เมื่อเล็งผลเลิศจึงมักไม่เกิดอะไร

หนังสือที่ดีที่สุดที่ผมได้อ่านในปีนี้คือ Four Thousand Weeks – Time and How To Use It ที่เขียนโดย Oliver Burkeman

หนึ่งในคำแนะนำในหนังสือที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ คือคำแนะนำที่ว่า ถ้าคิดอยากจะทำดีกับใครขึ้นมา ให้ลงมือทำเลย แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเรียบร้อยหรือเพอร์เฟ็กต์นักก็ตาม

ที่น่าประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคำแนะนำแบบนี้ในหนังสือด้าน Time Managment และที่น่าประหลาดใจขึ้นไปอีกก็คือคำแนะนำนี้ยังคงวนเวียนกลับมาในหัวผมอยู่เสมอแม้จะอ่านหนังสือจบไปหลายเดือนแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เวลาใครทำให้เรารู้สึกดีแล้วเราอยากรู้สึกขอบคุณเขามากๆ เราก็อาจจะอยากซื้อของขวัญหรือซื้อการ์ดสวยๆ ให้เขา และก็อยากบรรจงเขียนข้อความดีๆ เพื่อแสดงถึงความตั้งใจว่าเราเห็นคุณค่าเขาแค่ไหน

แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้เวลา เราก็เลยทดเอาไว้ก่อน รอให้มีเวลามากพอที่จะทำออกมาให้ดี มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว

น่าจะเป็นการดีกว่า ที่เราจะส่งอีเมลหรือยกหูโทรหาแล้วกล่าวขอบคุณเขาง่ายๆ มันอาจจะไม่ได้ดูน่าประทับใจเท่ากับการ์ดสวยๆ พร้อมข้อความที่เราบรรจงเขียนก็จริง แต่ความแตกต่างก็คือเราได้กล่าวขอบคุณจริงๆ ไม่ใช่แค่เก็บเอาไว้ในใจที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้รับรู้

ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกอยากทำสิ่งที่มีน้ำใจ อย่ารอให้มีเวลาที่จะทำให้ดี ให้ทำตอนนี้เลย แม้ว่ามันจะห่างไกลจากความเพอร์เฟ็กต์แค่ไหนก็ตาม


อีกประเด็นนึงที่คล้ายคลึงกัน คือการทำสิ่งที่เราอยากสร้างให้เป็นนิสัยอย่างการออกกำลังกายหรือการนั่งสมาธิ

คนที่วิ่งจะมีปัญหาที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง คือถ้าวันนี้ตื่นสายหน่อย จะไม่ค่อยอยากวิ่งแล้วเพราะว่าแดดมันร้อน

ผมตั้งใจว่าจะวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้งคือวันอังคาร พฤหัสฯ และเสาร์ ธรรมดาผมจะตื่นตีห้าครึ่งเพื่อจะได้มีเวลาเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสาย วอร์มอัพ และวิ่งอย่างน้อย 5 กิโลเมตร วิ่งเสร็จมีเวลาคูลดาวน์ อาบน้ำแต่งตัว และไปส่งลูกที่โรงเรียน

แต่เมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ผมตื่นหกโมงสี่สิบ อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องออกไปส่งลูกแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่วิ่งเพราะกลัววอร์มได้ไม่ดีวิ่งได้น้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนชุดไปวิ่งอยู่ดี ได้วอร์มเร็วๆ และได้วิ่งแค่ 3 กิโลเมตร แต่ก็คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


ฝรั่งจะมีคำขวัญหนึ่งที่เรียกว่า No More Zero Days – จะไม่ปล่อยให้มีวันที่ฉันจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น แม้ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะ Zero Days คือวันที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นเลย

ดังนั้น ถ้าเราตั้งใจว่าจะออกกำลังกายทุกวัน เราก็ควรพยายามทำสิ่งนั้น แม้ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

ถ้าวิ่งไกลไม่ได้ ก็วิ่งสั้นๆ ถ้าวิ่งเร็วไม่ไหว ก็วิ่งเหยาะๆ ถ้าวิ่งเหยาะๆ ไม่ไหว ก็แค่เดินก็ยังดี

เช่นเดียวกับการนั่งสมาธิ ถ้านั่งสมาธิ 15 นาทีไม่ไหว ก็นั่ง 5 นาที ถ้านั่ง 5 นาทีไม่ได้ก็นั่ง 1 นาที ถ้านั่ง 1 นาทีก็ยังไม่มีเวลา ก็อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกซัก 3 ครั้งก็ยังดี

เพราะหากเรายึดติดกับเป้าหมายมากเกินไป – it’s all or nothing ส่วนใหญ่เราจะได้ nothing

แทนที่จะตั้งเป้าหมายให้ไกลแล้วไปให้ถึง เราตั้งเป้าหมายให้ง่ายเข้าไว้จะได้มีกำลังใจลงมือทำในวันนี้ เพราะการได้ลงมือทำต่างหากที่มีความหมายอย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะจิ๊บจ้อยและไม่เพอร์เฟ็กต์แค่ไหนก็ตาม

เมื่อเล็งผลเลิศจึงมักไม่เกิดอะไร

แต่เมื่อเล็งที่การกระทำ เราจะได้ทำสิ่งนั้น และวันนี้ก็จะไม่สูญเปล่าครับ