อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนเวลาเราอ่านหนังสือแนว how-to คือขอแค่เราทำตามที่เขาแนะนำ แล้วเราจะแข็งแกร่งขึ้น เราจะรวยขึ้น เราจะมีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่หนังสือเหล่านี้บอกโดยนัยก็คือ ถ้าชีวิตเรายังแย่อยู่ แสดงว่าเป็นความผิดของเราเอง

แนวความคิดนี้เชื่อมั่นในความเป็นปัจเจกบุคคล ที่สามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง

แต่ระยะหลังก็มีหนังสือหลายเล่มที่ออกมาพูดว่าปัญหาที่เราเจออยู่ ไม่ได้เกิดจากความไม่เอาไหนในตัวบุคคล แต่เป็นปัญหาของทั้งระบบที่มันครอบงำเราอยู่

ยกตัวอย่างของคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ที่เรามักจะโทษตัวเองว่ากินไม่ระวังปากและไม่ค่อยออกกำลังกาย

แต่หนังสืออย่าง Ultra-Processed People ของ Chris van Tulleken ก็บอกว่าแท้จริงแล้ว อุตสาหกรรมอาหารก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนน้ำหนักมากขึ้นทั่วโลก เพราะอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้นกระตุ้นให้เรากินไม่หยุด

หรือเวลาที่เราหงุดหงิดตัวเองที่เล่นมือถือมากเกินไป ใช้เวลากับโลกโซเชียลวันละเป็นชั่วโมง หนังสืออย่าง Stolen Focus ของ Johann Hari และ The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt ก็บอกว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างหากที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาให้คนติดกันงอมแงม

หรือแม้กระทั่งเรื่องที่น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวอย่างความเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ หนังสืออย่าง The Perfection Trap ของ Thomas Curran ก็บอกว่านิสัยนี้เป็นเพราะเราถูกหล่อหลอมจากคนในบ้านและจากความคาดหวังของสังคมว่าเราจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราทำทุกอย่างออกมาได้ดีและไม่มีข้อผิดพลาด

สุดท้ายแล้ว มนุษย์เราเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม ต่อให้เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหน มีวินัยแค่ไหน ถ้ามันเป็นการ ‘ว่ายทวนน้ำ’ ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่ทุกคนจะทำได้สำเร็จ

เขียนอย่างนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าให้เลิกพยายาม แค่อยากจะชวนให้เรามองเห็นปัจจัยให้ครบถ้วน เพื่อให้เราปรับแผนการหรือยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง

และถ้าเราเกิดพลั้งพลาดหรือทำไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ควรตีอกชกตัว หรือโทษว่าตัวเองเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเราเสียทั้งหมด


ในทางกลับกัน ในตอนที่ทุกอย่างไปได้สวย เราก็ไม่ควรชื่นชมตัวเองเกินไป

เพราะเราอาจจะคุ้นชินกับหนังสือ how-to ที่ยึดความเป็นปัจเจกบุคคลเช่นกัน ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ดังนั้นหากมันสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เราก็จะมักจะให้เครดิตตัวเองว่ามันเกิดจากฝีมือและความพยายามของเราเอง

ทั้งที่จริงแล้วโชคชะตาหรือจังหวะชีวิตนั้นมีส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางชีวิตมากกว่าที่เราคิดไว้

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อของ Morgan Housel ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Psychology of Money

เรื่องราวหนึ่งที่เฮาส์เซลมักจะเล่าในพ็อดคาสต์ รวมถึงเขียนถึงในหนังสือ Same As Ever ด้วย ก็คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตเขา

สมัยวัยรุ่นเฮาส์เซลเป็นนักกีฬาสกีสไตล์ cross-country แบบจริงจังขนาดที่ตัดสินใจไม่เรียนชั้นมัธยมปลาย

มีวันหนึ่งที่เขาไปเล่นสกีกับเพื่อนนักกีฬาด้วยกันอีกสองคน แล้วเล่นสกีไปจนเจอจุดที่เจ้าหน้าที่กั้นไว้ไม่ให้เข้าไปเล่นเพราะว่าเป็นจุดที่หิมะเพิ่งตกลงมาเยอะ พื้นจะไม่แน่นและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นและมั่นใจในฝีมือตัวเองกันทั้งนั้น ก็เลยเข้าไปเล่นสกีในบริเวณต้องห้ามจนลงมาถึงข้างล่างและสนุกกันมาก

