กำลังใจจากผู้อ่านหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน

สวัสดีค่า คุณรุตม์ เพิ่งได้มีโอกาสอ่านผลงานเขียนของคุณรุตม์ค่า เลยอยากแชร์ความรู้สึกและความประทับใจ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน ยาวหน่อยนะคะ

🙏🙏 ขอบคุณคุณรุตม์นะคะ ที่เขียนหนังสือ ช้างกูอยู่ไหน ออกมา

มันมาในจังหวะที่ตรงกับชีวิตในวัยย่างเข้า 40 ของตัวเองพอดี

ที่มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำมากมาย ทั้งดูแลบ้าน และลูกสองคน

(น่าจะใกล้ๆเคียงกับคุณรุตม์เลยค่ะ คนโตผู้หญิงอายุ 3 ขวบ 10 เดือน คนเล็กผู้ชายอายุ 1 ขวบ 4 เดือน)

เป็นทั้งหมอตรวจคนไข้ อาจารย์สอนนิสิตแพทย์ ทำงานบริหาร รพ.

เขียนเพจเลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร เป็น influencer ครอบครัว/แม่และเด็ก และดูแลคอนโดปล่อยเช่า

https://facebook.com/hormoneforkids

แต่ก็ยังมีความคิดที่อยากหาอะไรทำเพิ่ม อยากเติบโตในหน้าที่การงานและสร้างความมั่งคั่งให้ได้มากกว่านี้ เหมือนที่ใครๆเค้าทำกัน

รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม แปลว่าชีวิตไม่ก้าวหน้า อยู่นิ่งกับที่ อยากได้รับการยอมรับ ทั้งๆ ที่ก็ได้รับโอกาสเรื่องงานมากมาย

แต่ก็ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหน เพราะงานเต็มมือไปหมด

อีกอย่างนึงคือ รู้สึกว่าชีวิตเราก็ดีมากแล้วนะ แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุข

จนมาได้คำตอบจากหนังสือเล่มนี้แหละค่า ว่าบางทีความสุขไม่ได้เกิดจากการเติมเต็ม แต่มันอาจจะเกิดจากการตัดสิ่งที่ไม่ใช่ในชีวิตออกไปต่างหาก

อาจจะไม่หวือหวาหรือขาดสีสัน แต่ก็สบายดี ไม่ต้องดื้นรนออกไปหาความสุขข้างนอก เพราะที่บ้านมีครบแล้ว

อันนี้ก็เป็นเหมือนกัน คือ ตั้งแต่มีลูกสอง รู้สึกว่าการอยู่บ้านเป็นอะไรที่สบายที่สุดแล้ว เพราะอย่างที่รู้ ออกจากบ้านแต่ละที คือ วุ่นวายมาก

แต่บางครั้งก็มีแอบคิดว่า ชีวิตเราดูธรรมดาเกินไปมั้ย เราเป็นพ่อแม่ที่ขี้เกียจไปรึป่าวเนี่ย ไม่ได้พาลูกออกไปเรียนรู้โลกข้างนอก เหมือนพ่อแม่คนอื่นที่มาโพสต์โชว์ พาลูกไปเที่ยวที่นั้น ที่นี่ ดูดี ดูน่าอิจฉา จนบางทีเราก็ต้องมีไปบ้าง

อีกเรื่องหนึ่งที่ชอบ คือ เรื่องราวของชายผู้ถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงานที่คุณรุตม์พูดถึงว่า การก้าวขึ้นไปอีกขั้นในหน้าที่การงานนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งแรงกายและเวลา

ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจจะเบียดเบียนเวลาของลูกและกระทบความสัมพันธ์กับคนในบ้าน ซึ่งไม่คุ้มกัน

เพราะถ้าเราพยายามจะทำทุกอย่าง จะเอาทุกอย่าง สุดท้ายเราอาจไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

ก็เลยทำให้ได้หันกลับมาคุยกับตัวเองอีกครั้ง ว่ามันจำเป็นจริงๆ มั้ยที่เราต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยแลกกับเวลาที่ได้อยู่กับลูกน้อยลง

และวัยเด็กของลูก ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก

คำตอบคือ ในระยะสั้น รายได้เราอาจจะเพิ่มขึ้น แต่มันไม่คุ้มค่ากันเลยในระยะยาว ที่เราต้องตามแก้ปัญหาเรื่องลูก

อีกบทหนึ่งที่โดนใจมากๆ คือ การที่เราไม่ลาออกจากงานประจำ ไม่ได้แปลว่าเราไม่กล้าออกจาก comfort zone

เพราะนิทาน comfort zone ที่เราได้ยินมา มักจะผูกติดกับเรื่องงานเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มันแทบไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์และเวลาให้ครอบครัว

มันไม่ง่ายเลยที่จะเลือกให้ความสำคัญกับครอบครัว ในขณะที่ทั้งโลกตะโกนบอกว่า เราต้องให้ความสำคัญกับการเติบโตในหน้าที่การงานและความมั่นคงทางการเงิน

สังคมยกย่องและให้คุณค่ากับคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กิจการใหญ่โต ยอดขายหลายล้านบาทต่อปี

แต่แทบไม่มีใครเลย ที่ออกมาปรบมือชื่นชม คนที่อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน คนที่กลับถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หรือคนที่สามารถรับ-ส่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน

ซึ่งจริงๆแล้ว ในมุมมองส่วนตัว การเลี้ยงลูกเนี่ยแหละ คือ การก้าวออกจาก comfort zone ครั้งที่ยิ่งใหญ่สุดในชีวิต ต้องเรียนรู้และรับมือกับพฤติกรรมของลูกที่นับวันจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับตัวเองแล้ว ถึงแม้จะทำงานประจำ แต่ก็ยังสามารถออกจาก comfort zone ทุกวัน ได้ด้วยการ

กล้ารับงานที่ท้าทายมากขึ้น
ออกกำลังกายทั้งๆที่ขี้เกียจ
FB Live ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าคนจะสนใจมั้ย
เขียนเพจ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะมีคนอ่านรึป่าว
อ่านหนังสือในเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เคยอ่าน

ทั้งหมดนี้ ก็คือ การก้าวออกจาก comfort zone ด้วยกันทั้งนั้น

และเรื่องสุดท้ายที่ชอบ ก็คือ หา “ช้าง” ของตัวเองให้เจอ

สิ่งที่คนอื่นมี การใช้ชีวิตที่ดูน่าอิจฉาของเพื่อน อาจไม่ใช่ สิ่งสำคัญ สำหรับเรา การที่เราไม่มีเท่าคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราขาด เพราะเราได้ค้นพบแล้วว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ “ช้าง” ของเรานั่นเอง

เพื่อนอาจจะแซงหน้าเราในบางเรื่อง แต่ในด้านที่เขาไม่ได้เปิดเผย เขาอาจจะตามเราอยู่ก็ได้

ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน จุดประสงค์จึงไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร แต่เป็นการประคับประคองตัวเองให้วิ่งได้จนจบการแข่งขัน

ถ้าเรามัวแต่กลัวว่าจะตามคนอื่นไม่ทัน และรีบเร่งฝีเท้า เราอาจจะเหนื่อยและหมดแรงก่อน

ทางที่ดีที่สุด คือ วิ่งในสปีดที่เหมาะกับตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร

ขอบคุณที่สละเวลาอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ

สารภาพตามตรงว่านี่เป็นหนังสือเล่มแรกในรอบหลายๆปีที่อ่านจบแบบรวดเดียว และอยากส่งข้อความมาหาผู้เขียน

หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอตัวจริง แลกเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิต และร่วมงานกันนะคะ

หมออร
พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล