บางทีเราก็แค่ต้องเลิกขัดขาตัวเอง

การทำสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตบางทีมันก็ยากลำบากเหมือนกัน

ยิ่งโปรเจ็คนั้นมีความหมายมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งกลัวจะผิดหวังมากเท่านั้น

เราจึง “หลบซ่อน” ด้วยการ “ทำการบ้าน” เยอะๆ อ่านโน่นอ่านนี่ ถามคนนั้นคนนี้ ทำทุกอย่างเพื่อประวิงเวลาให้ไม่ต้องเริ่มต้นตัวโปรเจ็คจริงๆ เสียที

อุปสรรคที่สำคัญที่สุดจึงไม่ใช่ความยากลำบากในตัวงาน แต่เป็นความขี้กลัวในตัวเรา

เมื่องานสำคัญมันไม่เกิด เราก็จะต่อว่าตัวเองว่าเรานี่ช่างไม่มีวินัย ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความกล้าหาญ เราจึงวางโปรเจ็คนั้นลงและหันเหความสนใจไปทำสิ่งอื่นๆ พอขึ้นปีใหม่หรือได้ดูคลิปสร้างแรงบันดาลใจ เราก็เอาโปรเจ็คนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น เป็นวังวนอยู่อย่างนี้

บางทีอาจมีทางเลือกที่ดีกว่า หากเราเลิกคาดหวังว่ามันจะต้องดีเลิศ และเลิกมองว่าเราคือตัวเอกของละคร

แทนที่จะมองว่าเราต้อง motivate ตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ ลองมองว่าสิ่งต่างๆ มันจะเกิดขึ้นตามครรลองอยู่แล้วถ้าเราไม่มัวขัดขาตัวเองอยู่

แทนที่จะถามว่า “เราต้องทำยังไง” (How do I do this?)

ลองถามว่า “อะไรต้องเกิดขึ้นโดยมีเราเป็นตัวกลาง?” (What needs to happen through me?)

เมื่อเอา “ตัวกู” ออกจากสมการ และใช้ร่างกายและจิตใจของเราเป็นเพียงแค่ทางผ่านของการกระทำ

สิ่งดีๆ และมีคุณค่าอาจเกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่ต้องคาดคั้นกับตนเองจนเกินไปครับ


ขอบคุณประกายความคิดจาก Oliver Burkeman: The Imperfectionist: In Your Own Way

ชีวิตจะเปลี่ยนเรา ไม่ใช่เราเปลี่ยนชีวิต

ในบทความ “17 ความลับของฟ้าจาก “พี่เล้ง” ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร” ที่ผมเขียนไว้เมื่อเดือนที่แล้ว มีข้อ 14 ที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับคนอยากประสบความสำเร็จ

“คนเราเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เกรดเฉลี่ยพอๆ กัน ฐานะไม่ต่างกัน ผ่านไป 20 ปี สองคนนี้จะสำเร็จเท่ากันหรือไม่?

คนที่จบมาเกรดเฉลี่ยต่ำ จะสำเร็จน้อยกว่าคนที่จะจบเกียรตินิยมหรือไม่?

คนทำงานมานานย่อมรู้คำตอบดี

พี่เล้งบอกว่า การศึกษา ความฉลาด ฐานะ ความขยัน ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จ

คนบางคนถนนยิ่งเดินยิ่งกว้าง แต่คนบางคนถนนยิ่งเดินยิ่งแคบ จากถนนกลายเป็นซอย จากซอยกลายเป็นซอยตัน

ถ้าสังเกตธรรมชาติ เราจะเห็นว่าสัตว์ตัวที่แข็งแกร่งที่สุด (alpha male) ไม่ได้เป็นผู้นำเสมอไป แต่เป็นกลุ่มที่ฉลาดที่สุดและเก่งที่สุดที่จะได้เป็น leader

ปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จก็คือ network หรือคนที่รายล้อมตัวเรา เพราะเราจะเลียนแบบคนใกล้ตัวเราโดยไม่ตั้งใจ ถ้าแม่เป็นคนจู้จี้ขี้บ่น โตขึ้นมาเราก็จะกลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นเหมือนกัน

เพื่อนที่ดี 1 คนจึงมีคุณค่ายิ่งกว่าหนังสือ 50 เล่ม เพราะการอ่านหนังสือไม่ได้เปลี่ยนเรา แต่ถ้าเพื่อนชอบออกกำลังกาย ก็จะชวนเราไปออกกำลังกายด้วย หรือถ้าเพื่อนชอบปาร์ตี้เราก็จะกลายเป็น party animal ไปด้วยเช่นกัน”


ในหนังสือ “อะไรทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าเมื่อวาน” คิมจงวอนก็บอกไว้ว่าชีวิตคนเรานั้นประกอบด้วยปัจจัยหลักๆ ห้าอย่างด้วยกัน

  1. สภาพแวดล้อม
  2. ผู้คนที่เราพบ
  3. วิธีการใช้เวลา
  4. ทัศนคติที่มีต่อภาษา
  5. วิธีคิด