เพื่อนทั้งสองคนชวนกันขึ้นไปเล่นพื้นที่ต้องห้ามอีกสักรอบ แต่เฮาส์เซลบอกว่าขี้เกียจแล้ว เดี๋ยวเขาขอกลับไปที่บ้านพักเพื่อเอารถมารอรับดีกว่า

พอเฮาส์เซลกลับมาที่จุดนัดพบ รอเพื่อนอยู่เป็นชั่วโมงก็ไม่เจอ กลับมาถึงห้องพักก็ไม่เจอ และพอแม่ของเพื่อนโทรมาถามว่ารู้ไหมว่าเพื่อนของเขาอยู่ที่ไหน เฮาส์เซลจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเพื่อนๆ น่าจะยังอยู่บนเขา

เจ้าหน้าที่ออกตามหาตัวเพื่อนทั้งสองคนตรงบริเวณเขตต้องห้าม แล้วก็พบว่าเพื่อนทั้งสองคนถูกฝังอยู่ใต้หิมะสูงหลายเมตร

ใช่ครับ พื้นที่ตรงนั้นเกิดหิมะถล่ม และทั้งคู่ไม่มีใครรอดชีวิต

เฮาส์เซลบอกว่า เขานึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาตัดสินใจไม่ขึ้นไปเล่นสกีรอบที่สองตามคำชวน แต่เขานึกออกเลยว่าถ้าเขาไปด้วยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาบ้าง

ในวัยสามสิบกลางๆ เฮาส์เซลตัดสินใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การตัดสินใจไม่เล่นสกีในครั้งนั้นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของเขา

เฮาส์เซลบอกว่ามันแปลกไหมที่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดไม่ได้เกิดจากสติปัญญาหรือการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งนี้เป็นเรื่องของโชคล้วนๆ


อีกตอนหนึ่งในหนังสือ Same As Ever ที่ผมชอบ คือตอนที่เฮาส์เซลเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญอย่างยุทธการลองไอส์แลนด์ (Battle of Long Island) ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1776

เหตุการณ์นี้เป็นช่วงที่กองทัพอังกฤษมีกำลังเหนือกว่ามาก และสามารถตีกองทัพของจอร์จ วอชิงตันให้จนมุมได้ที่ลองไอส์แลนด์ กองทัพของวอชิงตันถูกปิดล้อมและอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตอย่างยิ่ง หากเรือรบอังกฤษสามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำอีสต์ริเวอร์ได้ กองทัพอเมริกันก็จะถูกทำลายและสงครามอาจจบลงในวันนั้นเลย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ ‘ทิศทางลมไม่เป็นใจ’ – ลมไม่ได้พัดไปในทิศทางที่เรืออังกฤษต้องการ ทำให้เรือไม่สามารถแล่นขึ้นไปตามแม่น้ำเพื่อปิดล้อมกองทัพของวอชิงตันได้อย่างสมบูรณ์

ในคืนนั้นเอง ภายใต้ความมืดมิดและหมอกที่ลงจัด กองทัพของจอร์จ วอชิงตันอาศัยโอกาสนี้ในการถอนกำลังข้ามแม่น้ำไปยังแมนฮัตตันได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยที่อังกฤษไม่ทันรู้ตัว และสุดท้ายจอร์จ วอชิงตันก็ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

Morgan Housel อ้างอิงคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ David McCullough ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากลมพัดไปในทิศทางอื่นในคืนนั้น กองทัพอังกฤษจะชนะ และคงไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนในปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์บางครั้งไม่ได้มาจากสติปัญญา การวางแผน หรือความพยายามอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่าง “โชค” หรือ “จังหวะ” ซึ่งในกรณีนี้คือ “ลมเปลี่ยนทิศ” ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาก่อกำเนิดขึ้นมาได้นั่นเอง


เมื่อปีที่แล้ว ผมได้เชิญ Brian Klaas ผู้เขียนเรื่อง Fluke มาพูดที่บริษัทและชวนคนที่สนใจมาร่วมฟังด้วยกัน

หนึ่งในประเด็นที่ Klaas พูดถึง ก็คือสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิตของเขา เขาไม่ได้เป็นคนเลือก

เขาไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในครอบครัวนี้ ไม่ได้เลือกที่จะมาเกิดในอเมริกา ไม่ได้เลือกที่จะมีสมองและวิธีคิดแบบนี้ แต่ปัจจัยทุกอย่างก็เกื้อหนุนให้เขามีวันนี้ได้

Klaas บอกว่า ต่อให้เขามีมันสมองที่ดี แต่ถ้าเขาเกิดในประเทศอย่างมาดากัสการ์ เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ตีพิมพ์หนังสือและได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นนี้

ผมเองเคยแอบชื่นชมตัวเองเหมือนกันที่ไม่สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าไม่เยอะ ทั้งที่เพื่อนวัยรุ่นที่โตด้วยกันมานั้นสูบบุหรี่และดื่มเหล้ากันหนักพอตัว

แต่พอมานั่งคิดดู ที่ผมไม่สูบบุหรี่อาจไม่ใช่เพราะว่าใฝ่ดีอะไร ผมก็แค่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เฉยๆ และการที่ผมไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอลก็เพราะว่าไม่ชอบรสชาติและไม่ชอบอาการแฮงค์ตอนเช้าเท่านั้นเอง

ความชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เกิดจากการเลือก แต่เกิดจากการที่สมองของผมถูกจัดเรียงไว้อย่างนี้ ไม่ต่างจากที่ผมชอบกินหรือไม่ชอบกินอาหารบางอย่าง

หรืออย่างเรื่องการเรียนหนังสือที่เราเรียนได้ดี ขยันอ่านหนังสือ เพื่อนสมัย ม.ต้น ของผมคนหนึ่งก็เคยบอกว่า ต่อให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือก็ใช่ว่าจะทำคะแนนได้ดี เพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ตอนนั้นผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มมองเห็นว่ามีความจริงอยู่บ้างเหมือนกัน

ผมยังคงเชื่อเรื่องความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ผมเองก็เชื่อด้วยว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว มันยังมีปัจจัยที่นอกเหนือความควบคุมของเรา ไม่ต่างจากลมเปลี่ยนทิศที่ทำให้เกิดสหรัฐอเมริกา หรือการตัดสินใจไม่ไปเล่นสกีรอบสองที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตรอดมาเขียนหนังสือขายดี

ในขณะเดียวกัน เวลาเราล้มเหลว เราก็ไม่ได้ล้มเหลวเพราะเราคนเดียว บางทีเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ถ้าปัจจัยอื่นๆ ไม่เกื้อหนุน เราก็ไม่อาจบรรลุสิ่งที่หวังไว้เช่นกัน

อย่าโทษตัวเองเกินไป อย่ามั่นใจเกินเบอร์

เมื่อตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวหรือแม้กระทั่งปัจจัยหลักของความสำเร็จหรือความล้มเหลว เราก็จะมีความรู้สึกขอบคุณ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นอย่างที่ควรจะเป็นครับ

กฎแห่งการย้อนศร

ในการฝึกฝนของหน่วยซีล (SEAL) มีสิ่งที่เรียกว่า Drownproofing

Drown คือการจมน้ำ

Proof แปลว่า “ป้องกัน” หรือ “ทนต่อ” เช่นคำว่า bullet-proof jacket คือเสื้อกันกระสุน sound-proof room คือห้องเก็บเสียง

Drown-proofing ก็คือ “การฝึกไม่ให้จมน้ำ” ซึ่งจำลองสถานการณ์ว่าถ้าหน่วยซีลได้รับบาดเจ็บในการสู้รบจนขยับแขนหรือขาไม่ได้ แล้วสถานการณ์บังคับให้ต้องตกลงไปในน้ำ จะเอาตัวรอดได้อย่างไร

ผู้ฝึกจะจับนักเรียนไพล่มือเอาไว้ข้างหลัง แล้วมัดข้อมือข้อเท้าเอาไว้ จากนั้นก็ผลักนักเรียนลงไปในสระว่ายน้ำลึก 9 ฟุตหรือประมาณ 2.75 เมตร

