลิกเล่นได้

Squid Game ในช่วงแรกๆ เขายังให้โอกาสเราโหวตเพื่อจะเลิกเล่นเกม แต่เกมสถานะนั้นเป็นเกมที่เราเลิกเล่นได้ยากมาก

ยิ่งยุคที่มีโซเชียลมีเดีย การเล่นเกมสถานะนั้นติดตามเราไปทุกหนแห่งและมีครบทั้งสามรูปแบบ

Dominance – รวมตัวกันแบนดาราหรือแบรนด์บางแบรนด์

Virtue – ต่อว่าคนที่ทำผิด และแสดงออกว่าเรามีคุณธรรม/ศีลธรรมเหนือกว่าคนที่กำลังเป็นข่าว

Success – โพสต์เซลฟี่ในที่ต่างๆ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าชีวิตเราดีแค่ไหน

แม้เราจะบอกว่าเราไม่สนใจเรื่องฟุ้งเฟ้อ ไม่ชอบการอวดใคร แต่นั่นก็ถือเป็น status game อย่างหนึ่งในมุมของ virtue เช่นกัน เพราะเรามองว่าเรื่องเหล่านั้นไร้สาระและเราถือว่าค่านิยมของเรานั้นดีงามกว่าคนที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมหรือคนที่ชอบโพสต์อวดอะไรบนโลกโซเชียล

ลองสังเกตตัวเองก็ได้ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เจอกับใคร เราจะเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา เช่นคนนี้ดูดี คนนั้นดูฉลาด คนนี้แต่งตัวแย่ ฯลฯ

ซึ่งคำที่พ่วงท้ายอยู่ในจิตใต้สำนึกก็คือ “กว่าเรา” – คนนี้ดูดีกว่าเรา คนนั้นฉลาดกว่าเรา คนนี้แต่งตัวแย่กว่าเรา

การเปรียบเทียบไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมอบเรามาให้แต่กำเนิด เราหยุดไม่ได้หรอกที่จะวัดว่าเราอยู่ต่ำหรือสูงกว่าคนอื่นๆ แค่ไหน

ส่วนถ้าใครจะบอกว่า “ไม่จริง ฉันไม่เคยเปรียบเทียบคนอื่นกับตัวฉันเลย” และคันไม้คันมืออยากคอมเมนต์มาก ก็จะขอบอกว่ามันคือ status game อย่างหนึ่งเช่นกัน ที่จะบอกว่าฉันพิเศษกว่าคนอื่น ฉันคือข้อยกเว้น

วิธีเดียวที่จะเดินออกจาก status game ได้ คือต้องปลีกวิเวกไม่ข้องเกี่ยวกับใครเลย ซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับมนุษย์ที่ยังใช้ชีวิตแบบฆราวาสอยู่


สถานะต่ำอาจทำให้อายุสั้น

การศึกษาหนึ่งที่โด่งดังมากมีชื่อว่า The Whitehall Studies ของ Dr.Michael Marmot ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1967 จวบจนถึงปัจจุบัน ผ่านการเก็บข้อมูลของข้าราชการหลายหมื่นคนในอังกฤษ

สิ่งที่งานวิจัยนี้พบก็คือ ข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดนั้นมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่าข้าราชการตำแหน่งสูงถึง 4 เท่า!

แน่นอนว่ามีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่ทำให้ข้าราชการผู้น้อยมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้สูบบุหรี่เยอะกว่า กินอาหารแย่กว่า และมีเงินน้อยกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลเพียง 1 ใน 3 ของความแตกต่างด้านความเสี่ยงเท่านั้น

แล้วเหตุใดคนที่อยู่สถานะต่ำกว่าถึงอายุสั้นกว่าคนสถานะสูง?

งานวิจัยระบุว่ามี 3 สาเหตุหลักด้วยกัน

หนึ่ง คนกลุ่มนี้มี low job control คือไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำงานอะไร ทำเมื่อไหร่ ทำอย่างไร ต้องน้อมรับคำสั่งนายอย่างเดียว

สอง low social support ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา

สาม คือขาดแคลนด้านทุนทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินเก็บ ไม่สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ไม่มีความมั่นคงด้านที่พักอาศัย

ทั้งสามปัจจัยนี้นำไปสู่ “ความเครียดสั่งสมยาวนาน” (chronic stress) ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันตก ความดันสูง และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเจ็บป่วยนั่นเอง


แล้วเราจะทำอย่างไรดี?

เมื่อเราไม่สามารถเดินออกจาก status game ได้ แถมถ้าเราอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยก็อาจมีผลต่ออายุขัยอีก เช่นนั้นแล้วเราควรทำตัวอย่างไรดี?