เมื่อ 5 สิ่งนี้เปลี่ยนไป ชีวิตจะเปลี่ยนตามไปด้วย

เพราะคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเลิกบุหรี่หรือลดน้ำหนัก ล้วนเป็นเรื่องยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

แต่ถ้าเราเปลี่ยนปัจจัยห้าข้อด้านบน โดยเฉพาะสามข้อแรกที่เปลี่ยนได้ง่ายกว่า เราจะมี “ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป” และทำให้เรามีชีวิตที่ต่างจากเดิมได้ไม่ยาก

“ชีวิตจะเปลี่ยนเรา ไม่ใช่เราเปลี่ยนชีวิต”

ถ้าเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถูกต้อง เปลี่ยนสภาพแวดล้อมและคนที่รายล้อมเราให้เหมาะสม เรือชีวิตของเราก็เหมือนกับล่องอยู่เหนือลมแล้วครับ

พร 38 ประการจากหนังสือ อะไรทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าเมื่อวาน

1.เราไม่ควรกลัวความตาย แต่ควรกลัวการตายทั้งเป็นจากการปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย

2.ถ้าเราจดจำไว้เสมอว่าเราอาจตายเมื่อไรก็ได้ อะไรที่ทำได้ยากก็จะลงมือทำได้ง่ายขึ้น

3.ความมุ่งมั่นตั้งใจเพียงอย่างเดียวก็อาจยังล้มเหลวได้ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจแบบมีปัญญาเป็นตัวนำทางด้วย

4.เมื่อไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ เราจะเรียกร้องจากคนรอบข้างมากเกินไป

5.จงทิ้งความคิดที่ว่าจะจ่ายเงินเพื่อซื้อเวลา แต่จงใช้ชีวิตในแบบที่ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็ซื้อชีวิตแบบนี้ไม่ได้

6.ความชอบใจของคนอื่น สุดท้ายก็จะจบสิ้น แต่ความชอบใจที่มีให้ตัวเองนั้นจะคงอยู่ตลอดไป

7.อย่ากลัวที่จะตั้งคำถาม อย่าลืมว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องธรรมดาในตอนนี้มาจากคำถามไร้สาระในอดีต

8.ปรับมาตรฐานความพึงพอใจของตัวเองเสียใหม่ หากอยากลดน้ำหนักก็จงบอกตัวเองว่า “ฉันจะพึงพอใจที่สุดเวลาที่ตัวเองรู้สึกหิวเล็กน้อย”

9.ทุกครั้งที่รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่า “ทำไมฉันต้องกินจนรู้สึกไม่ดีกับตัวเองด้วยล่ะ ฉันกินเพื่อให้มีความสุขไม่ใช่เหรอ”

10.ความรู้ที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริงเป็นเพียงเครื่องประดับราคาแพงที่ขายไม่ออกเท่านั้น

11.การเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าหรือความสำเร็จ แต่มันคือการเพิ่มความเป็นไปได้ที่เราจะมีชีวิตในแบบที่เราต้องการ

12.ความพยายามของคนเราไม่ต่างกันมากนัก ผลสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับว่าเราทำสิ่งนั้นบ่อยแค่ไหน และจดจ่อกับมันได้นานเพียงใด ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยการจดจ่อและทำซ้ำหลายๆ ครั้ง

13.ในโลกนี้ไม่มีอะไรเล็กน้อย ทุกการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ แล้วขยายใหญ่ขึ้นเสมอ เราจึงควรจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างระมัดระวัง เพราะมันทำให้เราดีขึ้นได้หรืออาจเหยียบเราให้จมดินก็ได้เช่นกัน

14.ความอิจฉาแสดงให้เห็นว่าตัวเองอยู่ในระดับต่ำ เราต้องหลีกเลี่ยงการมีชีวิตอยู่เพื่ออิจฉาคนอื่นไปเรื่อยๆ จนตาย

15.เมื่อไหร่ที่เราผิดหวังกับคนอื่นบ่อยๆ นั่นแสดงว่าเราไม่รู้วิธีมองคนที่ถูกต้อง

16.เวลาจะตัดสินใครให้มองตาของเขานานๆ เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่บ่งบอกปัญญาของคนคนนั้นซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยวิธีใดๆ บางคนมีรูปลักษณ์ภายนอกหรูหรา แต่ดวงตากลับไร้ชีวิตชีวาเหมือนคนกำลังจะตาย

17.จงหลีกให้ไกลคนโง่ จงหลีกให้ไกลคนที่ทำให้ใจเราเจ็บ โจรที่ร้ายที่สุดไม่ใช่โจรที่ขโมยเครื่องประดับราคาแพง แต่เป็น “คนโง่” ที่ขโมยเวลาจากเราไป

18.ความใส่ใจเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรื่องของมารยาท

19.หากอยากมีเวลาที่สวยงาม เพียงค้นหาสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็พอ และถ้าอยากลดความเป็นไปได้ของเราให้เหลือศูนย์ เพียงค้นหาสิ่งที่ทำไม่ได้ตอนนี้แล้วแค่บ่นก็พอ