หน้าที่ของนักเรียนคือต้องอยู่รอดให้ได้เป็นเวลา 5 นาที

นักเรียนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ยิ่งพยายามขยับตัวเพื่อให้หัวโผล่พ้นน้ำเท่าไหร่ก็ยิ่งจม หลายคนตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกและร้องตะโกนโหวกเหวกให้คนมาช่วย หลายคนจมน้ำจนหมดสติจนต้องใช้บริการหน่วยกู้ชีพ

แต่ก็มีนักเรียนส่วนหนึ่งที่ผ่านบททดสอบนี้มาได้ เพราะพวกเขาทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสัญชาตญาณ

แทนที่จะพยายามดิ้นรนเพื่อจะลอยตัวให้อยู่เหนือน้ำ เขาจะปล่อยให้ตัวเองจมลงไปจนถึงก้นสระ แล้วเอาเท้าถีบตัวเองจากพื้นสระเพื่อให้ตัวค่อยๆ ลอยกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ เมื่อหัวโผล่พ้นน้ำ ก็รีบหายใจเข้าปอดหนึ่งเฮือก ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยตัวเองให้จมลงสู่ก้นสระอีกครั้ง ทำอย่างนี้วนไปจนครบเวลา 5 นาที

คนที่จะผ่านบททดสอบ drownproofing จึงไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเป็น

จริงๆ คนที่จะผ่านบททดสอบนี้ได้ คือคนที่ฝืนตัวเองให้ไม่ว่ายน้ำเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งพยายามลอย เรายิ่งจม แต่พอเราทำใจว่ายังไงก็ต้องจม เรากลับลอยขึ้นมาได้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Backwards Law หรือกฎแห่งการย้อนศร ที่ Mark Manson เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มแรกของเขา

กฎนี้เคยมีคนพูดถึงมาก่อนแล้วคือ Alan Watts นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ

กับของบางอย่าง ยิ่งพยายามยิ่งห่างไกลจากเป้าหมาย

เช่นเวลาเรานอนไม่หลับ ยิ่งพยายามหลับยิ่งนอนไม่หลับ

อีกตัวอย่างก็เช่นความสุข ถ้าเราอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่เราอยากมีความสุข เราจะเริ่มทุกข์ขึ้นมาทันที

ความรักก็อยู่ภายใต้กฎย้อนศรเช่นกัน ยิ่งเราพยายามทำให้อีกฝ่ายรักเรา ตามตื๊อและยอมเขามากเท่าไหร่ เรายิ่งดูไร้เสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น

คนบางคนแสวงหาการยอมรับและความชื่นชม แต่ยิ่งตีฆ้องร้องป่าวในความดีงามของตัวเอง ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกคลางแคลงใจให้คนที่พบเห็น

คนบางคนอยากมีอิสรภาพ อยากทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน แต่ยิ่งเราอยากมีอิสรภาพมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกขาดอิสรภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่หากเราเลือกที่จะตัดช้อยส์ตัวเองลงและมีวินัยมากขึ้น เรากลับไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อจำกัดอีกต่อไป

สำหรับหลายคนคงไม่ชินกับวิธีคิดแบบกฎย้อนศร เพราะเราคนไทยถูกสอนมาตลอดว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ซึ่งมีประโยชน์และใช้ได้กับสถานการณ์ส่วนใหญ่ – แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาแล้วพบว่าเรื่องบางเรื่องเราพยายามเต็มที่แล้วก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ก็อาจไม่เสียหายที่จะลองทำอะไรที่ต่างออกไป

ให้ระลึกถึงคำของไอน์ไสตน์ที่เคยบอกไว้ว่า มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่มุ่งมั่นทำสิ่งเดิมๆ แล้วคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ

กฎย้อนศรอาจนำมาใช้ได้กับสถานการณ์บ้านเมืองด้วยนะครับ

หลายคนอาจรู้สึกขัดอกขัดใจกับการเมืองไทยเมื่อเห็นความเป็นไปในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่ถ้าเราไม่ได้ถอดใจถึงขนาดจะย้ายประเทศ เราก็ต้องหาทางอยู่กับมันไปให้ได้

แม้จะรู้สึกเหมือนนักเรียนหน่วยซีลที่ถูกมัดแขนขาเอาไว้แล้วถูกผลักลงน้ำ พยายามดิ้นรนเอาหัวพ้นน้ำแล้วแต่เหมือนสถานการณ์กลับแย่ลง