ข่าวดีก็คือ status games นั้นเป็นพหูพจน์ มีให้เลือกเล่นได้หลายเวที

คนที่เป็นนักมวยย่อมเชี่ยวชาญการต่อสู้กว่าผมมาก แต่อาจไม่มีความมั่นใจในการเขียนบทความเท่ากับผม

คนที่รวยเป็นพันล้าน อาจไม่สามารถวิ่ง 10 กิโลเมตรให้จบได้ใน 1 ชั่วโมง

คนที่สวยสง่า อาจไม่มีหัวในการทำธุรกิจ

สิ่งที่จะสื่อก็คือ การที่เราเป็น high status ในวงการหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็น high status ในวงการอื่นๆ เสมอไป

และการที่เรา low status ในวงการนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะ high status ในวงการอื่นไม่ได้

ดังนั้น จงเลือกเล่นเกมที่เราถนัด ที่เราทำแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้น้อยหน้าใคร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปข่มเหง หรือดูถูกใครเช่นกัน

จริงๆ แล้ว Storr แนะนำให้รู้จักกับ Blessed Triangle หรือสามเหลี่ยมแห่งความสุข ที่จะช่วยให้เราเข้าพวกและสร้างความประทับใจกับคนที่เราพบเจอได้

  1. เป็นคนอบอุ่น (warm) เพื่อแสดงว่าเราไม่ใช่ภัยคุกคามหรือพยายามครอบงำใคร
  2. เป็นคนจริงใจ (sincere) เพื่อสื่อให้เห็นว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์
  3. เป็นคนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (competent) เพื่อสื่อถึงความสำเร็จและเป็นประโยชน์

สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็อยากได้การยอมรับและเคารพนับถือ แต่บางทีเราก็เผลอไปวิ่งตาม status ผิดประเภท จนพาให้เราหลงทางและเสียพลังงานไปโดยเปล่าดาย

อ่าน status game ให้ออก เลือกเล่นเกมที่เราเล่นได้ดี และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องลงไปเล่นเกมที่ขัดกับตัวตนหรือคุณค่าที่เรายึดถือครับ

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนเวลาเราอ่านหนังสือแนว how-to คือขอแค่เราทำตามที่เขาแนะนำ แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้น เราจะรวยขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่หนังสือเหล่านี้บอกโดยนัยก็คือ ถ้าชีวิตเรายังแย่อยู่ แสดงว่าเป็นความผิดของเราเอง

แนวความคิดนี้เชื่อมั่นในความเป็นปัจเจกบุคคล ที่สามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง

แต่ระยะหลังก็มีหนังสือหลายเล่มที่ออกมาพูดว่าปัญหาที่เราเจออยู่ ไม่ได้เกิดจากความไม่เอาไหนในตัวบุคคล แต่เป็นปัญหาของทั้งระบบที่มันครอบงำเราอยู่

ยกตัวอย่างของคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ที่เรามักจะโทษตัวเองว่ากินไม่ระวังปากและไม่ค่อยออกกำลังกาย

แต่หนังสืออย่าง Ultra-Processed People ของ Chris van Tulleken ก็บอกว่าแท้จริงแล้ว อุตสาหกรรมอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนน้ำหนักมากขึ้นทั่วโลก เพราะอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้นกระตุ้นให้เรากินไม่หยุด

หรือเวลาที่เราหงุดหงิดตัวเองที่เล่นมือถือมากเกินไป ใช้เวลากับโลกโซเชียลวันละเป็นชั่วโมง หนังสืออย่าง Stolen Focus ของ Johann Hari และ The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt ก็บอกว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างหากที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาให้คนติดกันงอมแงม

หรือแม้กระทั่งเรื่องที่น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวอย่างความเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ หนังสืออย่าง The Perfection Trap ของ Thomas Curran ก็บอกว่านิสัยนี้เป็นเพราะเราถูกหล่อหลอมจากคนในบ้านและจากความคาดหวังของสังคมว่าเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราทำทุกอย่างออกมาได้ดีและไม่มีข้อผิดพลาด

สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม ต่อให้เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหน มีวินัยแค่ไหน ถ้ามันเป็นการ ‘ว่ายทวนน้ำ’ ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนจะทำได้สำเร็จ

เขียนอย่างนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าให้เลิกพยายาม แค่อยากจะชวนให้เรามองเห็นปัจจัยให้ครบถ้วน เพื่อให้เราปรับแผนการหรือยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง

และถ้าเราเกิดพลั้งพลาดหรือทำไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ควรตีอกชกตัว หรือโทษว่าตัวเองเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเราเสียทั้งหมด


ในทางกลับกัน ในตอนที่ทุกอย่างไปได้สวย เราก็ไม่ควรชื่นชมตัวเองเกินไป

เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับหนังสือ how-to ที่ยึดความเป็นปัจเจกบุคคลเช่นกัน ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ดังนั้นหากมันสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เราก็จะมักจะให้เครดิตตัวเองว่ามันเกิดจากฝีมือและความพยายามของเราเอง

