เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเริ่มทำ Knowledge Sharing ในการประชุมประจำเดือนของทีม โดยจะให้ระดับหัวหน้าทีมผลัดกันมาแชร์เรื่องที่น้องๆ น่าจะได้ประโยชน์ และผมก็เบิกโรงด้วยการพูดเป็นคนแรก
หัวข้อที่ผมหยิบมาคุยก็คือ มนุษย์เราแสวงหาสิ่งใด – what are we looking for?
ความสำเร็จ ความสุข ความหมาย นี่อาจเป็น 3 คำตอบที่เราได้ยินกันบ่อยที่สุด
ความสำเร็จมีมาตรวัดอะไรบ้าง ก็คงหนีไม่พ้นการมีเงินมีทองใช้ (Money) การมีหน้าที่การงานที่ดี (Status) และการมีคนชื่นชมนับหน้าถือตา (Praise)
ผมมีข้อสังเกตมาตรวัดต่างๆ ดังนี้
Money
เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้ก็จริง แต่การไม่มีเงินซื้อความทุกข์ได้แน่นอน
การมีเงินใช้เยอะๆ เป็นเรื่องดี แต่มันไม่ได้ดีอย่างที่เราจินตนาการไว้หรอก ตอนที่เราเริ่มทำงานด้วยเงินเดือนหมื่นเศษ เราเคยจินตนาการว่าถ้าเงินเดือนห้าหมื่นคงจะสบายน่าดู พอเราเงินเดือนถึงห้าหมื่นแล้ว เราก็จินตนาการว่าถ้ามีเงินเดือนแสนนึงชีวิตคงไม่ต้องการอะไรอีก
แต่เมื่อเงินเดือนเหยียบแสน เราจะพบว่ามันไม่ได้ฟินอย่างที่เราคิด เพราะเมื่อเงินเดือนมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือ:
- ความคาดหวังจากคนรอบตัวเราที่มีมากขึ้น และเราเองก็คาดหวังที่จะทำอะไรให้คนอื่นมากขึ้นด้วย
- เราเริ่มมีครอบครัว เริ่มวางแผนที่จะมีลูก เงินที่หามาได้ไม่ใช่เพื่อตัวเองคนเดียวอีกต่อไป
- ภาษีที่จ่ายแพงขึ้นแบบเห็นแล้วเครียดว่ารัฐบาลเอาเงินเราไปทำอะไรบ้าง
- Lifestyle Inflation เมื่อเงินเดือนมากขึ้น เราก็จะอัปเกรดตัวเอง ซื้อรถ ซื้อคอนโด กินข้าวนอกบ้าน เที่ยวเมืองนอก ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงพุ่งทะยานจนอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “เงินเดือนก็เยอะนะ หายไปไหนหมด?”
ข้อดีที่สุดของการมีเงินคือเราจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องเงิน
เมื่อเราจัดการอะไรได้ดี เราจะเลิกคิดถึงสิ่งนั้น ถ้าจัดการเวลาได้ดี เราจะไม่ค่อยบ่นว่าไม่มีเวลา ถ้าเราจัดการแฟนได้ดีเราจะไม่โดนแฟนโทรจิก และถ้าเราจัดการเงินได้ดีเราจะไม่ค่อยกังวลเรื่องการเงิน
ถ้าเราคุมค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ ไม่ปล่อยให้ lifestyle inflation พุ่งเกินไป เราจะมีเงินเหลือในบัญชีมากเพียงพอที่จะไม่ต้องมาคอยลุ้นทุกวันที่ 25 ว่าเงินเข้าแล้วหรือยัง
Status
นอกจากแข่งกันเรื่องทรัพย์สินเงินทองแล้ว มนุษย์เรายังแข่งกันเรื่องสถานะทางสังคมด้วย
สถานะทางสังคมบอกได้ด้วยตำแหน่งแห่งหนและองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่
แต่ฐานะที่ว่าก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ตอนอยู่ในบริษัทผมอาจจะเป็นผู้บริหารมีลูกน้องหลายสิบคนก็จริง แต่พอออกจากบ้านไปกินก๋วยเตี๋ยวผมก็เป็นคนธรรมดา และเมื่อเกษียณแล้วผมก็จะอัปเกรดเป็นคุณลุงธรรมดา
ดังนั้นอย่าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ อย่ายึดติดกับหัวโขนที่เราได้จากการงานมากเกินไป ไม่อย่างนั้นในวันที่เราถอดหัวโขนออก (หรือโดนคนอื่นถอดให้) เราจะสูญเสียตัวตนของเราไปเช่นกัน
