นิทานโมสาร์ท

นิทานโมสาร์ท

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ชายหนุ่มคนหนึ่งขอเข้าพบโมสาร์ท คีตกวีแห่งยุคสมัย

“คุณโมสาร์ทครับ ผมอยากประพันธ์เพลงซิมโฟนี จึงอยากขอคำชี้แนะ”

“คุณยังเด็กเกินไปที่จะแต่งซิมโฟนี” โมสาร์ทตอบ

“แต่ผมอายุ 21 แล้วนะครับ เท่าที่ผมรู้มาคุณแต่งซิมโฟนี่ได้ตั้งแต่ตอน 10 ขวบแล้ว”

“ใช่ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เที่ยวขอความช่วยเหลือคนไปทั่วซักหน่อย”

อยากมีเวลามากขึ้นให้ออกกำลังกาย

อยากมีเวลามากขึ้นให้ออกกำลังกาย

เรื่องนี้มองได้ในสามประเด็น

ประเด็นที่หนึ่ง อายุเราจะยืนยาวขึ้น

ศูนย์วิจัยสุขภาพแห่งชาติของไต้หวัน ติดตามคนจำนวน 410,000 คนเป็นเวลา 8 ปี ผลการวิจัยชี้ว่าการออกกำลังกายวันละ 15 นาที ลดอัตราการเสียชีวิตได้ 14% ทำให้คนอายุยืนขึ้นโดยเฉลี่ย 1,002 วันหรือประมาณ 3 ปี

ถ้าคำนวณแบบซื่อๆ ออกกำลังกายวันละ 15 นาที ปีละ 365 วัน เป็นเวลา 8 ปี -> 15*365*8 = 43,800 นาที

1 ชั่วโมงมี 60 นาที หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง หรือ 24*60 = 1,440 นาที

ดังนั้น 43,800 นาทีจึงเท่ากับ 43,800/1,440 = 30.4 วัน

ออกกำลังกายไปทั้งหมด 30.4 วัน แต่อายุยืนยาวขึ้น 1,002 วัน

ROI ของการออกกำลังกายวันละ 15 นาทีจึงสูงถึง 1002/30.4 = 33 เท่าหรือ 3300%

.

ประเด็นที่สอง เราจะป่วยน้อยลง

เมื่อเราป่วย เราก็จะทำงานหรือออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ไปอย่างน้อยครึ่งวัน หรือบางทีก็หลายวันติดกัน

ถ้าเราออกกำลังกาย เราก็จะแข็งแรงขึ้น ช่วยลดโอกาสที่เราจะป่วย และเพิ่มเวลาที่เราจะได้ใช้ชีวิต

.

ประเด็นที่สาม เราจะมี “พลังงานดี” ล้นเหลือ

สำหรับคนที่อยาก productive สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่า time management คือ energy management

เวลาออกกำลังกาย เราจะหัวสมองปลอดโปร่ง พลังงานดี และมีสมาธิ

ภายในเวลาที่เท่ากัน ถ้าพลังงานเราดี เราจะสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ให้ลุล่วง (และหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง) ได้มากกว่าตอนที่พลังงานเราไม่ดี

เมื่อ Energy เราสูง จึงเท่ากับเรา “ยืดเวลา” ให้ยาวขึ้นได้ราวกับการเล่นกลของไอน์สไตน์

อยากมีเวลามากขึ้นให้ออกกำลังกายครับ


ขอบคุณเนื้อหาของประเด็นแรกจากหนังสือ สกิลขั้นเทพของนักบริหารเวลาที่รู้ใจสมอง ชิอน คาบาซาวะ เขียน พนิดา กวยรักษา แปล สำนักพิมพ์อมรินทร์ How to

คนที่รู้คุณคน

เช้านี้ผมได้ดูวีดีโอวัยเด็กของ Erling Haaland นักเตะทีมชาตินอร์เวย์

สำหรับคนที่ติดตามฟุตบอลจะรู้ว่าฮาแลนด์เป็นกองหน้าทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่กำลังเดินหน้าทำลายสถิติเป็นว่าเล่น

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ฮาแลนด์เพิ่งทำสถิติยิง 32 ประตูในพรีเมียร์ลีกเทียบเท่ากับที่ Mohamed Salah เคยยิงให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2017/2018

แต่ฤดูกาลนี้ยังเหลือแมทช์พรีเมียร์ลีกอีก 8 นัด ดังนั้นถ้าไม่เจ็บไปเสียก่อน ฮาแลนด์น่าจะทำลายสถิติของซาล่าห์ได้ไม่ยาก

ความคลาสสิคก็คือพ่อของฮาแลนด์ – อัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ ก็เคยเป็นนักเตะของแมนซิตี้และทีมชาตินอร์เวย์เช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ คือฮาแลนด์ดูเป็น “ผู้ใหญ่” กว่าผู้เล่นวัยเดียวกัน แม้จะเก่งระดับปีศาจแต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยอีโก้ เขาเป็นนักบอลที่ใจกว้าง ถ้าเห็นเพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ก็พร้อมจะส่งบอลให้เพื่อนยิงเสมอ

กลับมาที่วีดีโอของฮาแลนด์วัยเด็กที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้

หลังจบเกมทีมเยาวขน นักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ฮาแลนด์

(นักข่าว: “What’s your dad’s name?”)