ทั้งที่จริงแล้วโชคชะตาหรือจังหวะชีวิตนั้นมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางชีวิตมากกว่าที่เราคิดไว้

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อของ Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Psychology of Money

เรื่องราวหนึ่งที่เฮาส์เซลมักจะเล่าในพ็อดคาสต์ รวมถึงเขียนถึงในหนังสือ Same As Ever ด้วย ก็คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตเขา

สมัยวัยรุ่นเฮาส์เซลเป็นนักกีฬาสกีสไตล์ cross-country แบบจริงจังขนาดที่ตัดสินใจไม่เรียนชั้นมัธยมปลาย

มีวันหนึ่งที่เขาไปเล่นสกีกับเพื่อนนักกีฬาด้วยกันอีกสองคน แล้วเล่นสกีไปจนเจอจุดที่เจ้าหน้าที่กั้นไว้ไม่ให้เข้าไปเล่นเพราะว่าเป็นจุดที่หิมะเพิ่งตกลงมาเยอะ พื้นจะไม่แน่นและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นและมั่นใจในฝีมือตัวเองกันทั้งนั้น ก็เลยเข้าไปเล่นสกีในบริเวณต้องห้ามจนลงมาถึงข้างล่างและสนุกกันมาก

เพื่อนทั้งสองคนชวนกันขึ้นไปเล่นพื้นที่ต้องห้ามอีกสักรอบ แต่เฮาส์เซลบอกว่าขี้เกียจแล้ว เดี๋ยวเขาขอกลับไปที่บ้านพักเพื่อเอารถมารอรับดีกว่า

พอเฮาส์เซลกลับมาที่จุดนัดพบ รอเพื่อนอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เจอ กลับมาถึงห้องพักก็ไม่เจอ และพอแม่ของเพื่อนโทรมาถามว่ารู้ไหมว่าเพื่อนของเขาอยู่ที่ไหน เฮาส์เซลจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเพื่อนๆ น่าจะยังอยู่บนเขา

เจ้าหน้าที่ออกตามหาตัวเพื่อนทั้งสองคนตรงบริเวณเขตต้องห้าม แล้วก็พบว่าเพื่อนทั้งสองคนถูกฝังอยู่ใต้หิมะสูงหลายเมตร

ใช่ครับ พื้นที่ตรงนั้นเกิดหิมะถล่ม และทั้งคู่ไม่มีใครรอดชีวิต

เฮาส์เซลบอกว่า เขานึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาตัดสินใจไม่ขึ้นไปเล่นสกีรอบที่สองตามคำชวน แต่เขานึกออกเลยว่าถ้าเขาไปด้วยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาบ้าง

ในวัยสามสิบกลางๆ เฮาส์เซลตัดสินใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การตัดสินใจไม่เล่นสกีในครั้งนั้นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของเขา

เฮาส์เซลบอกว่ามันแปลกไหมที่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดไม่ได้เกิดจากสติปัญญาหรือการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งนี้เป็นเรื่องของโชคล้วนๆ


อีกตอนหนึ่งในหนังสือ Same As Ever ที่ผมชอบ คือตอนที่เฮาส์เซลเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญอย่างยุทธการลองไอส์แลนด์ (Battle of Long Island) ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1776

เหตุการณ์นี้เป็นช่วงที่กองทัพอังกฤษมีกำลังเหนือกว่ามาก และสามารถตีกองทัพของจอร์จ วอชิงตันให้จนมุมได้ที่ลองไอส์แลนด์ กองทัพของวอชิงตันถูกปิดล้อมและอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างยิ่ง หากเรือรบอังกฤษสามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำอีสต์ริเวอร์ได้ กองทัพอเมริกันก็จะถูกทำลายและสงครามอาจจบลงในวันนั้นเลย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ ‘ทิศทางลมไม่เป็นใจ’ – ลมไม่ได้พัดไปในทิศทางที่เรืออังกฤษต้องการ ทำให้เรือไม่สามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำเพื่อปิดล้อมกองทัพของวอชิงตันได้อย่างสมบูรณ์

ในคืนนั้นเอง ภายใต้ความมืดมิดและหมอกที่ลงจัด กองทัพของจอร์จ วอชิงตันอาศัยโอกาสนี้ในการถอนกำลังข้ามแม่น้ำไปยังแมนฮัตตันได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยที่อังกฤษไม่ทันรู้ตัว และสุดท้ายจอร์จ วอชิงตันก็ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

