ไม่หยุด

20160316_dontstop

“บางคนหยุดเพราะคิดว่าตัวเองไม่ไหว แต่ใครจะไปรู้ว่าคนที่เราเห็นว่าไปไหว บางทีเขาก็เคยไม่ไหวเหมือนกัน แต่เขาแค่ไม่หยุด แค่นั้นเอง”

– สิงโต นำโชค


ผมเขียนบล็อกแบบจริงจังมาเกือบปีครึ่งแล้ว

บางคนชมผมว่า เก่งจังเลย หาเรื่องมาเขียนได้ทุกวัน

ผมก็ตอบไปว่า ไม่ได้เก่งหรอก บางวันกว่าจะหาเรื่องมาเขียนได้นี่เลือดตาแทบกระเด็น (ไม่เชื่อถามแฟนผมได้ ผมบ่นกับแฟนตลอดว่าวันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดี)

ยิ่งช่วงที่มีลูกใหม่ๆ ชีวิตยากมาก เพราะนอนก็ไม่พอ งานก็ต้องทำ แถมยังต้องพยายามเขียนบล็อกทุกวันอีก

เกินกว่าหนึ่งครั้งที่ใจบอก (หลอก) ตัวเองว่า เปลี่ยนไปเขียนแบบสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็ได้นี่

แต่สุดท้ายก็กัดฟันเขียนทุกวันเหมือนเดิม

ไม่ใช่เพราะว่าขยันหรืออะไรนะครับ

แต่เพราะรู้สึกว่า ถ้าเริ่มหา “ข้อยกเว้น” ให้กับตัวเองครั้งหนึ่งแล้ว ผมกลัวว่าจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป

ผมจึงชอบประโยคนี้ของพี่สิงโตมาก

“บางคนหยุดเพราะคิดว่าตัวเองไม่ไหว แต่ใครจะไปรู้ว่าคนที่เราเห็นว่าไปไหว บางทีเขาก็เคยไม่ไหวเหมือนกัน แต่เขาแค่ไม่หยุด แค่นั้นเอง”

ใช่ ต่อให้ต้องเหนื่อยต้องทรมานแค่ไหน เส้นชัยจะอยู่ไกลจนมองไม่เห็นอย่างไร

แต่ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตเรา

ตราบใดที่ยังไปต่อได้

อย่าเพิ่งหยุดนะครับ


ขอบคุณคำพูดของสิงโต นำโชค ซึ่งผมถ่ายมาจากหนังสือเล่มหนึ่งแต่ต้องขออภัยจริงๆ ที่จำไม่ได้ว่าเป็นหนังสืออะไร (น่าจะไปเปิดอ่านในร้านหนังสือแล้วแอบถ่ายเอาไว้)

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจากทีมงาน Smallroom

เลือกผิดได้เรื่อยๆ

20160603_Wrong

“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับคนยุคนี้คือการคิดว่าสิ่งที่เลือกมันต้องใช่ ฉันจะผิดไม่ได้ แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เลย ชีวิตมันมีแต่ความผิด เลือกไปเดี๋ยวมันก็ผิด ไอ้ที่คิดว่ามันโคตรถูกเลย เดี๋ยวอีกสองปีมันก็ผิด คือมันมีแต่การเลือกที่ผิด คุณถึงต้องเลือกไปเรื่อยๆ ผมเลยคิดว่าถ้าเราเปิดใจ และคิดว่าชีวิตมันคือการเลือกไปเรื่อยๆ มันสบาย แล้วคุณจะรู้สึกว่าชีวิตมันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ผิดแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เลือกใหม่ได้นี่หว่า”

– สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม)
a day BULLETIN issue 337, 5-11 Jan 2016 
เรื่องและภาพ กองบรรณาธิการ