ฮาแลนด์: “Alf-Inge Haaland”

นักข่าว: “That’s right. You’re named Erling and you scored two goals. Where did you learn this? From your dad?”

ฮาแลนด์: “I don’t know. By myself.”

นักข่าว: “He doesn’t get the credit for it?”

ฮาแลนด์: “No, but for everything else.”

นี่คือคำที่ออกจากปากเด็ก 13 ขวบ

ฮาแลนด์เป็นกองหน้า ส่วนพ่อของฮาแลนด์เคยเป็นกองกลางและกองหลัง ดังนั้นก็เข้าใจได้ว่าทำไมฮาแลนด์ถึงบอกว่าเขาฝึกฝนด้วยตนเองจนวันนี้ยิงได้ 2 ประตู

แต่เขาปิดท้ายว่า “…but for everything else” – ความหมายก็คือทุกอย่างที่เหลือที่ฮาแลนด์มีและเป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาได้มาจากพ่อทั้งนั้น

ถ้าผมเป็นอัลฟ์-อิงเก้ ผมคงปลื้มน่าดู ว่าเราไม่ได้แค่เลี้ยงลูกให้เป็นนักฟุตบอลที่ดี แต่เรายังเลี้ยงลูกให้เป็นคนที่ใช้ได้อีกด้วย

เวลาชีวิตกำลังไปได้สวย เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันเกิดจากฝีมือของเราล้วนๆ

แต่มนุษย์ไม่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเดี่ยว เก่งและขยันคนเดียวไม่อาจบินสู่ที่สูง คนหนึ่งคนจะสำเร็จได้ต้องอาศัยใครบางคนเป็นลมใต้ปีกเสมอ

หากเรารู้คุณคน เราจะไม่ลืมตน และไม่ลืมคนสำคัญที่ทำเพื่อเราตลอดมาครับ

เขียน To Do List ลงกระดาษด้วยลายมือบรรจง

เทคนิคหนึ่งที่ผมเริ่มทำในช่วงปิดสงกรานต์ คือการกลับมาเขียน To Do List

จริงๆ แล้ววันหยุดไม่ต้องเขียน To Do List ก็ได้ เพราะไม่มีอะไรให้ทำมากขนาดนั้น แต่เมื่อทำแล้วพบว่ามีประโยชน์ เลยอยากมาเล่าให้ฟัง

“เขียน To Do List ลงกระดาษด้วยลายมือบรรจง” มีสามองค์ประกอบ

1. เขียน To Do List – เป็นการสร้างเจตนาและจุดมุ่งหมายว่าวันนี้ – หรือ 10 นาทีต่อจากนี้ – เราจะทำอะไรบ้าง มันช่วยให้เรามีทิศทางที่เราจะมุ่งไป เป็นเหมือน GPS ที่ช่วยให้เราไม่หลงไปกับ distractions ต่างๆ

2. ลงกระดาษ – หลายคนใช้ To Do List app หรือจดลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่เรา capture ทุกอย่างที่เข้ามาในหัวได้ (ตามแบบฉบับ Getting Things Done ของ David Allen) แต่ผมค้นพบว่าการเขียนลงกระดาษอีกครั้งช่วยให้สิ่งที่เราจะทำมันจับต้องได้มากกว่า และมีปริมาณที่สมเหตุสมผลมากกว่า เพราะกระดาษนั้นมีพื้นที่จำกัด ไม่เหมือน application ที่เขียนอะไรได้ไม่จำกัด ซึ่งไม่สอดคล้องกับ finitude ในตัวเรา

3. ด้วยลายมือบรรจง – ผมเป็นคนลายมือหวัดเป็นทุนเดิม เวลาเขียน To Do List ความคิดมักจะโลดแล่นเลยทำให้เขียนแต่ละเรื่องแบบเร็วๆ และอ่านยาก แต่ผมค้นพบว่าการเขียนแต่ละข้อให้ช้าลง มี verb+object ชัดเจน ด้วยความตั้งใจและให้อ่านง่าย มันสร้างความ “หนักแน่น” และ “รอบคอบ” ให้กับสิ่งที่เราจะทำ ซึ่งส่งผลให้ตอนลงมือทำจริงนั้นหนักแน่นและรอบคอบตามไปด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า How you do anything is how you do everything.