Morgan Housel อ้างอิงคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ David McCullough ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากลมพัดไปในทิศทางอื่นในคืนนั้น กองทัพอังกฤษจะชนะ และคงไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนในปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์บางครั้งไม่ได้มาจากสติปัญญา การวางแผน หรือความพยายามอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่าง “โชค” หรือ “จังหวะ” ซึ่งในกรณีนี้คือ “ลมเปลี่ยนทิศ” ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาก่อกำเนิดขึ้นมาได้นั่นเอง


เมื่อปีที่แล้ว ผมได้เชิญ Brian Klaas ผู้เขียนเรื่อง Fluke มาพูดที่บริษัทและชวนคนที่สนใจมาร่วมฟังด้วยกัน

หนึ่งในประเด็นที่ Klaas พูดถึง ก็คือสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิตของเขา เขาไม่ได้เป็นคนเลือก

เขาไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในครอบครัวนี้ ไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในอเมริกา ไม่ได้เลือกที่จะมีสมองและวิธีคิดแบบนี้ แต่ปัจจัยทุกอย่างก็เกื้อหนุนให้เขามีวันนี้ได้

Klaas บอกว่า ต่อให้เขามีมันสมองที่ดี แต่ถ้าเขาเกิดในประเทศอย่างมาดากัสการ์ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ตีพิมพ์หนังสือและได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นนี้

ผมเองเคยแอบชื่นชมตัวเองเหมือนกันที่ไม่สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าไม่เยอะ ทั้งที่เพื่อนวัยรุ่นที่โตด้วยกันมานั้นสูบบุหรี่และดื่มเหล้ากันหนักพอตัว

แต่พอมานั่งคิดดู ที่ผมไม่สูบบุหรี่อาจไม่ใช่เพราะว่าใฝ่ดีอะไร ผมก็แค่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เฉยๆ และการที่ผมไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอลก็เพราะว่าไม่ชอบรสชาติและไม่ชอบอาการแฮงค์ตอนเช้าเท่านั้นเอง

ความชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เกิดจากการเลือก แต่เกิดจากการที่สมองของผมถูกจัดเรียงไว้อย่างนี้ ไม่ต่างจากที่ผมชอบกินหรือไม่ชอบกินอาหารบางอย่าง

หรืออย่างเรื่องการเรียนหนังสือที่เราเรียนได้ดี ขยันอ่านหนังสือ เพื่อนสมัย ม.ต้น ของผมคนหนึ่งก็เคยบอกว่า ต่อให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือก็ใช่ว่าจะทำคะแนนได้ดี เพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ตอนนั้นผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมองเห็นว่ามีความจริงอยู่บ้างเหมือนกัน

ผมยังคงเชื่อเรื่องความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ผมเองก็เชื่อด้วยว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว มันยังมีปัจจัยที่นอกเหนือความควบคุมของเรา ไม่ต่างจากลมเปลี่ยนทิศที่ทำให้เกิดสหรัฐอเมริกา หรือการตัดสินใจไม่ไปเล่นสกีรอบสองที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตรอดมาเขียนหนังสือขายดี

ในขณะเดียวกัน เวลาเราล้มเหลว เราก็ไม่ได้ล้มเหลวเพราะเราคนเดียว บางทีเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ถ้าปัจจัยอื่นๆ ไม่เกื้อหนุน เราก็ไม่อาจบรรลุสิ่งที่หวังไว้เช่นกัน

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

เมื่อตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวหรือแม้กระทั่งปัจจัยหลักของความสำเร็จหรือความล้มเหลว เราก็จะมีความรู้สึกขอบคุณ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นอย่างที่ควรจะเป็นครับ

เราจะลดคอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้อย่างไร (ตอนที่ 1)

เดือนที่ผ่านมา เมืองไทยมีข่าวร้อนแรงหลายข่าวที่ดูแล้วน่าจะเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งผมจะไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะไม่ใช่ประเด็นสำคัญของบทความนี้

สิ่งที่ผมอยากจะชวนคุย คือเราจะลดปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยได้อย่างไร

เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน แต่เพราะปัญหามันใหญ่และฝังรากลึกมาก เราจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้ตรงไหน ไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้ยังไง เห็นมีคนพยายามจะแก้กี่ครั้งก็เหมือนจะไม่เคยสำเร็จเสียทีประเทศไทยจึงเหมือนติดอยู่ในคุกที่แน่นหนาและไร้ทางออก

ออกตัวก่อนเลยว่าผมไม่มีความรู้ในหัวข้อนี้ ไม่เคยศึกษาเรื่องคอร์รัปชั่นแบบลงลึกมาก่อน ผมก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่เบื่อการทุจริตและทำได้แค่บ่นและทำใจ

