กำลังใจจากผู้อ่านหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน

สวัสดีค่า คุณรุตม์ เพิ่งได้มีโอกาสอ่านผลงานเขียนของคุณรุตม์ค่า เลยอยากแชร์ความรู้สึกและความประทับใจ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน ยาวหน่อยนะคะ

🙏🙏 ขอบคุณคุณรุตม์นะคะ ที่เขียนหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน ออกมา

มันมาในจังหวะที่ตรงกับชีวิตในวัยย่างเข้า 40 ของตัวเองพอดี

ที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำมากมาย ทั้งดูแลบ้าน และลูกสองคน

(น่าจะใกล้ๆเคียงกับคุณรุตม์เลยค่ะ คนโตผู้หญิงอายุ 3 ขวบ 10 เดือน คนเล็กผู้ชายอายุ 1 ขวบ 4 เดือน)

เป็นทั้งหมอตรวจคนไข้ อาจารย์สอนนิสิตแพทย์ ทำงานบริหาร รพ.

เขียนเพจเลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร เป็น influencer ครอบครัว/แม่และเด็ก และดูแลคอนโดปล่อยเช่า

https://facebook.com/hormoneforkids

แต่ก็ยังมีความคิดที่อยากหาอะไรทำเพิ่ม อยากเติบโตในหน้าที่การงานและสร้างความมั่งคั่งให้ได้มากกว่านี้ เหมือนที่ใครๆเค้าทำกัน

รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม แปลว่าชีวิตไม่ก้าวหน้า อยู่นิ่งกับที่ อยากได้รับการยอมรับ ทั้งๆ ที่ก็ได้รับโอกาสเรื่องงานมากมาย

แต่ก็ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหน เพราะงานเต็มมือไปหมด

อีกอย่างนึงคือ รู้สึกว่าชีวิตเราก็ดีมากแล้วนะ แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุข

จนมาได้คำตอบจากหนังสือเล่มนี้แหละค่า ว่าบางทีความสุขไม่ได้เกิดจากการเติมเต็ม แต่มันอาจจะเกิดจากการตัดสิ่งที่ไม่ใช่ในชีวิตออกไปต่างหาก

อาจจะไม่หวือหวาหรือขาดสีสัน แต่ก็สบายดี ไม่ต้องดื้นรนออกไปหาความสุขข้างนอก เพราะที่บ้านมีครบแล้ว

อันนี้ก็เป็นเหมือนกัน คือ ตั้งแต่มีลูกสอง รู้สึกว่าการอยู่บ้านเป็นอะไรที่สบายที่สุดแล้ว เพราะอย่างที่รู้ ออกจากบ้านแต่ละที คือ วุ่นวายมาก

แต่บางครั้งก็มีแอบคิดว่า ชีวิตเราดูธรรมดาเกินไปมั้ย เราเป็นพ่อแม่ที่ขี้เกียจไปรึป่าวเนี่ย ไม่ได้พาลูกออกไปเรียนรู้โลกข้างนอก เหมือนพ่อแม่คนอื่นที่มาโพสต์โชว์ พาลูกไปเที่ยวที่นั้น ที่นี่ ดูดี ดูน่าอิจฉา จนบางทีเราก็ต้องมีไปบ้าง

อีกเรื่องหนึ่งที่ชอบ คือ เรื่องราวของชายผู้ถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงานที่คุณรุตม์พูดถึงว่า การก้าวขึ้นไปอีกขั้นในหน้าที่การงานนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งแรงกายและเวลา

ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจจะเบียดเบียนเวลาของลูกและกระทบความสัมพันธ์กับคนในบ้าน ซึ่งไม่คุ้มกัน

เพราะถ้าเราพยายามจะทำทุกอย่าง จะเอาทุกอย่าง สุดท้ายเราอาจไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

ก็เลยทำให้ได้หันกลับมาคุยกับตัวเองอีกครั้ง ว่ามันจำเป็นจริงๆ มั้ยที่เราต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยแลกกับเวลาที่ได้อยู่กับลูกน้อยลง