เราถูกสั่งสอนให้ “เลือกอย่างจริงจัง” มาตั้งแต่เด็ก

เริ่มตั้งแต่พ่อแม่ที่เลือกโรงเรียนให้ลูกตั้งแต่ชั้นประถม ทุ่มเททุกวิถีทางที่จะให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ จะต้องไปบำเพ็ญประโยชน์หรือบริจาคเงินเป็นแสนก็ยอม

เลือกโรงเรียนเสร็จ ลูกก็ต้องมา “เลือกคำตอบที่ถูกต้อง” เวลาทำข้อสอบ ซึ่งมักมีเพียงข้อเดียว ถ้าเลือกผิดเยอะก็จะสอบตกซ้ำชั้นอีก

พอขึ้นมัธยมปลายก็ต้องมาเลือกว่าจะเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ เพื่อเตรียมความพร้อมสอบเข้าคณะที่จะเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย และอาชีพที่จะเลือกทำหลังเรียนจบ

ซึ่งก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า งานที่เราทำ และชีวิตที่เรามีอยู่ตอนนี้ เป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจของตัวเราเองในวัย 15 ปี

วัยที่ยังไม่รู้อะไรเลย

เหตุใดเราต้องปล่อยให้การตัดสินใจของเราคราวนั้น มากำหนดชีวิตเราทั้งชีวิต?

และพ่อแม่เอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงวางแผนล่วงหน้าให้ลูกเป็นสิบๆ ปี ว่าต้องเข้าโรงเรียนนี้ จะได้เรียนคณะนี้ และจะได้ทำอาชีพนี้ (ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น อาชีพที่ว่าอาจไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแล้วก็ได้)

ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน สามปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเรายังไม่รู้เลย แต่เรากลับพยายามจะวางแผนล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี เราจึงซีเรียสกับการตัดสินใจ

และบางทีก็ซีเรียสเกินไป

“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับคนยุคนี้คือการคิดว่าสิ่งที่เลือกมันต้องใช่ ฉันจะผิดไม่ได้ แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เลย ชีวิตมันมีแต่ความผิด เลือกไปเดี๋ยวมันก็ผิด ไอ้ที่คิดว่ามันโคตรถูกเลย เดี๋ยวอีกสองปีมันก็ผิด คือมันมีแต่การเลือกที่ผิด คุณถึงต้องเลือกไปเรื่อยๆ”

เราถูกสอนให้จริงจังกับการเลือกมาโดยตลอด เพราะถ้าเลือกผิด ชีวิตก็พลิกผัน

แต่เราก็มักลืมไปว่า ในเกือบทุกสถานการณ์ เราสามารถเลือกใหม่เพื่อพลิกชีวิตกลับได้เหมือนกัน

วันนี้เรามีทางเลือกมากมายกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่หลายเท่า ถ้ายังพบว่าตัวเองมีทางเลือกน้อย ก็อาจเป็นเพราะว่าเรายังติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ที่ตอนนี้อาจไม่มีอยู่จริงแล้วก็ได้

ชีวิตคนเราก็เหมือนวีดีโอเกมที่หากเลือกผิดหรือเล่นพลาด ก็เริ่มเล่นใหม่ได้เสมอ ตราบใดที่เรายังไม่เลิกเล่น หรือเครื่องเกมเจ๊งไปเสียก่อน

“ถ้าเราเปิดใจ และคิดว่าชีวิตมันคือการเลือกไปเรื่อยๆ มันสบาย แล้วคุณจะรู้สึกว่าชีวิตมันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ผิดแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เลือกใหม่ได้นี่หว่า”

ใช่ครับ ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความเป็นไปได้เสมอ

หากเรากล้าตัดสินใจ

และไม่กลัวที่จะผิดซะบ้างครับ


ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก a day BULLETIN issue 337, 5-11 Jan 2016 

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

Banner468x60ver1.jpg

คนข้างหลัง

20160527_behind

ถาม: มองเห็นอะไรในกีฬาวอลเลย์บอลบ้างคะ
ตอบ: มันมีเสน่ห์อยู่ในนั้น มีความรัก มีความสามัคคี มีความผูกพัน คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลก ถึงคุณจะเล่นกีฬาประเภทเดี่ยว แต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมีเพื่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมเห็นความผูกพัน เห็นมิตรภาพที่ยั่งยืนยาวนานของคน ถ้าให้ผมมองทีมผม สิ่งที่เห็นก็คือมันมีเบื้องหลังอยู่มากมาย มันมีความมุ่งมั่น มีความพยายาม แต่ละคนมุ่งมั่นอะไร มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝัน ฝันของเขาคืออะไร ไม่ใช่แค่ไปโอลิมปิกอย่างเดียว แต่อยากเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ ผมเห็นความฝันของคนที่อยู่ข้างหลังเขา เวลาที่เขาแพ้ เวลาที่เขาบาดเจ็บ ไม่ไหว ท้อแท้ ร้องไห้ ผมมองเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา พยายามผลักเขาขึ้น ผมมองเห็นในสิ่งหลายคนอาจจะมองไม่เห็น เวลาที่ทีมเราแพ้ ใครที่คอยให้กำลังใจเราถ้าไม่ใช่ครอบครัว คนใกล้ตัว ผู้บริหารสมาคม แฟนคลับ เรามีแฟนคลับเยอะแยะที่คอยเป็นกำลังใจให้เรา ผมมองเห็นคนที่ไม่รู้ว่าจะจินตนาการเป็นหน้าใคร แต่วาดหน้าได้ว่าเป็นสีธงสามสี ก็คือคนไทยที่ให้อภัยกันและพยายามช่วยกัน สิ่งที่ผมทำ ที่ผมสร้างพวกเขามา พวกเขาไม่เคยเลยที่จะเล่นกีฬาแบบเหยาะแหยะ เล่นแบบไม่สู้ พวกเขาสู้ทุกเกม นี่คือสิ่งที่ผมพอใจและภูมิใจในตัวพวกเขา นี่คือสิ่งที่ผมเห็นในกีฬาวอลเลย์บอล

– เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
a day BULLETIN issue 216, 7-13 Sep 2012
สัมภาษณ์ วสิตา กิจปรีชา
ถ่ายภาพ กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร

If you want to go fast, go alone.
If you want to go far, go together

– African proverb


ช่วงนี้วงการกีฬาของไทยเราคึกคักเป็นพิเศษ

ไม่ว่าจะเป็นน้องเมย์ รัชนกที่ได้ขึ้นเป็นนักแบดหญิงมือหนึ่งของโลก (แม้จะแค่ชั่วคราว)

หรือนักฟุตบอลชายที่กำลังลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

และล่าสุดคือนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงของเราที่แพ้ญี่ปุ่นไปอย่างดราม่าและชนะเกาหลีแบบสุดสะใจ

และถึงแม้ทีมวอลเลย์จะไม่ได้ไปโอลิมปิก แต่วันจันทร์ที่ผ่านมาก็มีคนไปต้อนรับที่สนามบินอย่างล้นหลาม

สาวๆ นักตบได้ใจของพวกเราไปเต็มๆ เพราะความสู้ไม่ถอย คนดูจึงเชียร์สนุกและมีความสุขมาก

แต่กว่าเขาจะมาเล่นวอลเลย์ให้เรามีรอยยิ้ม เขาต้องผ่านการร้องไห้และเจ็บปวดมาเท่าไหร่ ต้องฝึกซ้อมกันอย่างหนักแค่ไหนถึงได้กลายเป็นหนึ่งในทีมระดับต้นๆ ของเอเชีย

คงมีหลายปัจจัยที่ทำให้เขามาได้ไกลขนาดนี้

ปัจจัยแรกก็คือตัวนักกีฬาเองที่มีความสามารถ มีความฝัน และมีความมุ่งมั่นที่จะได้ไปแข่งขันในระดับโลก

ปัจจัยต่อมาก็คือทีมงานที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นโค้ช สมาคมวอลเลย์บอล หรือแม้กระทั่งสปอนเซอร์ที่ร่วมสนับสนุน

แต่ปัจจัยหนึ่งที่เราอาจลืมคิดถึง ก็คือครอบครัวที่คอยเป็น “ลมใต้ปีก” ให้นักกีฬาแต่ละคนตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ต้องยอมให้ลูกไปเก็บตัวซ้อมเป็นเวลาหลายหลายเดือน หรือแฟนที่แม้อยากจะพาไปเที่ยวที่ไหนก็อาจไม่ค่อยได้ไป

คนกลุ่มนี้ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อจะช่วยผลักดันให้เหล่าๆ นักตบสาวได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้

ดังนั้น เวลาที่พวกเธอลงสนามแข่ง เธอจึงไม่ได้เล่นเพื่อตัวเอง หรือเล่นเพื่อทีมชาติเท่านั้น แต่เธอกำลังเล่นเพื่อคนที่อยู่ข้างหลังเธอตลอดมาด้วย

ฝันของเขาคืออะไร ไม่ใช่แค่ไปโอลิมปิกอย่างเดียว แต่อยากเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ ผมเห็นความฝันของคนที่อยู่ข้างหลังเขา เวลาที่เขาแพ้ เวลาที่เขาบาดเจ็บ ไม่ไหว ท้อแท้ ร้องไห้ ผมมองเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา พยายามผลักเขาขึ้น ผมมองเห็นในสิ่งหลายคนอาจจะมองไม่เห็น

ผมว่าความงดงามของชีวิตคนมันอยู่ตรงนี้แหละ

เราทุกคนมีความฝัน มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่อยากจะทำ แต่การทำตามความฝันให้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

มันคงจะดีมาก หากจะมีใครสักคนที่เห็นและเชื่อสิ่งที่เราฝันเหมือนกัน แม้เขาอาจจะไม่ได้มาลงแรง แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าวันที่เราเหนื่อยและพ่ายแพ้ ก็ยังมีใครคนหนึ่งที่พร้อมจะกอดเราไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ พักก่อนแล้วค่อยกลับไปลุยใหม่

เมื่อความฝันของเราได้กลายเป็นความฝันของคนอื่นด้วย เราก็พร้อมที่จะสู้ยิบตา

เพราะเรารู้แล้วว่าเราสู้ไปทำไม

และเราสู้ไปเพื่อใคร


ขอบคุณรูปภาพจาก ISSUU.com: a day BULLETIN issue 216, 7-13 Sep 2012

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ใจเสาะ

20160520_wimp

เคยเจอคนเหล่านี้ไหม

สรุป ก่อนได้ข้อสรุป
อกหัก ก่อนบอกรัก
ยอมแพ้ ทั้งที่ยังไม่แพ้

ถ้าเจอเขาอยู่รอบๆ ตัวเรา ให้กำลังใจเขา ให้เขาได้คิด
ถ้าเจอเขาอยู่ในตัวเรา เอาเขาออกไป เราจะคิดได้

– ประภาส ชลศรานนท์


สรุปก่อนได้ข้อสรุป เรียกว่า ใจร้อน
อกหักก่อนบอกรัก เรียกว่า ใจปลาซิว
ยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่แพ้ เรียกว่า ใจเสาะ

ต้นเหตุอยู่ที่ใจก็ต้องแก้ที่ใจ ไม่ใช่แก้ที่ภายนอกด้วยการคาดหวังให้สถานการณ์เปลี่ยน หรือคาดคั้นให้คนอื่นเปลี่ยน

ขั้นแรกคือต้องรู้ตัวก่อนว่า ใจของเรากำลังอยู่ในสภาวะอะไร

ถ้าใจร้อน การกลับมาดูลมหายใจหรือดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกายอาจช่วยให้ใจเย็นลงได้