แต่ถ้าเราทำใจไว้เลยว่ายังไงก็อาจต้องยอมปล่อยตัวให้ลงถึงก้นสระ

เมื่อนั้นเราอาจพบหนทางที่จะรักษาตัวเองไว้ได้ไปอีก “5 นาที” ต่อจากนี้ครับ


ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก The Backwards Law – Why the Best Things in Life Must Be Let Go by Mark Manson

ถ้าเราเครียดเรื่องงานถือเป็นสัญญาณที่ดี

หนึ่ง แปลว่าเรามีงานทำ

สอง เครียดเรื่องงาน ดีกว่าเครียดเรื่องคน ปัญหาเรื่องงานมักมีทางออก ปัญหาเรื่องคนหาทางออกได้ยากกว่า

สาม การที่เราเครียดเรื่องงานเป็นหลัก แสดงว่าเรื่องอื่นๆ ในชีวิตค่อนข้างราบรื่น เช่นเรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เพราะถ้าเรามีปัญหาใดในสามเรื่องนี้ เราจะไม่ค่อยเหลือแรงมานั่งเครียดเรื่องงานแล้ว

เวลารู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่กับปัญหาใด ถ้ามองเห็น “ปัญหาที่เราไม่มี” กำกับไว้ด้วย ก็น่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยครับ

เราอาจหลงลืมไปว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้ว

Jimmy Carr นักแสดงตลกชื่อดังชาวอังกฤษวัย 51 ปี เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ Steven Barlett วัย 31 ปีในพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO ไว้ว่า

“หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ผมก็ได้ข้อสรุปว่า ‘การรู้คุณค่า’ (gratitude) น่าจะเป็นคุณธรรมตัวแม่ของคุณธรรมทั้งมวล

และผมขอเดาว่า คุณน่าจะยอมแลกทุกอย่างที่คุณจะมีในครอบครองในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อให้คุณได้กลับมาอายุเท่าตอนนี้ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนตอนนี้

ผมว่ามันเป็นการทดลองทางความคิดที่น่าสนใจดีนะ

ลองจินตนาการถึงตัวเองในอีก 30 ปีข้างหน้า และถ้าตอนนั้นคุณมีของวิเศษที่สามารถเสกให้คุณกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเท่าตอนนี้ รู้สึกดีขนาดนี้ และมีอายุเท่าตอนนี้ ผมว่าคุณน่าจะยอมสละสมบัติทางวัตถุทั้งหมดที่คุณมี เพื่อจะได้กลับมานั่งอยู่ตรงนี้

ลองหยุดคิดดูสักครู่ แล้วมันอาจเปลี่ยนความรู้สึกและการกระทำของคุณในวันนี้ก็ได้

ผมคิดว่าพวกเราในโลกตะวันตกกำลังเจ็บป่วยด้วยภาวะ “การมองชีวิตที่ผิดเพี้ยน” (life dysmorphia)

คนไม่น้อยคิดว่าชีวิตของตนนั้นแย่มาก เพราะมนุษย์เราคุ้นชินกับชีวิตดีๆ ได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

ลองคิดดูนะ คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นจนกระทั่งเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

เพื่อนคนนึงเคยบอกผมว่า ตอนที่คุณกำลังอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว ให้ลองหยุดนึกดูสักครู่ ว่าไม่มีบุคคลใดที่มีชีวิตอยู่ 100 ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือมีชีวิตน่าอิจฉาแค่ไหน ไม่มีใครเคยได้รับความสุขอันแสนธรรมดาอย่างการอาบน้ำอุ่นจากฝักบัวเลย

โลกใบนี้เคยมีมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 1 แสนล้านคน คนในยุคปัจจุบันจัดอยู่ใน Top 1% ในแง่ของคุณภาพชีวิต เรามีอาหารให้กินโดยแทบไม่เคยต้องกังวล ลูกหลานของเราไม่เสียชีวิตในขวบปีแรก เรามีการแพทย์สมัยใหม่ เรามีความบันเทิงให้เลือกเสพมากมาย

เรามีชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่าเจ้าหญิงและเจ้าชาย และแม้ว่าคุณภาพชีวิตของเราจะดีกว่ายุคก่อนอย่างไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่ความรู้สึกทางจิตใจของเรากลับย่ำแย่”


