ห้องตัวอย่างที่ไม่แต่งนั้นเล็กนิดเดียว

ห้องตัวอย่างที่ไม่แต่งนั้นเล็กนิดเดียว

ใครที่เคยคิดซื้อบ้านหรือซื้อคอนโด สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าชมห้องตัวอย่าง

คนที่ออกแบบห้องก็เก่งเหลือเกิน เลือกที่จะจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว รสนิยมก็เลิศหรูดูดี เห็นแล้วเราก็จินตนาการไปต่างๆ นานาว่าถ้าเราได้มาอยู่ในห้องแบบนี้ชีวิตเราจะดีแค่ไหน

แล้วพอเซลส์พาเราไปดูห้องเปล่า เรามักจะรู้สึกว่าทำไมห้องดูเล็กจัง

นับเป็นความย้อนแย้งอย่างหนึ่ง ที่ห้องที่มีของวางอยู่กลับดูใหญ่กว่าห้องโล่งๆ

หรือที่จริงแล้วความรู้สึกว่าเล็กหรือใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ขนาด” เท่ากับ “ความเป็นไปได้”

เมื่อมีของวางอยู่ในห้อง เราจะมองเห็นฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ห้องนี้จะทำให้เราได้ เราจึงรู้สึกว่าห้องมันใหญ่ ไม่เหมือนกับในห้องเปล่าที่วาดภาพได้ยากกว่า

ผมว่าห้องตัวอย่างเป็นอุปมาอุปไมยที่ดีของชีวิต

เพราะชีวิตเราเอาที่จริงก็ไม่มีอะไร ทำงานหาเงินวนไป หลายคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเบื่อๆ อยากๆ มีรูทีนซ้ำๆ ทุกวันก็อาจเคยถามตัวเองว่า “ตกลงชีวิตเรามีเพียงเท่านี้เองหรือ?”

เมื่อความเป็นไปได้ต่ำ ชีวิตก็เลยดูเล็กและคับแคบ

แล้วเราจะเพิ่มความเป็นไปได้ในชีวิตได้อย่างไร

ผมว่าหนึ่งคือทักษะที่เรามี และสองคือกิจกรรมที่เราทำ

ถ้าเราไม่เพิ่มทักษะอะไรให้ตัวเองเลย และไม่เปลี่ยนกิจกรรมใดๆ ในชีวิต สิ่งที่เราเจอและทำได้ในแต่ละวันย่อมซ้ำซาก

ทักษะอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาสั่งสมและเรียนรู้ แต่กิจกรรมนั้นเราแทบจะเปลี่ยนได้ทันที

ในหนังสือ What I Wish I Knew When I Was 20 ของ Teena Silig แนะนำไว้ว่าให้ไล่เรียงกิจวัตรแต่ละวันของเรา แล้วลอง “เขย่า” มันดู

เช่นถ้าเคยไปทำงานด้วยเส้นทางนี้ ก็ลองเปลี่ยนเป็นเส้นทางหรือเดินทางด้วยวิธีอื่น หรือถ้าเคยออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ก็ลองเปลี่ยนเป็นเดินหรือแม้กระทั่งไม่ออกกำลังกายดู

ผมเคยอ่านหนังสือตอนก่อนนอน สองวันมานี้ลองเปลี่ยนมาอ่านตอนเช้าก็รู้สึกว่าได้ฟีลไปอีกแบบ

เพราะกิจวัตรหรือนิสัยบางอย่างเราอยู่กับมันมานานจนอาจเกิดความยึดติด ว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ว่าแบบนี้แหละคือตัวเรา

เมื่อพาตัวเองออกจากความเคยชิน ก็จะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้รู้สึกอะไรที่ไม่เคยรู้สึก

ห้องตัวอย่างมันดูใหญ่และน่าอยู่เพราะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้

ชีวิตของเราจะกว้างใหญ่และน่าอยู่ หากเราเพิ่มความเป็นไปได้ให้กับมันครับ