เครื่องแสดงสถานะทางสังคมอื่นๆ ก็เช่นเสื้อผ้าที่เราใส่ รถที่เราขับ และมือถือที่เราใช้ ทุกอย่างล้วนเป็น lifestyle inflation เป็นหางนกยูงที่เรากางไว้อวดคนอื่น แต่ถ้ามันทำให้เราชักหน้าไม่ถึงหลังก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการใช้เงินซื้อสถานะนี้มันคุ้มค่ากันรึเปล่า
Praise
คำชื่นชมและความยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่เราถวิลหาอยู่ลึกๆ มาโดยตลอด
หลายคนใช้เวลาค่อนชีวิตเพื่อที่จะพิสูจน์ให้พ่อแม่พอใจและภูมิใจ
ส่วนคำชมจากเจ้านายก็มีความหมาย แค่หัวหน้าตอบเมลมาสั้นๆ ว่า “Well done.” ก็ทำให้เรายิ้มได้ไม่หุบแล้ว
คำชมที่เราต้องระมัดระวัง คือคำชมของคนแปลกหน้า
ในโลกโซเชียลที่เปิดให้มีผู้ติดตามได้ เราอาจจะเผลอให้คุณค่าการกดไลค์กดแชร์ของคนแปลกหน้ามากเกินไป ตัวผมเองยังเข้ามาเช็คเรตติ้งโพสต์ในเพจนี้วันละหลายครั้ง ถ้าคนกดไลค์เยอะใจก็พองฟู ถ้าคนกดไลค์น้อยใจก็แฟบๆ กลายเป็นว่าเราเอาความสุขไปแขวนไว้กับคนอื่นเสียหมด
อีกคำชมที่ต้องระวัง คือการชมตนเอง
ชื่นชมตัวเองในใจนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่การชื่นชมตัวเองออกสื่อมันไม่ค่อยน่าดู และมักจะให้ผลตรงกันข้ามกับที่เราหวังไว้
พูดเรื่องความสำเร็จที่ประกอบด้วยเงินทอง สถานะ และคำชมไปแล้ว มาพูดเรื่องความสุขบ้าง
Happiness
ความสุขนั้นได้มาจากการเสพและการสร้าง
การเสพนั้นให้ความสุขเราได้ก็จริง แต่เป็นความสุขที่หมดอายุเร็วมาก
ส่วนความสุขจากการสร้างนั้นต้องออกแรงมากกว่าแต่ก็จะมอบความสุขที่ลึกซึ้งและยาวนานกว่าเช่นกัน
ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้ที่จะเป็น creator – เขียนบล็อก ทำคอนเทนท์ นัดหมายเพื่อนฝูงกินข้าว – ทำอะไรก็ได้เพื่อให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง “เกิด” ขึ้นมา
อีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่น่าสนใจเรื่องความสุข คือผลลัพธ์ขั้นที่หนึ่งและผลลัพธ์ขั้นที่สอง (first-order and second-order consequences) ซึ่งในหลายครั้งสองอย่างนี้จะขัดกัน
ถ้าตอนที่เราทำเราไม่ค่อยมีความสุข สิ่งที่ตามมามักจะเป็นความสุข
เช่นวิ่งออกกำลังกาย ตอนวิ่งอาจจะเหนื่อย อาจจะปวดน่อง แต่หลังจากนั้นเราจะรู้สึกว่ามีพลังงานดีไปทั้งวัน
ถ้าตอนที่เราทำเรามีความสุข สิ่งที่ตามมามักจะทำให้เราไม่มีความสุข
เช่นกินชานมไข่มุก ตอนกินอาจจะฟินมากๆ แต่กินเสร็จแล้วจะหนักๆ หน่วงๆ ร่างกายไม่ค่อยมีแรง ยังไม่นับว่าต้องไปลุ้นค่า LDL ตอนตรวจร่างกายประจำปี
ความสุขมีความแปลกประหลาดของมัน วินาทีที่เราเริ่มออกตามหาความสุข ความสุขจะหายไปทันที
เพราะเมื่อเราวิ่งเร็วเกินไป บางทีความสุขก็วิ่งตามเราไม่ทัน แต่ถ้าเราหยุดวิ่งและหัดนิ่งๆ บ้าง ความสุขอาจจะตามหาเราเจอ
บางสำนักก็บอกว่า ความสุขไม่ควรเป็นเป้าหมายของชีวิต
เช่นการมีลูก ซึ่งอาจนำพาความทุกข์มามากกว่าความสุขเสียอีก ช่วงสามเดือนแรกในการดูแลทารกนี่เหนื่อยนรก พอลูกเริ่มโตแล้วก็ต้องคอยเป็นห่วง และยังต้องเก็บเงินส่งเสียให้เรียนอีก ถ้าความสุขคือสิ่งที่เราตามหากันจริงๆ คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะอยากมีลูกกันหรอก
หรือมองไปยังคนที่เราชื่นชมก็ได้ อาจจะเป็น คานธี / Elon Musk / ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบัน เขามีความสุขเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตรึเปล่า ผมว่าอาจจะไม่ใช่เพราะทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาก แบกรับภาระและความทุกข์ไว้มหาศาล ถ้ามีความสุขเป็นจุดหมายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำงานหนักขนาดนี้
Money – Status – Praise – Happiness
เงินทอง สถานะ คำชื่นชม และความสุข
หรือถ้าใช้ภาษาธรรมะหน่อยก็คือโลกธรรม 8 ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ที่มนุษย์ปุถุชนล้วนแสวงหา
Meaning
อีกหนึ่งคำตอบที่ฝรั่งมักชอบใช้ คือการหาความหมายของชีวิต – finding a meaning of life.
เราอยากให้ชีวิตของเรามีความหมาย ทั้งที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
ก่อนที่เราจะเกิดมา จักรวาลและโลกใบนี้ก็อยู่มาได้เป็นอย่างดี และเมื่อเราจากไป โลกก็ยังคงหมุนต่อไปโดยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
ต่อให้เราสร้างความสำเร็จไว้แค่ไหน สุดท้ายพวกเราส่วนใหญ่ก็จะถูกลืมไปราวกับว่าไม่เคยได้เกิดมา จะมีก็เพียงคนส่วนน้อยที่จะได้เป็น footnote ในหนังสือเรียน
เมื่อชีวิตไม่มีความหมายในระดับ macro สิ่งที่พอจะทำได้คือการมีความหมายในระดับ micro
เราต้องสร้างความหมายของชีวิตเราขึ้นมาเอง ผ่านงานที่เราทำ ผ่านกิจกรรมที่เราร่วม ผ่านคนที่เรารัก
ผมคิดว่าคนเราจะยึดอะไรเป็นเป้าหมาย คงอยู่ที่ว่าเขาอยู่ในวาระไหนของชีวิต
อายุ 20 กว่าๆ เราอาจจะอยากได้มาซึ่งความสำเร็จ
อายุ 30 ปลายๆ ได้ลิ้มลองความสำเร็จไปบ้างแล้ว เราน่าจะอยากได้ความสุขที่ยั่งยืนขึ้น
อายุ 40 กว่าๆ เมื่อค้นพบว่าเลข 4 มาไวกว่าที่คาด ความสุขอาจไม่ใช่ทุกอย่าง และความตายไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป คนวัยนี้อาจะเริ่มแสวงหาความหมายของชีวิต
แต่ตอนนี้ผมเพิ่งเจออีกช้อยส์นึงที่ชอบมากๆ และคิดว่าอาจเป็นคำตอบและเป็นเป้าหมายที่ดีเช่นกัน
“People say that what we’re all seeking is a meaning for life. I don’t think that’s what we’re really seeking. I think that what we’re seeking is an experience of being alive.”
-Josheph Campbell
เราอยากรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา
เรามีลูก ทั้งๆ ที่อาจนำทุกข์มาให้มากมาย เพราะการมีลูกทำให้เรามีชีวิตชีวา
Elon Musk รวยระดับที่ว่าไม่ต้องทำงานก็สบายไปทั้งชีวิต แต่ที่เขายังทำอะไรอยู่มากมายเพราะมันทำให้เขามีชีวิตชีวา
คนวัยเกษียณหลายคนจะอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ แต่หลายคนก็ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างอยู่ดี ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ ไม่ใช่เพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อความหมาย แต่เพื่อให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา
มนุษย์เราแสวงหาสิ่งใด
ความสำเร็จ ความสุข ความหมาย ความมีชีวิตชีวา
ขอให้คุณผู้อ่านได้พบคำตอบที่เหมาะสมกับตัวเองนะครับ