วันนี้วันแรกของการกลับมาทำงานของหลายคน

ขอให้ทำงานอย่างมีความสุขและมีสติตลอดวันครับ

หาความรู้แบบสล็อตแมชชีน

ผมมักจะตั้งคำถามอยู่เสมอว่า เวลาเราหยิบมือถือขึ้นมา เรากำลังมองหาอะไร

แน่นอนว่าบางครั้งก็มีจุดหมายแน่ชัด คือเอาไว้สื่อสารและทำงาน

แต่หลายครั้งเราทำไปเพราะความเคยชิน หรือเพราะคนรอบตัวเล่นมือถือ เราก็เลยต้องหยิบขึ้นมาเล่นบ้างเพื่อหลบหลีกความอึดอัด

เมื่อเข้ามือถือโดยไม่มีจุดหมายแน่ชัด นิ้วโป้งที่ไถไปจึงคล้ายคันโยกบนสล็อตแมชชีน สายตาคอยจับจ้องว่าจะเจอแจ็คพ็อตบ้างหรือไม่

แจ็คพ็อตสำหรับบางคนคือความบันเทิง และสำหรับบางคนคือความรู้

การเข้ามือถือเพื่อความบันเทิงคงไม่ต้องอภิปรายมากนัก มันคงคล้ายกับการดูทีวีสมัยก่อนที่กดไล่ช่องไปเรื่อยๆ จนเจอสิ่งที่น่าสนใจ

แต่การเข้ามือถือเพื่อหาความรู้ ผมว่าเป็นเรื่องน่าพูดคุย

สมัยก่อน ถ้าเราอยากรู้เรื่องอะไร เราก็จะไปถามคนที่รู้เรื่องนั้น หรือเข้าห้องสมุดเพื่อค้นคว้า

คำถามมาก่อน แล้วเราจึงออกหาคำตอบทีหลัง

สมัยนี้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยากรู้เรื่องอะไร เราแค่ไถฟีดไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะได้อ่าน-ได้ดูบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เราฉลาดและเข้าใจโลกมากกว่านี้

การอ่านโซเชียลเพื่อได้ความรู้ จึงเป็นการได้คำตอบโดยที่เราไม่ได้ตั้งคำถาม เพราะมีคน (จริงๆ คือ AI) ถามและตอบมาให้แล้วเสร็จสรรพ

วิธีการแบบนี้ก็สะดวกดี แต่ก็มีสิ่งที่ควรระวังอยู่ 2-3 ประการ

หนึ่ง คำตอบที่ได้มามีความสะเปะสะปะ ไม่เป็นองค์รวม ต่อยอดลำบาก คล้ายกับเบี้ยหัวแตกที่เอาไปซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้

สอง คำตอบมักจะมาแบบสั้นๆ ย่อยมาแล้วให้เข้าใจง่าย (เพราะยิ่งง่ายคนยิ่งแชร์เยอะ) คำตอบเหล่านี้จึงอาจไม่ได้ทำให้เราลุ่มลึกขึ้นเท่าไหร่ เราอาจกลายเป็นคนที่รู้กว้างแต่ไม่กระจ่างสักอย่างเดียว

สาม เมื่อถูกป้อนคำตอบจนเคยชิน เราอาจสูญเสียความสามารถในการตั้งคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่สำคัญสำหรับชีวิต

เมื่อเราไม่อาจเลิกเล่นมือถือได้ง่ายๆ วิธีลดความเสี่ยงที่กล่าวมา คือแทนที่จะหาความรู้แบบสล็อตแมชชีน เราควรหาความรู้แบบอ่านหนังสือพิมพ์

ยุคที่หนังสือพิมพ์เฟื่องฟู เราจะรู้เลยว่าจะเปิดไปหน้าไหนก่อน

อย่างผมถ้าได้ไทยรัฐมา ผมจะหยิบท่อนสองขึ้นมาดูหน้าแรกเพื่ออ่านข่าวกีฬา จากนั้นถ้าอยากดูโปรแกรมหนังก็เปิดสองหน้าจากด้านหลังแล้วอ่านหน้าซ้าย ถ้าอยากอ่านคอลัมน์กิเลน ประลองเชิง (และก่อนหน้านั้นคือมังกรห้าเล็บ) ก็จะอยู่ในหน้าแรกๆ มุมขวาล่าง

หนังสือพิมพ์อีกฉบับที่ผมเคยเป็นแฟนเหนียวแน่น คือมติชนวันอาทิตย์หน้า 14 ที่แนะนำให้ผมรู้จักกับประภาส ชลศรานนท์ ‘ปราย พันแสง บินหลา สันกาลาคีรี เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย และบัวไร

เราสามารถใช้มือถือแบบเดียวกันได้ คือตั้งเป้าก่อนว่าอยากอ่านงานเขียนของใคร แล้วก็เข้าไปที่หน้าของเขาเลย พี่ที่ผมเคารพนับถือคนหนึ่งก็ใช้โซเชียลมีเดียแบบนี้ คือไม่ได้เป็น friend กับใคร แต่จะเข้าเพจของสื่อที่เขาเชื่อมั่นเพื่อติดตามความเป็นไปของโลก

แน่นอนว่าวิธีแบบนี้ย่อมขัดกับความเคยชิน แต่ก็เป็นเทคนิคที่ควรพิจารณา ยิ่งเดี๋ยวนี้ algorithm ชอบส่งอะไรมาเต็ม home feed ไปหมด

ใช้มือถือหาความรู้แบบอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่แบบเล่นสล็อตแมชชีน

เพราะเราไม่ควรปล่อยให้สติปัญญาเติบโตไปตามยถากรรมครับ