ถ้าใจปลาซิว ให้ดูดีๆ ว่า จริงๆ แล้วไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ถ้าเขาตอบรับเราก็สมหวัง ถ้าเขาปฏิเสธเราจะได้ move on ไม่ต้องจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกนี้

ถ้าใจเสาะ อาจต้องลองกลับมาถามตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ เราทำเพื่ออะไร และเราทำเพื่อใคร ถ้าเหตุผลมันหนักแน่นพอ ใจของเราก็จะหนักแน่นพอเช่นกัน แต่ถ้าเหตุผลมันไม่เข้าท่า ก็แสดงว่าเราไม่ควรลงมาสู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว


ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือประโยคย้อนแสง โดยประภาส ชลศรานนท์

ขอบคุณรูปภาพจาก Wikipedia: ประภาส ชลศรานนท์

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่

ฉาบฉวย

20160514_Superficial

ถาม: คุณไม่ได้มองหรือว่าความสวยงามคือสินทรัพย์อย่างหนึ่ง อย่างที่คนสมัยนี้เขามองกัน

ตอบ: ไม่ ผมเกลียดความคิดนี้ ผมเกลียดความคิดที่บอกว่าความสวยจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แล้วก็จะรวย เงินก็จะเข้ามา เราเห็นกันหลายเคสแล้วว่าคนที่คิดแบบนี้มักจะตายกันมาเยอะ แล้วไม่ใช่เสียชีวิตนะ แต่แทนที่จะได้ดี เขาดันไปยึดติดกับอะไรไม่รู้ ทำให้เขาลืมไปว่าจริงๆ เขามีความสามารถแค่ไหน หรือเขาทำอะไรได้มากกว่านั้น การที่เขาคิดแบบนั้นมันเหมือนดูถูกตัวเองนะ แล้วผมก็เห็นอะไรแบบนี้บ่อยๆ ด้วย คือเด็กสมัยนี้เข้ามาที่คลินิกด้วยความคิดแปลกๆ เช่น ต้องทำหน้าให้สวยๆ จะได้ได้งานดีๆ หรือจะได้แฟนดีๆ ที่มีฐานะ ซึ่งมันมากไป ผมมองว่านี่คือทุนนิยมสุดโต่ง

ถาม: จริงๆ แล้วผิดไหมที่คิดว่าถ้าสวยแล้วจะได้มี แฟนดีๆ หรือมีแฟนที่มีฐานะ คือ…ในความคิดเรา ถ้าคิดแบบนี้มันคงก้ำกึ่งว่าผิดหรือถูก แต่ถ้าคนทั่วไปเขาคิดแบบนี้แล้วหนทางจะเป็นอย่างไรต่อไป หรือคุณคิดอย่างไร

ตอบ: ผมว่ามันเบรกไม่ได้หรอกเรื่องแบบนี้ มันอาจจะดีก็ได้กับบางคน แต่เขาต้องนึกไว้เสมอนะว่าเวลาเขาทำเขาต้องทำเพื่อความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่ได้ทำไปเพื่อเอาใจใคร เพราะการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นมันแย่นะ มันเหมือนกับต้องไปเป็นทรัพย์สินของใครสักคนตลอดชีวิต แล้วก็อย่าไปตีค่าตัวเองให้เป็นวัตถุขนาดนั้นเลย มันมีคน get เราได้มากกว่านั้น จริงๆ โลกมันไม่ได้ฉาบฉวยอย่างที่คนอื่นๆ พยายามให้เป็นหรอก จริงอยู่ที่บางอาชีพต้องการรูปร่างหน้าตา แต่มันไม่ใช่ทุกอาชีพ ผมพยายามจะบอกแบบนี้นะ แล้วการที่พยายามจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่น คือทำแค่ในแบบของเรานี่แหละให้ดูดีขึ้น แบบนั้นเป็นไปได้ แต่ถ้าเกินกว่านี้มันมากไป