แต่ก็คิดได้ว่า เราคงไม่ต้องมุ่งหวังที่แก้ปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากเมืองไทย แค่เพียงเราทำให้มันดีขึ้นสัก 5%-10% ก็น่าจะช่วยให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้นได้บ้าง ผมจึงเลือกตั้งชื่อบทความว่า เราจะ”ลด”คอร์รัปชั่นได้อย่างไร มากกว่าใช้คำว่า “แก้” หรือ “ขจัด” ปัญหาคอร์รัปชั่น

และเอาเข้าจริง ถ้าเรามองไปยังประเทศอื่นที่ไม่ได้ดีหรือด้อยไปกว่าเมืองไทย เขาก็สามารถลดปัญหาคอร์รัปชั่นได้เหมือนกัน ถ้าของเขายังดีขึ้นได้ แล้วทำไมเราจะดีขึ้นไม่ได้

พอมองแบบนี้ การที่ผมไม่รู้อะไรเลยอาจจะเป็นข้อดี เพราะผมจะได้เขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่รู้ว่าอะไรทำได้-อะไรทำไม่ได้

“Because I didn’t know it couldn’t be done, I was enabled to do it.”

— Walter Isaacson

“สารตั้งต้น” ของบทความนี้มาจากหนังสือชื่อ Corruptible: Who Gets Power and How It Changes Us (2021) ที่เขียนโดย Brian Klaas ผู้เขียนคนเดียวกับ Fluke ที่ผมยกให้เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตแห่งปี 2024

หลังจากอ่าน Corruptible และหาข้อมูลเพิ่มเติมกับเอไอแล้ว ก็เหมือนผมได้ลงไปใน “รูกระต่าย” (rabbit hole) ที่ลึกลับซับซ้อน

ก็เลยตัดสินใจเขียนบทความนี้เป็นแบบซีรี่ส์ โดยยังไม่รู้ว่าจะมีกี่ตอนนะครับ


คอร์รัปชั่นในรูปแบบสูตรคณิตศาสตร์

ในปี 1988 Robert Klitgaard นักวิชาการชาวอเมริกัน ได้เขียนหนังสือชื่อ Controlling Corruption ซึ่งศึกษาว่าเราจะลดคอร์รัปชั่นในประเทศที่กำลังพัฒนาได้อย่างไร

คลิตการ์ดเขียนการทุจริตออกมาเป็นสูตรแบบนี้ครับ

C = M + D – A

C = Corruption: ระดับการทุจริตที่มีอยู่ในระบบ
M = Monopoly: ระดับของอำนาจผูกขาดที่เจ้าหน้าที่มี
D = Discretion: ปริมาณอำนาจตามดุลยพินิจที่เจ้าหน้าที่มี
A = Accountability: ระดับของกลไกความรับผิดชอบ

มาดูรายละเอียดเหตุปัจจัยแต่ละข้อกันนะครับ

Monopoly – อำนาจผูกขาด (M)

เมื่อเจ้าหน้าที่มีอำนาจผูกขาดในการควบคุมหรือตัดสินใจ และประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ เจ้าหน้าที่ย่อมเรียกรับสินบนได้เพราะประชาชนไม่มีที่อื่นให้ไป

ยกตัวอย่างเช่น หากการออกใบอนุญาตธุรกิจทำได้แค่เพียงที่เดียว หรือมีเพียงหน่วยงานเดียวที่ควบคุมใบอนุญาตนำเข้า นั่นย่อมเป็น monopoly ทางอำนาจ

ยิ่งมี monopoly มาก ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดการทุจริต

Discretion – อำนาจตามดุลยพินิจ (D)

หมายถึงเสรีภาพที่เจ้าหน้าที่มีในการตัดสินใจตามดุลยพินิจของตนเอง โดยไม่มีกฎเกณฑ์หรือการกำกับดูแลที่ชัดเจน เช่นระเบียบที่คลุมเครือซึ่งต้องการการตีความ หรืออำนาจในการกำหนดบทลงโทษ ข้อยกเว้น หรือข้อยกเว้นพิเศษ

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ตัดสินใจว่าใครได้รับวีซ่า เจ้าหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างที่พิจารณาว่าข้อเสนอใด “ดีที่สุด” หรือผู้ตรวจสอบที่ตัดสินใจว่าอะไรถือเป็นการปฏิบัติตาม

ถ้าเจ้าหน้าที่สามารถใช้ “ดุลยพินิจ” ได้ตามอำเภอใจ ก็มีโอกาสที่จะเกิดการทุจริตได้โดยง่าย

Accountability – ความรับผิดชอบ (A)

กลไกที่ตรวจสอบและจำกัดพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ เช่นข้อกำหนดด้านความโปร่งใส การมีหน่วยงานกำกับดูแลที่ทบทวนการตัดสินใจ การมี hotline ให้แจ้งเบาะแสการกระทำผิด และการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส

ถ้าความรับผิดชอบสูงขึ้น โอกาสจะเกิดคอร์รัปชั่นย่อมน้อยลง

C = M + D – A

พอเราเขียนคอร์รัปชั่นออกมาเป็นสูตร เราก็จะมองเห็นปัญหาได้เคลียร์ขึ้นได้ว่าเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง

พอเรารู้เหตุปัจจัย ถ้าอยากให้ผลมันดับ เราก็แค่ดับเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้โดย

ทำลายการผูกขาด: สร้างการแข่งขันหรือเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน

ลดดุลยพินิจ: กำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ

เพิ่มความรับผิดชอบ: สร้างการกำกับดูแลและความโปร่งใส

แน่นอนว่าคำถามที่เกิดตามมาก็คือ สูตรที่ดูดีในหนังสือ มันสามารถเอามาใช้ให้เกิดผลลัพธ์ในทางปฏิบัติได้จริงๆ หรือไม่ โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่ได้เป็นโลกที่ 1

มาดูตัวอย่างกันครับ


1. ฟิลิปปินส์

ปัญหา: ในช่วงทศวรรษ 1970–1980 มีการคอร์รัปชันอย่างแพร่หลายในหมู่เจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษี โดยเจ้าหน้าที่มักรับสินบนเพื่อประเมินภาษีให้น้อยลง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมาก

แนวทางแก้ไข:

Discretion (D): กำหนดเกณฑ์ชัดเจนสำหรับการจัดเก็บภาษีตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค

Accountability (A): เปิดเผยยอดการจัดเก็บภาษีของเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ประชาชนรับทราบ

Accountability (A): จัดให้มีการหมุนเวียนเจ้าหน้าที่ไปประจำในพื้นที่อื่นๆ

ผลลัพธ์: สามารถเพิ่มรายได้จากภาษีได้อย่างมาก และลดการคอร์รัปชันลงได้อย่างเห็นผล โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบหรือเปลี่ยนบุคลากรทั้งหมด

แหล่งที่มา: Klitgaard, R. (1988). Controlling Corruption. University of California Press.


2. อินโดนีเซีย

ปัญหา: การคอร์รัปชันแพร่หลายในหน่วยงานของรัฐ และแทบไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง

แนวทางแก้ไข:

Monopoly (M): จัดตั้ง KPK (Corruption Eradication Commission) ให้เป็นหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจร่วมกับตำรวจและอัยการ

Discretion (D): กำหนดแนวทางการดำเนินคดีคอร์รัปชันให้ชัดเจน

Accountability (A): รายงานผลการทำงานสู่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอ และรับการตรวจสอบจากภายนอก

ผลลัพธ์: สามารถดำเนินคดีกับบุคคลที่เคย “แตะต้องไม่ได้” เช่น รัฐมนตรี ผู้ว่าราชการ และสมาชิกรัฐสภา

แหล่งที่มา: Bolongaita, E. (2010). An Exception to the Rule? Why Indonesia’s Anti-Corruption Commission Succeeds Where Others Don’t.


3. ยูกันดา

ปัญหา: ในช่วงทศวรรษ 1990 มีเพียง 20% ของงบประมาณเพื่อการศึกษาเท่านั้นที่ถึงมือโรงเรียน ส่วนที่เหลือถูกยักยอกผ่านการคอร์รัปชัน

แนวทางแก้ไข:

Accountability (A): รัฐบาลเริ่มเผยแพร่ข้อมูลการโอนเงินสนับสนุนโรงเรียนในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และกำหนดให้โรงเรียนต้องติดประกาศยอดเงินที่ได้รับไว้บนบอร์ดประชาสัมพันธ์

ผลลัพธ์: ภายในไม่กี่ปี โรงเรียนได้รับงบประมาณมากกว่า 90% ของที่จัดสรร

แหล่งที่มา: Reinikka, R., & Svensson, J. (2005). Fighting Corruption to Improve Schooling: Evidence from a Newspaper Campaign in Uganda.


4. แทนซาเนีย

ปัญหา: การคอร์รัปชันอย่างรุนแรงในระบบศุลกากรและการจัดเก็บภาษี ทำให้รายได้รัฐลดลงอย่างมาก

แนวทางแก้ไข:

Monopoly (M): จ้างบริษัทเอกชน (SGS) ตรวจสอบสินค้าและประเมินราคาก่อนการส่งออก

Discretion (D): ใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจปล่อยสินค้า ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

Accountability (A): กำหนดเป้าหมายผลการปฏิบัติงานและติดตามผลของเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษี

ผลลัพธ์: รายได้จากภาษีเพิ่มจาก 10% ของ GDP ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เป็น 17% ภายในปี 2007

แหล่งที่มา: Fjeldstad, O. H. (2003). Fighting Fiscal Corruption: Lessons from the Tanzania Revenue Authority.