และวัยเด็กของลูก ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก

คำตอบคือ ในระยะสั้น รายได้เราอาจจะเพิ่มขึ้น แต่มันไม่คุ้มค่ากันเลยในระยะยาว ที่เราต้องตามแก้ปัญหาเรื่องลูก

อีกบทหนึ่งที่โดนใจมากๆ คือ การที่เราไม่ลาออกจากงานประจำ ไม่ได้แปลว่าเราไม่กล้าออกจาก comfort zone

เพราะนิทาน comfort zone ที่เราได้ยินมา มักจะผูกติดกับเรื่องงานเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มันแทบไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์และเวลาให้ครอบครัว

มันไม่ง่ายเลยที่จะเลือกให้ความสำคัญกับครอบครัว ในขณะที่ทั้งโลกตะโกนบอกว่า เราต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตในหน้าที่การงานและความมั่นคงทางการเงิน

สังคมยกย่องและให้คุณค่ากับคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กิจการใหญ่โต ยอดขายหลายล้านบาทต่อปี

แต่แทบไม่มีใครเลย ที่ออกมาปรบมือชื่นชม คนที่อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน คนที่กลับถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หรือคนที่สามารถรับ-ส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน

ซึ่งจริงๆแล้ว ในมุมมองส่วนตัว การเลี้ยงลูกเนี่ยแหละ คือ การก้าวออกจาก comfort zone ครั้งที่ยิ่งใหญ่สุดในชีวิต ต้องเรียนรู้และรับมือกับพฤติกรรมของลูกที่นับวันจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับตัวเองแล้ว ถึงแม้จะทำงานประจำ แต่ก็ยังสามารถออกจาก comfort zone ทุกวัน ได้ด้วยการ

กล้ารับงานที่ท้าทายมากขึ้น
ออกกำลังกายทั้งๆที่ขี้เกียจ
FB Live ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าคนจะสนใจมั้ย
เขียนเพจ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านรึป่าว
อ่านหนังสือในเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เคยอ่าน

ทั้งหมดนี้ ก็คือ การก้าวออกจาก comfort zone ด้วยกันทั้งนั้น

และเรื่องสุดท้ายที่ชอบ ก็คือ หา “ช้าง” ของตัวเองให้เจอ

สิ่งที่คนอื่นมี การใช้ชีวิตที่ดูน่าอิจฉาของเพื่อน อาจไม่ใช่ สิ่งสำคัญ สำหรับเรา การที่เราไม่มีเท่าคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราขาด เพราะเราได้ค้นพบแล้วว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ “ช้าง” ของเรานั่นเอง

เพื่อนอาจจะแซงหน้าเราในบางเรื่อง แต่ในด้านที่เขาไม่ได้เปิดเผย เขาอาจจะตามเราอยู่ก็ได้

ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน จุดประสงค์จึงไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร แต่เป็นการประคับประคองตัวเองให้วิ่งได้จนจบการแข่งขัน

ถ้าเรามัวแต่กลัวว่าจะตามคนอื่นไม่ทัน และรีบเร่งฝีเท้า เราอาจจะเหนื่อยและหมดแรงก่อน

ทางที่ดีที่สุด คือ วิ่งในสปีดที่เหมาะกับตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร

ขอบคุณที่สละเวลาอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ

สารภาพตามตรงว่านี่เป็นหนังสือเล่มแรกในรอบหลายๆปีที่อ่านจบแบบรวดเดียว และอยากส่งข้อความมาหาผู้เขียน

หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอตัวจริง แลกเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิต และร่วมงานกันนะคะ

หมออร
พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล

63 ไอเดียและคำถามสำหรับปี 2563

20191228b

1. เช้าให้ทำงานใหญ่ บ่ายให้ทำงานเล็ก

2. งานทุกอย่างมี shit sandwich เสมอ ไม่มีใครได้ทำแต่งานที่ตัวเองชอบหรอก แม้กระทั่ง CEO

3. จงเป็นของหายากสำหรับหัวหน้า

4. หัวหน้าไม่ได้มีหูทิพย์-ตาทิพย์ เราทำอะไรดีๆ ก็แจ้งเขาหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งน้อยใจทีหลัง

5. เห็นคุณค่าของสิ่งที่มี อย่าเป็นทัพพีไม่รู้รสแกง

6. ที่ว่างานสำคัญๆ นั้นมันสำคัญสำหรับเราหรือสำคัญสำหรับคนอื่น?