Jimmy Carr พูดถึงความโชคดีในสองระดับ

หนึ่งคือความโชคดีทางอายุ สองคือความโชคดีของยุคสมัย

เริ่มจากความโชคดีทางอายุก่อน

เราเองถูกสังคมคาดหวังให้ “สร้างอนาคต” ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้พัฒนาตนเองเพื่อที่จะสุขสบายในวันข้างหน้า

แต่เมื่อเลยวัย 40 มาแล้ว ผมเริ่มคิดว่า “ภาพฝันของอนาคต” มันเป็นเหมือนมิราจกลางทะเลทราย ที่ล่อหลอกให้เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีอยู่จริง

ผมเคยเขียนบทความ “วัยสี่สิบกว่าคือนาทีทอง” หลังจากได้นั่งพูดคุยกับ “พี่อ้น” วรรณิภา ภักดีบุตร mentor ของผมในโครงการ IMET MAX

พี่อ้นบอกว่าวัยสี่สิบคือช่วงที่ดี เพราะเรามีประสบการณ์มากพอ ยังมีกำลังวังชา ลูกยังฟังเราอยู่ คนรอบตัวยังไม่เจ็บไม่ตาย นี่คือช่วงชีวิตที่เราสามารถทำอะไรได้อย่างเต็มที่

จะว่าไป วัยสี่สิบกว่านี่อาจจะเป็น “ช่วงพีคสุด” ของชีวิตแล้วก็ได้ เพราะแม้ร่างกายจะเริ่มโรยราแต่ก็ยังดูแลตัวเองและคนรอบข้างไหว หน้าที่การงานก็ยังมีความก้าวหน้าและมีความหวังว่ามันจะยังไปต่อได้อีก

ถ้าเราไม่หัดพอใจในปัจจุบัน เพียงเพราะภาพฝันในอนาคตมันดีกว่าตอนนี้ เราก็อาจจะผ่านพ้นช่วงที่ดีที่สุดไปโดยได้แต่กลับมานั่งเสียดายภายหลัง

อีก 30 ปีข้างหน้า คงยังไม่มีของวิเศษชิ้นใดที่จะพาเรากลับมาอยู่ในร่างกายแบบตอนนี้ได้ ดังนั้นจงเห็นคุณค่าของวัยหนุ่มสาวและใช้มันให้เต็มที่ในการสร้างอนาคตโดยไม่ละเลยที่จะมีความสุขในวันนี้ด้วย


ส่วนความโชคดีของยุคสมัย Jimmy Carr ยกตัวอย่างการมีน้ำอุ่นให้ใช้ ซึ่งอากาศร้อนแบบนี้คนไทยคงไม่อิน ผมเลยลองไปค้นข้อมูลว่าคนไทยเริ่มมีแอร์ใช้เมื่อไหร่ ก็พบว่าเมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้วนี้เอง

แค่เทียบกับสมัยที่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรายังหนุ่มสาว ชีวิตเราก็สุขสบายกว่าในหลายมิติแล้ว อยากหาข้อมูลก็ไม่ต้องเข้าห้องสมุด อยากเดินทางไปไหนก็ไม่ต้องกลัวหลง ทำงานได้จากทุกที่ ทางเลือกในการหาเลี้ยงชีพก็เปิดกว้าง ขนาดมีโรคระบาดหนักไปทั่วโลก มนุษยชาติก็ยังผ่านมันมาได้ไวกว่าที่คิด ถ้าเกิดโรคระบาดระดับเดียวกันเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผมว่า Homo Sapiens อาจถึงขั้นสูญพันธุ์เลยด้วยซ้ำ

ยิ่งถ้าย้อนกลับไปเทียบกับชีวิตเจ้าหญิงเจ้าชายเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ต่อให้ภาพจำจากในหนังจะสวยงามเพียงใด เพียงแค่คิดว่าสมัยนั้นเขาไม่มีส้วมและน้ำประปาให้ใช้เหมือนตอนนี้ ก็รู้สึกว่าอยู่ยากแล้ว

แน่นอนว่ายุคนี้ก็มีปัญหาที่คนยุคก่อนไม่เคยต้องเจอ ทั้งเรื่องโลกร้อนและภูมิรัฐศาสตร์อันผันผวน แต่ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ในยุคนี้แล้วก็ต้องปรับตัวและเดินหน้ากันต่อไป

การตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหน ทั้งในแง่อายุและยุคสมัย จึงไม่ใช่การปลอบประโลมหรือหลอกตัวเอง แต่เป็นการมองให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเคยมองข้ามมาโดยตลอด เพื่อจะได้ตระหนักว่าเรามีทรัพยากรอะไรให้หยิบใช้บ้าง

ชีวิตตอนนี้คือชีวิตที่ดีที่สุด และสิ่งเดียวที่เราทำได้ คือทำมันให้ดีที่สุดตามกำลังที่เรามีครับ

อ่านหนังสือยังไงให้ลืมได้เร็วๆ

ช่วงหยุดยาวถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้หยิบหนังสือจากกองดองขึ้นมาอ่าน

สำหรับใครที่ชอบหนังสือประเภท non-fiction อาจจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพออ่านจบได้ไม่นาน ก็มักจะลืมเนื้อหา หรือแทบไม่ได้หยิบอะไรจากหนังสือมาใช้ในชีวิตจริง จนรู้สึกว่าการอ่านหนังสือเล่มมันนั้นมันสูญเปล่าหรือไม่ คนกลุ่มนี้จึงเฟ้นหาวิธีที่จะช่วยให้เขาจดจำเนื้อหาได้มากกว่านี้

เขาว่ากันว่า การไฮไลต์หนังสือเฉยๆ นั้นไม่ได้ช่วยในการจดจำ เพราะสมองของเราไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหามากเพียงพอ

เทคนิคที่จะช่วยให้อ่านแล้วไม่ลืมก็เช่น

  • จดโน๊ตตรงพื้นที่ว่างในหนังสือว่ามันเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วอย่างไร
  • สร้าง Output เช่น สรุปหนังสือออกมาในคำพูดของเรา เอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง หรือเขียนเป็นบทความ
  • จดโน้ตด้วยเทคนิค Zettelkasten ของเยอรมัน ที่สามารถเอาทุกอย่างมาเชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตเก่าหรือโน้ตใหม่

บทความวันนี้จะมาบอกว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบข้างบนเลยก็ได้นะครับ

เพราะถ้าหากเรารู้สึกว่าจะต้อง “รีดประโยชน์” จากการอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจก็จะกลายเป็น “งานอีกหนึ่งชิ้น” ขึ้นมาทันที

การจดเพื่อให้จำได้นั้นเป็นการทำเพื่อตัวเราในอนาคต แต่มันกลับทำให้ตัวเราในวันนี้ไม่ค่อยมีความสุขกับการอ่านหนังสือ

มีบทความหนึ่งที่ผมชอบมากของ Oliver Burkeman ผู้เขียนหนังสือ Four Thousand Weeks

บทความนี้มีชื่อว่า “How to forget what you read

คุณ Burkeman เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับ ชอบเขียนบทความที่ตั้งคำถามกับกระแสหลัก ในเมื่อกูรูส่วนใหญ่สอนว่าจะอ่านหนังสือยังไงให้จำได้นานๆ เขาก็เลยตั้งชื่อบทความว่าอ่านยังไงให้ลืมได้เร็วๆ ผมเลยขออัญเชิญมาเป็นชื่อของบทความวันนี้ด้วยเสียเลย


Burkeman เคยเป็น productivity geek มาก่อน ลองเครื่องมือ productivity มาแล้วแทบทุกชนิด

เขาเคยตั้งกฎกับตัวเองว่าจะอ่านหนังสือวันละ 30 นาที จากนั้นจะใช้เวลาอีกวันละ 30 นาทีเพื่อจดโน้ตและจัดระเบียบโน้ต โดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่าเขาต้องหาเวลาเพิ่มอีก 60 นาทีเพื่อทำสองสิ่งนี้ในตารางชีวิตที่ยุ่งมากพออยู่แล้ว

หลังจากลองแล้วล้มเหลว เขาก็ได้ข้อสรุปว่าเราไม่ต้องพยายามจดจำทุกอย่างที่อ่านก็ได้

Burkeman ให้เหตุผล 3 ข้อดังนี้

1.การลืมคือตัวกรองอย่างหนึ่ง

      “Forgetting is a filter.”