5. ประเทศไทย

ปัญหา: ในอดีต การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของไทยประสบปัญหาการทุจริตอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในรูปแบบการต่อรองราคาโดยตรง หรือการตกลงกันใต้โต๊ะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับเหมา

แนวทางการแก้ไข: พัฒนาระบบ e-Government Procurement (e-GP) และ e-Bidding ภายใต้การดูแลของกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลัง เพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

ผลลัพธ์:

  • ลดโอกาสในการใช้ อำนาจผูกขาด (M) และ การใช้ดุลยพินิจส่วนบุคคล (D) ของเจ้าหน้าที่
  • เพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบ (A) ด้วยการเปิดเผยข้อมูลการประมูลแบบเรียลไทม์ให้สาธารณชนเข้าถึง
  • ธนาคารโลก (World Bank) และ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ได้ชื่นชมระบบนี้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของไทย

แหล่งที่มา: World Bank: Thailand Economic Monitor, April 2007


แน่นอนว่า การแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาคงไม่ได้สมบูรณ์แบบและขจัดการทุจริตได้อย่างหมดจด แต่อย่างน้อยมันเป็นการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

เมื่อได้อ่านตัวอย่างเหล่านี้แล้ว หวังว่าคุณผู้อ่านจะรู้สึกเหมือนผมว่าเริ่มมีกำลังใจมากขึ้นนิดหน่อย

คำถามยังมีอีกมากมาย เช่นตกลงคอร์รัปชั่นมันเกิดจากระบบหรือเกิดจากคนไม่ดี ทำไมระบบถึงชอบดึงดูดคนไม่ดีให้ขึ้นมามีอำนาจ เราจะทำยังไงให้คนดีเข้าไปอยู่ในระบบมากขึ้น หรือประชาชนคนธรรมดาอย่างเราจะมีส่วนช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง

เรามาร่วมหาคำตอบในตอนต่อไปนะครับ



ปลายเดือนนี้ Anontawong’s Musings กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ “คำถามร้อยบาท กับคำถามล้านบาท” พรีออเดอร์ในราคาพิเศษได้ที่เพจนิ้วกลมครับ

เมื่อ Supply มีมากกว่า Demand เราจะอยู่กันอย่างไรดี

เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับ “พี่เบน” วิบูลย์ ตวงสิทธิสมบัติ CEO กลุ่มบริษัทนันยางเท็กซ์ไทล์ ที่ทำธุรกิจสิ่งทอครบวงจรอันดับต้นๆ ของประเทศไทย

ประโยคหนึ่งที่พี่เบนพูดออกมาแล้วติดอยู่ในใจผมมาหลายเดือนก็คือ การทำธุรกิจสมัยก่อนนั้นง่ายกว่าสมัยนี้

“ในอดีต ถ้า Demand มีซัก 10 Supply จะมีแค่ 3 หรือ 4 เท่านั้น ทำธุรกิจอะไรก็รวย

แต่สมัยนี้ Demand มี 10 Supply อาจจะมี 20 หรือ 30 มันก็เลยต้องแย่งกันขาย ดังนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนนั้นจึงยากกว่าแต่ก่อนมากๆ”

ในช่วงเดียวกันนั้นเอง ผมได้อ่านหนังสือชื่อ The Perfection Trap ที่เขียนโดย Thomas Curran ที่ตั้งคำถามว่าทำไมคนเราถึงมีโอกาสเป็น perfectionist มากกว่าแต่ก่อน

สมมติฐานของ Curran คือ โลกปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วย Supply-Side Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยฝั่งซัพพลาย

ในความหมายที่ว่า ทุกคนต้องการสร้างความเจริญเติบโต (growth) จึงเร่งผลิตผลิตภัณฑ์ออกมามากมายจนล้นตลาด และสร้าง “ความต้องการ” ให้กับผู้บริโภคด้วยการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นทางทีวี นิตยสาร หรือบิลบอร์ด หรือถ้าเป็นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็คือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่ Curran มองว่าไม่ได้ทำหน้าที่ social network อีกต่อไป แต่เป็น advertising platform อันทรงพลัง

เมื่อเราถูกสื่อทุกทางบอกว่าชีวิตของเราไม่ดีพอ ชีวิตของเราจะต้องดีกว่านี้ ด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนี้หรือบริการตัวนั้น เราก็เลยพร้อมที่ยอมจ่ายเงินเพื่อจับจ่ายสินค้าที่เอาเข้าจริงแล้วไม่ได้จำเป็นต่อชีวิต