7. เค้าขอไม่ได้แปลว่าต้องให้

8. งานเป็นอนันต์ อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเราจะเอาชนะ infinity ทำงานให้พอดีแล้วกลับบ้านเถอะ

9. ถ้าอยากให้คนจดจำ จงทำในสิ่งที่เราไม่ต้องทำก็ได้

10. คนบางคนมีประสบการณ์ทำงาน 10 ปี ส่วนคนบางคนมีประสบการณ์ทำงาน 1 ปีซ้ำ 10 รอบ

11. อย่าให้หัวหน้าต้องเอ่ยปากซ้ำ

12. ถ้าอยากเติบโตในองค์กร จงเป็นคน underpaid เสมอ เพราะมันแสดงว่าเรากำลังสร้างคุณค่าให้กับองค์กรมากกว่าที่เขาจ่ายให้เรา เมื่อใดก็ตามที่เรา overpaid ก็เริ่มนับถอยหลังได้เลย

13. ถ้ารู้สึกว่าหัวหน้าไม่ค่อยใส่ใจ ให้ระลึกว่าเขาเป็นดาวฤกษ์ของเราเพียงดวงเดียว ส่วนเราเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของเขาหลายสิบดวง

14. หัวหน้าต้องทำให้ชีวิตลูกน้องดีขึ้น ถ้ามีเราแล้วชีวิตเค้าแย่ลง เราก็เป็นหัวหน้าที่ใช้ไม่ได้

15. หัวหน้าควรจะพูดเป็นคนสุดท้าย ถ้าหัวหน้าพูดเป็นคนแรก ลูกน้องจะไม่กล้าแสดงความเห็นต่าง

16. หัวหน้าควรรักษาสัญชาติญาณสัตว์ป่าของคนในทีมไว้ อย่าปล่อยให้เสือสบายจนกลายเป็นแมว

17. คนคิดเอาเปรียบเป็นเพียงคนส่วนน้อย อย่าเขียนกฎเพื่อคุมคนส่วนน้อยจนทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อนไปด้วย

18. หัวหน้าไม่ใช่เจ้าชีวิตของลูกน้อง เราเป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนกัน แค่หน้าที่ต่างกันเท่านั้น

19. โดยธรรมชาติแล้วหัวหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยว ถ้าอยากเป็นหัวหน้าก็ทำใจเรื่องนี้เอาไว้

20. ถ้าชีวิตไม่โอเคให้นอนเยอะๆ พอนอนมาเต็มอิ่มแล้วจะรู้สึกว่าเราจะทำอะไรก็ได้

21. ตื่นเช้าไม่ยากเท่านอนเร็ว ถ้าหาวิธีนอนเร็วได้ การตื่นเช้าจะง่ายมาก

22. คนบางคนก็ดูแลรถดีกว่าดูแลตัวเอง

23. กินให้น้อยไปนิดนึงแล้วมันจะพอดี

24. (มาราธอน) ถ้าซ้อมถึงมันก็วิ่งถึง ถ้าซ้อมไม่ถึงมันก็วิ่งไม่ถึง

25. การซ้อมวิ่งที่ดีไม่ต่างอะไรกับการทำบุญ เราควรจะรู้สึกดีก่อนวิ่ง รู้สึกดีระหว่างวิ่ง และรู้สึกดีหลังวิ่งเสร็จแล้ว

26. วิธีดูว่าเรามีเงินพอซื้อของชิ้นนี้รึเปล่า ก็คือถามตัวเองว่าเราซื้อสองชิ้นไหวรึเปล่า ถ้าซื้อสองชิ้นไม่ไหว ก็แสดงว่าซื้อของชิ้นนั้นไม่ไหว If you can’t afford two of it, you can’t afford it.

27. คนบางคนร่างกายเผาผลาญดี กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน คนบางคนกิเลสเผาผลาญดี ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่พอ

28. เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิต ความสัมพันธ์กับเงินของเราจะเปลี่ยนไป แล้วความรู้สึกเวลาเงินไหลเข้าไหลออกจะคลี่คลายลงไปเยอะ

29. ไม้บรรทัดคนเราไม่เท่ากัน หนึ่งเซ็นของเราอาจเท่ากับหนึ่งนิ้วของเขาก็ได้

30. ผิดบวกผิดไม่เท่ากับถูก

31. เขาไม่ได้คิดร้าย เขาแค่คิดไม่ได้เฉยๆ

32. ถ้าเลือกได้เขาคงไม่อยากเป็นคนแบบนี้หรอก

33. คนฉลาดจะไม่หงายไพ่หมด

34. น้ำขุ่นอย่ารีบตัก

35. เราอยากได้แฟนที่ฉลาดหลักแหลม แต่ก็ต้องคิดเผื่อด้วยว่าถ้าเค้าฉลาดจริงๆ เค้าจะเลือกเรามั้ย?

36. พลาดคนที่ใช่ ดีกว่าได้คนที่ไม่ใช่

37. ผู้ชายมักตายด้วยความดื้อ ผู้หญิงมักตายด้วยอารมณ์

38. ใครขอโทษก่อนคนนั้นชนะ

39. ถ้าอยู่กับลูกแล้วเล่นมือถือมากกว่าเล่นกับลูกแสดงว่ามันคงต้องมีอะไรผิดซักอย่างแล้วล่ะ

40. ถ้ามีเวลามากกว่านี้เราจะทำอะไร? แล้วทำไมไม่ทำเลย? คิดเหรอว่าอนาคตจะมีเวลามากกว่านี้? Facebook/Instagram/Youtube/Netflix เขาไม่ยอมหรอกนะ

41. ถ้าจะเริ่มก็เริ่มตอนที่ยังไม่พร้อมนี่แหละ ถ้าจะรอให้พร้อมก็คงไม่ได้ทำเหมือนเคย

42. วิธีดูว่าคนๆ หนึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ไม่ต้องฟังสิ่งที่เขาพูด ให้ดูสิ่งที่เขาทำ – their actions are their real priorities.

43. สิบกิโลแรกยากกว่าแสนกิโลหลัง ตอนยานอะพอลโล 11 บินไปดวงจันทร์ เชื้อเพลิง 90% ถูกใช้หมดไปตั้งแต่ 9 นาทีแรก

44. เลือกทางยากชีวิตจะง่าย เลือกทางง่ายชีวิตจะยาก

45. ทุกสิ่งที่เราทำคือการเตรียมของขวัญให้ตัวเองในอนาคต

46. คนที่จะไปได้ไกลคือคนที่มีอารมณ์ก็ทำ ไม่มีอารมณ์ก็ทำ

47. หากเปลี่ยนตัวเองมันยากนัก ให้ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดู

48. อย่าชอบซื้อหนังสือมากกว่าชอบอ่านหนังสือ อย่าชอบซื้อรองเท้ามากกว่าชอบซ้อมวิ่ง

49. หนังสือ 500 บาทที่ได้อ่านคือหนังสือราคาถูก หนังสือ 50 บาทที่ไม่ได้อ่านคือหนังสือราคาแพง

50. ความสำเร็จในที่ลับมาก่อนความสำเร็จในที่แจ้ง ชนะข้างในก่อนถึงจะชนะข้างนอก

51. ความสำเร็จมักมาช้ากว่าที่คิดเสมอ

52. ไม่ว่าชีวิตจะดีแค่ไหน คนเราก็หาเรื่องทุกข์ใจได้อยู่ดี

53. เมื่อหยุดบ่นความสุขก็จะโชยมา

54. มันยังไม่ช้าเกินไปที่จะเริ่ม

55. และบางทีมันก็ไม่มีครั้งต่อไป

56. Be in the moment เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องชั่วคราว และความหนุ่มสาวอยู่กับเราได้ไม่นาน

57. เรามีความทุกข์เฉพาะตอนที่เราคิดเท่านั้น

58. วิธีที่เรามองปัญหานั่นแหละคือตัวปัญหา

59. มากกว่าเงินคือเราอยากมีความสุข มากกว่าความสุขคือเราอยากมีประโยชน์ มากกว่าประโยชน์คือเราอยากมีความหมาย

60. เรากำลังปีนภูเขาที่เราอยากปีนจริงๆ รึเปล่า?