      อะไรที่ไม่สำคัญ สมองจะทำหน้าที่ลืมให้เราโดยอัตโนมัติ

      แต่ถ้าสิ่งที่เราอ่านมันมีความหมายกับเรามากพอ เราจะจำมันได้โดยไม่ต้องพยายาม

      แน่นอนว่ามีบางบริบทเช่นการเรียนหรือการทำงานที่เราจำเป็นต้องจำให้ได้เยอะที่สุด แต่สำหรับการอ่านส่วนใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น

      การที่สมองทำหน้าที่เป็นตัวกรองให้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว อะไรที่เราอินก็จะติดอยู่ในหัว อะไรที่เราไม่อิน สมองก็จะช่วยคัดออกให้

      แต่ถ้าเราทดแทนกลไกนี้ด้วยการจดโน้ตและจัดระเบียบ สมองของเราจะเต็มไปด้วย “ประเด็นที่น่าจะสำคัญ” จน “ประเด็นที่สำคัญที่สุด” ถูกกลืนหายไป

      Paulo Coelho ผู้เขียนนิยาย Alchemist เคยให้สัมภาษณ์กับ Tim Ferriss เอาไว้ว่า*

      “Forget notebooks. Forget taking notes. Let what is important remains. What’s not important goes away.”

      ไม่ต้องไปสนใจสมุด ไม่ต้องไปสนใจการจดโน้ต อะไรที่สำคัญจะยังคงอยู่กับเรา อะไรที่ไม่สำคัญมันจะจากเราไปเอง


      2.ยิ่งเทคนิคที่เราใช้ต้องลงแรงมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือมากขึ้นเท่านั้น

        ถ้าเรารู้สึกว่าการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านนั้นจะต้องตามมาด้วยการจดโน้ต ความน่าจะเป็นก็คือเราอาจจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นไปเลย เพราะเรารู้สึกว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีแรงมากพอ

        แทนที่จะได้อ่านหนังสือที่เราอยากอ่านจริงๆ เราจึงอาจจะเลือกอ่านหนังสือที่อ่านง่าย เพียงเพราะเรารู้สึกว่ายังพอจดโน้ตไหว ยังพอเขียนสรุปไหว


        3.เราไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลมาเก็บไว้ในสมอง เราอ่านหนังสือเพื่อหล่อหลอมตัวตน

          “The point of reading, much of the time, isn’t to vacuum up data, but to shape your sensibility.”

          งานทุกชิ้นที่เราอ่านนั้นจะมีผลกับเราเสมอ แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ดังนั้นวิธีการที่เรามองโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไป โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจดจำเนื้อหาได้เป๊ะๆ

          สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง ก็คือมุมมองที่เรามีต่อโลก ต่อผู้คนและสิ่งรอบตัว และนำมุมมองนั้นมาสร้างเป็นผลงานและสร้างคุณประโยชน์ในแบบของเราเอง


          จุดประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้จะบอกให้ลืมทุกสิ่งที่เราอ่าน หรือให้ทิ้งการจดโน้ตไปทั้งหมด

          หากเราเป็นคนชอบจดโน้ต ก็จงจดต่อไปในรูปแบบที่เราถนัด

          ส่วนใครที่ไม่ชอบจดโน้ต ก็ขอให้มีความสุขกับการได้อ่านหนังสือดีๆ โดยไม่ต้องมีกฎกติกามากมาย

          มาถึงวัยนี้แล้ว การอ่านหนังสือควรเป็นไปด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ใช่ด้วยความกล้ำกลืนหรือด้วยความมีระเบียบวินัย

          และขอให้เชื่อเถอะครับว่า เมื่อได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือบทความดีๆ สักตอน ต่อให้เราจดจำเนื้อหาได้เล็กน้อยเพียงใด การอ่านนั้นย่อมไม่มีวันสูญเปล่าแน่นอน


          * บทสัมภาษณ์ที่ Paulo Coelho ให้ไว้กับ Tim Ferriss ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบทความ How to forget what you read ของ Oliver Burkeman แต่ระหว่างที่เขียนบทความนี้ ผมนึกถึงคำพูดของ Coelho ขึ้นมาได้พอดี แม้จะเคยฟังบทสัมภาษณ์นี้เพียงครั้งเดียวเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า อะไรที่มีความหมายกับเรา เราจะจำมันได้โดยไม่ต้องพยายามจริงๆ