– สมิทธิ์ อารยะสกุล
a day BULLETIN issue 276, 1-7 Nov 2013
สัมภาษณ์ วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม, เอกพล บรรลือ
ถ่ายภาพ กฤตธกร สุทธิกิตติบุตร


ผมเคยเขียนไว้ในตอนนกหลงทางว่า พริตตี้สวยๆ ที่มีแต่คนมองนั้น ภายในใจเขาอาจจะรู้สึกสิ้นหวังอยู่ลึกๆ ก็ได้

เพราะหากเขาพึ่งพาแต่รูปร่างหน้าตา พอสองสิ่งนี้เสื่อมไป เขาจะไม่มีต้นทุนอื่นเหลือเลย

“ผมเกลียดความคิดที่บอกว่าความสวยจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น”

ผมเห็นตรงข้ามกับหมอโอ๊คนะ ผมเชื่อว่าความสวยจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจริงๆ

แม้จะไม่ใช่อาชีพดาราหรือพริตตี้ แต่หน้าตาที่ดีก็ยังทำให้ได้งานง่ายขึ้น ขายของได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นงานเซลส์ งานพี่เลี้ยงเด็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องอยู่กับผู้คน

ขนาดเด็กกำพร้าที่มองหาผู้อุปการะ ผมก็ยังรู้สึกว่าเด็กที่หน้าตาดีนั้นมีโอกาสดีกว่าเด็กขี้เหร่

แต่กับดักของคนหน้าตาดีก็คือ แม้ว่ามันจะทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้น แต่มันก็ทำให้เรากลายเป็นคน “มักง่าย” มากขึ้นด้วย

เพราะเมื่อมีแต่คนมาเอาใจ เราก็อาจหลงคิดไปว่าไม่ต้องทำตัวดีมากก็ได้ ไม่ต้องพูดเพราะก็ได้ เอาแต่ใจก็ได้ เพราะยังไงคนก็พร้อมจะให้อภัยอยู่แล้ว

แต่ก็อย่างที่หมอโอ๊คบอก โลกของเรามันไม่ได้ฉาบฉวยขนาดนั้น

ถ้าอยากจะเป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ อยากมีเพื่อนแท้ และอยากมีคู่ชีวิตที่ดี ความหล่อความสวยอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ

สำหรับคนที่จะเข้ามาเป็นคนสำคัญของเรา สิ่งที่จะชี้ขาดว่าเราเป็นคน “น่ารัก” สำหรับเขาหรือไม่มันไม่ใช่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เพราะต่อให้เราจะจมูกโด่ง ตาโต ผิวขาว และหุ่นดีแค่ไหน ถ้าเราเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ อารมณ์ร้าย และไร้สมอง ข้อเสียเหล่านี้มันจะทำให้เราดูน่ารังเกียจไปเลย จนวันหนึ่งเราอาจจะโดนตั้งคำถามด้วยซ้ำไปว่า “นอกจากหน้าตาแล้วมีอะไรดีบ้าง?”

ดังนั้นนอกจากความงามภายนอกแล้ว ก็อย่าลืมขัดเกลาความงามภายในด้วย

ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้ ทัศนคติ น้ำใจ ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นคำพูดและการกระทำ

ถ้าทำได้ เราก็จะเป็นนางฟ้าตัวจริง

ไม่ใช่นางฟ้าจำแลงที่งามแต่หน้าตาครับ


ขอบคุณภาพและข้อความจาก a day BULLETIN issue 276, 1-7 Nov 2013

อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/

อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings (ที่ปุ่มไลค์จะมี drop down menu ให้เลือกได้ว่าอยากจะให้มี notifications หรืออยากเห็นโพสต์จากเพจนี้อยู่ต้นๆ ฟีดรึเปล่าครับ)

ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่