61. ถ้ามันง่ายแสดงว่าเราอาจจะมาผิดทาง

62. ที่เราฝันๆ เอาไว้มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอก และที่เราหวาดหวั่นมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่กลัวเช่นกัน

63. กล้าๆ หน่อย ปัญหาส่วนใหญ่แก้ได้ถ้าเรากล้าขึ้นอีกนิดเดียว


[Updated Jan 2022]: LINE MAN Wongnai Junior 2022 – บริษัทที่ผมเป็น Head of People อยู่กำลังรับสมัครนักศึกษาฝึกงาน 40 ตำแหน่ง 77 อัตรา – work from home ได้ มีเบี้ยเลี้ยงให้ทุกคน (โดยเฉพาะทีม Engineering ได้เบี้ยเลี้ยงดีมากๆ!) และมีโอกาสบรรจุเป็นพนักงานทันทีหากผลงานเข้าตา รับสมัครถึงเที่ยงวันศุกร์ที่ 7 มกราคมนี้ ดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/3HBNkbL ครับ

รวบรวมมาจาก Anontawong’s Musings Archive

“ช้างกูอยู่ไหน” หนังสือเล่มใหม่ของผมวางแผงคริสต์มาสนี้ อ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/eitrfacebook และอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ markpeak.net/elephant-in-the-room

Elephant in the Room ช้างกูอยู่ไหน

ช้างกูอยู่ไหน_๒๐๐๑๐๓_0017

วันนี้มาขายของครับ 

หนังสือเล่มที่สองของผมจะตีพิมพ์เสร็จวันนี้และน่าจะกระจายสู่แผงหนังสือทั่วประเทศภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

ผมเองยังไม่ได้เห็นตัวหนังสือเล่มจริง ก็เลยตื่นเต้นมาก ลุ้นว่ามันจะออกมาเหมือนที่เราจินตนาการไว้รึเปล่า อารมณ์ไม่ต่างอะไรกับว่าที่คุณพ่อที่กระวนกระวายอยู่หน้าห้องผ่าตัดเพื่อรอเจอเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลก

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Elephant in the Room ช้างกูอยู่ไหน

เห็นคำว่า “ช้างกูอยู่ไหน” อาจจะพลันทำให้เรานึกถึงคุณจา พนม ที่ออกตามหาช้างในภาพยนตร์ “ต้มยำกุ้ง” ของพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว

หนังสือเล่มนี้ไม่มีจา พนมและไม่มีฉากบู๊ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมเลือกชื่อนี้เพราะคนไทยคุ้นหู และมันบ่งบอกถึงแก่นแกนของหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี

เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นภาพว่า “ช้างกูอยู่ไหน” เกี่ยวกับอะไร ผมขอยกคำนำของหนังสือมาไว้ตรงนี้นะครับ

—–

ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม เคยเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง

ว่ากันว่ามีช่างไม้ที่แกะสลักไม้เป็นรูปช้างได้เหมือนจริงมาก

ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงดั้นด้นไปหาช่างไม้คนนั้นที่รังสรรค์งานอยู่ในกระท่อมกลางป่า

เมื่อได้เจอช่างไม้ ชายหนุ่มจึงถามถึงเคล็ดลับในการแกะสลักช้าง

ช่างไม้ตอบว่า

“ก่อนอื่นเราต้องมีไม้ที่ดีก่อน เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้ว เราก็แกะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป”

ก็เท่านั้นเอง

ไม้ที่ดีจะมาพร้อมกับความเป็นไปได้และข้อจำกัดของมัน เช่น ถ้าไม้ขนาดเท่าท่อนแขน เราก็ไม่สามารถแกะช้างให้ใหญ่กว่าท่อนแขนได้อยู่แล้ว

เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้ว เราก็ต้องหาช้างของเราให้เจอด้วยการกะเทาะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป

—–

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่อคนวัยสามสิบต้นๆ ถึงสี่สิบกลางๆ

วัยที่กำลังสร้างครอบครัว มีการงานที่มั่นคง หลายคนเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร มีลูกน้องต้องดูแล หลายคนมีเงินเก็บหลายแสนหรือแม้กระทั่งหลายล้านบาท อะไรๆ กำลังไปได้สวย

แต่ถึงกระนั้นกลับรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข

อาจเพราะมีเงิน แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน มีงานที่ดี แต่งานก็ดึงพลังชีวิตไปมากมายเสียจนกระทบความสัมพันธ์และสุขภาพ

ถ้าวัยยี่สิบกว่าๆ คือวัยแห่งการเพิ่มพูนและเติมเต็ม ผมคิดว่าวัยสามสิบกว่าๆ คือวัยแห่งการเรียนรู้ที่จะลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต

เพราะถ้าเราพยายามจะทำทุกอย่าง จะเอาทุกอย่าง สุดท้ายเราอาจไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

เราวกวนว้าวุ่นโดยไม่มีเวลาหยุดพัก รู้ตัวอีกทีก็พบว่า “ช้าง” ของเราหายไปไหนก็ไม่รู้

แต่ถ้าเราหยุดวิ่งและหันมาสำรวจตัวเองว่าอะไรบ้างที่มีความสำคัญกับเราอย่างแท้จริง

เราอาจจะพบว่า “ช้าง” นั้นอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว

ขอให้คุณผู้อ่านสนุกกับการแกะสลัก “ช้าง” ของตัวเองนะครับ

—–

หนังสือเล่มนี้จะอ่านยากกว่า “Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ” แต่ก็จะพาคุณผู้อ่านสำรวจตัวเองไปได้ลึกกว่าเดิมเช่นกัน

โดยหนังสือจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ภาค

Work – งาน
Relationships – ความสัมพันธ์
Society – สังคม
Self – ตนเอง

โดยความมุ่งหวังของผมคือเมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านจบแล้ว จะเห็น “ช้าง” ของตัวเองได้ชัดขึ้น ดิ้นรนน้อยลง และมีความสุขความพึงพอใจกับวิถีทางของต้นมากขึ้นครับ

ขอบคุณพี่ปิ๊กแห่งเพจ Trick of the Trade และเจ้าของสำนักพิมพ์อะไรเอ่ยที่ให้ความไว้วางใจตีพิมพ์หนังสือของผมอีกครั้ง

ขอบคุณน้องพีทและน้องพลอยเซ่แห่ง C’est Design ที่ออกแบบหนังสือเล่มนี้ด้วยความทุ่มเทและใส่ใจในทุกรายละเอียด

ขอบคุณอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สำหรับบทกวีเปิดเล่ม

ขอบคุณโค้ชจิมมี่ พจนารถ ซีบังเกิด และพี่แท็บ รวิศ หาญอุตสาหะ สำหรับคำนิยม

ขอบคุณป๋าเต็ดที่จุดประกายไอเดียอันเป็นแก่นของหนังสือเล่มนี้

ขอบคุณคุณจา พนม และพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ที่สร้างหนังต้มยำกุ้ง

ขอบคุณภรรยา ลูกๆ แม่ พ่อ น้องชาย น้องสะใภ้ และคนใกล้ชิดที่สนับสนุนให้หนังสือเสร็จสมบูรณ์

และแน่นอน ขอบคุณคุณผู้อ่านที่ติดตามกันมาโดยตลอด

ขอฝาก Elephant in the Room ช้างกูอยู่ไหน ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกท่านด้วยนะครับ

—–

เป็นเจ้าของหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน พร้อมลายเซ็น​ผู้เขียนได้ก่อนใครด้วยการสั่ง pre-order 100 เล่มแรก ผ่าน link นี้ครับ

http://www.whatisitpress.com/…/product/575145/product-575145