เราจึงกดเอฟของเวลามี Double Digit Campaign ในเว็บอีคอมเมิร์ซ เราจึงซื้อเสื้อผ้า fast fashion มาอัดไว้เต็มตู้ เราจึงเปลี่ยนมือถือทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้ดี


ไม่ใช่เพียงสินค้าเท่านั้นที่ล้นตลาด คนทำงานก็เหมือนจะล้นตลาด

เนื่องจากผมทำงานอยู่ในส่วนของ HR จึงได้สัมภาษณ์คนอยู่เรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือเด็กที่จบใหม่สมัยนี้หางานดีๆ ได้ยากกว่าสมัยก่อน

เนื่องจากบริษัททุกแห่งต้องทำกำไร และการจ้างพนักงานประจำนั้นมีต้นทุนสูง บริษัทจำนวนไม่น้อยจึงเลือกรับพนักงานที่ยังไม่มีประสบการณ์แบบเป็นสัญญาจ้างหรือที่เรียกว่า outsourced employee

ผมได้คุยกับผู้สมัครหลายคนที่เรียนจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่ตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมายังเป็นได้เพียงพนักงานสัญญาจ้างปีต่อปี ซึ่งสิ่งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยตอนผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

แล้วการมาของ AI อาจจะ disrupt ตลาดแรงงานอีกหลายระลอก งานระดับ operations ที่เราเคยจ้างเด็กจบใหม่เข้ามาทำก็อาจจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ

เมื่อเราอยู่ในโลกที่ supply มีมากกว่า demand นั่นหมายความว่าเราไม่อาจแสวงหา “ความมั่นคง” ในอาชีพการงานได้อีกต่อไป

แม้กระทั่งบริษัทเทคชั้นนำของโลกที่มีเงินมหาศาล ก็ยังปลดพนักงานไปแล้วหลายระลอก

จริงอยู่ที่ในเมืองไทยยังมีองค์กรใหญ่ที่ดูมั่นคงและปลอดภัย แต่ในโลกที่ผันผวนเพียงนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าองค์กรเหล่านี้จะยังคงมอบความมั่นคงให้กับพนักงานได้เหมือนสมัยก่อนหรือไม่ บริษัทอาจถูกควบรวม ลดไซส์ หรือมีโครงการ early retire ที่เราอาจกลายเป็น “ผู้ประสบภัย” ได้เช่นกัน


ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี?

ผมคงไม่สามารถพูดได้ในมุมของเจ้าของธุรกิจเพราะไม่ได้มีประสบการณ์ แต่ขอพูดในมุมมองของพนักงานว่าเราจะเพิ่มความน่าจะเป็นให้กับตัวเองในการมี “งานทำไม่ขาดมือ” ได้อย่างไรบ้าง

หนึ่ง เราควรเป็นของหายากสำหรับใครบางคน

แม้จะอยู่ใน supply-side economy แต่ก็มีบางอย่างที่ supply ยังน้อยกว่า demand อยู่

เช่นคนที่ขยัน เรียนรู้ไว มี ownership เก่งทั้งงาน เก่งทั้งคน มี EQ ที่ดี จัดการความเครียดได้ สุขภาพแข็งแรง รักษาคุณภาพของงานได้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางลัด ต้องใช้เวลาพัฒนา มันจึงเป็นของหายาก และบริษัทที่ฉลาดย่อมอยากเก็บเอาไว้

สอง เราควรสร้างแบรนด์ของตัวเอง

เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ดีๆ ได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมากไปกว่าเวลาและความตั้งใจ (โดยที่ต้องทดไว้ในใจว่าใน supply-side economy ก็มี creators ล้นตลาดเช่นกัน)

เมื่อเรามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีคนติดตามหลักพันหรือหลักหมื่น มันจะเป็นเสมือน online resume ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเราได้ในระยะยาวไม่ว่าเราจะทำงานอยู่กับองค์กรไหนก็ตาม

และแม้ว่าเราไม่ต้องการมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ เราก็ยังสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองภายในองค์กรได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสและทางเลือกให้กับเราอย่างแน่นอน

สาม เราควรเล่นเกมยาวกับคนที่มองการณ์ไกล

“Play long-term games with long term people.” เป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ผมชอบมากที่สุดในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

เพราะความไว้ใจนั้นใช้เวลาสั่งสมเนิ่นนาน เป็นสิ่งที่ AI ก็ช่วยให้เกิดเร็วขึ้นไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในความสัมพันธ์กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ เราก็จะมีกลุ่มคนที่คอยเกื้อกูลกัน พร้อมจะแนะนำให้เราได้พบกับงานดีๆ ทั้งในวันนี้และในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องร่อนเรซูเม่และได้แต่ภาวนาว่าจะมีบริษัทไหนเรียกตัวหรือไม่

ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคลื่นอีกหลายระลอกที่กำลังซัดเข้าฝั่งครับ