20.ยิ่งแผนการเรียบง่ายมากเท่าไร โอกาสสำเร็จยิ่งมีมากเท่านั้น

21.หากเรารักตัวเองและใส่ความรักนั้นลงไปในทุกการกระทำ แล้วผลลัพธ์จะออกมาแย่ได้อย่างไร

22.จงทำงานเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อองค์กร อย่าเป็นทาสของชีวิตที่ทนอยู่เพราะไม่มีที่ไป แต่จงเป็นจิตกรของชีวิตที่อยู่ต่อไปเพื่อสร้างคุณค่า แม้จะมีที่อื่นให้ไปเยอะแยะก็ตาม

23.การจัดการเวลาให้มีคุณภาพเริ่มต้นที่คำถามว่า “ต้องทำอย่างไรถึงจะทำได้” ไม่มีเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์ใดร่วมมือกับคนที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้

24.ทำไมเราถึงใช้คำที่แย่ที่สุดกับตัวเองเสมอ แถมยังโรยเกลือลงบนแผลอีกต่างหาก

26.เราจะได้ในสิ่งที่ต้องการเมื่อภาษากับชีวิตของเราสอดคล้องกัน เพราะคนเราทำสิ่งต่างๆ ตามภาษาที่ฝังลึกอยู่ภายในโดยไม่รู้ตัว การค้นหาและควบคุมภาษาที่เราใช้จึงสำคัญมาก เพราะคำพูดคือโลกที่เราสร้างขึ้น และสุดท้ายเราจะมีชีวิตตามที่เราพูด

27.เคล็ดลับชนะใจคนคือการมอบความรักให้เขาราวกับคนรักตอนรักกันใหม่ๆ จงโอบกอดเขาอย่างอบอุ่นด้วยคำพูดของเรา

28.ถ้ายอมรับแต่สิ่งที่เหมือนเรา ความเจริญทางปัญญาจะไม่เกิดขึ้น ตลอดจนยากที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นร้อยปีก็ตาม

29.ถ้าฝันถึงการเปลี่ยนแปลงเราต้องไม่กลัวเรื่องการพ่ายแพ้ และต้องไม่หาเหตุผลอื่นมาทำให้ความล้มเหลวกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

30.”ทำไมโลกไม่เข้าใจฉันเลย” หลายคนพูดแบบนี้ ทว่าโลกเองก็ลำบากใจเหมือนกัน คนมากมายยืนเรียงรายกันอยู่ เป็นการยากที่โลกจะแยกแยะว่าใครดีกว่าใคร เราต้องทำให้เกินกว่าที่โลกคาดไว้ โอกาสดีๆ จึงจะมาถึง

31.ถ้ามองสถานการณ์ไปในทางบวก เราจะค้นพบลู่วิ่งของตัวเอง

32.ความต่างระดับของมุมมองคือความต่างระดับของชีวิต

33.คนที่สร้างสรรค์ย่อมไม่รู้จักความเหนื่อยล้า คนที่ทำสิ่งที่ไม่ชอบไปเรื่อยๆ ย่อมไม่รู้จักความเพลิดเพลิน

34.รักษาหัวใจที่เป็นเด็กไว้ให้ได้นานๆ ดีกว่าเป็นผู้ใหญ่แบบที่โลกกำหนด

35.ถ้าเราเป็นหุ้น เราจะลงทุนกับตัวเองด้วยทรัพย์สินที่มีทั้งหมดหรือไม่?

36.คนจำนวนมากที่เรารู้จักไม่ใช่เส้นสายของเรา คนจำนวนน้อยที่รู้จักเราต่างหากคือเส้นสายที่จะช่วยเหลือเราได้จริงๆ

37.สิ่งที่เราขาดไปไม่ใช่โอกาส แต่เป็นการเตรียมพร้อมที่จะคว้ามันไว้

38.อย่าหลีกหนีความเจ็บปวดของตัวเอง จงเผชิญหน้าและครุ่นคิดอย่างจริงจัง จงทะเลาะกับตัวเองในอดีตและปัจจุบันจนกว่าชีวิตจะค่อยๆ ดีขึ้น


ขอบคุณพรจากหนังสือ อะไรทำให้ชีวิตเราดีกว่าเมื่อวาน คิมจองวอน เขียน อาสยา อภิชนางกูร แปล สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู

หากเรายุ่งเกินไป แสดงว่าเรายังกำหนดคุณค่าหลักของชีวิตไม่ได้

“ในบรรดาคนที่ผมเคยพบเจอ คนที่ทำงานสำเร็จมากกว่าคนอื่นกลับมีชีวิตที่เรียบง่าย ยิ่งกว่านั้น พวกเขาใช้เวลาแต่ละวันอย่างผ่อนคลายกว่าคนที่ใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป รวมทั้งยังเพลิดเพลินกับเวลาพักผ่อนด้วย อาจมีหลายเหตุผลให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้ แต่หัวใจสำคัญคือ ‘แทบไม่มีอะไรให้เลือก’

ความจริงข้อนี้สำคัญมาก เพราะการมีอะไรให้เลือกเยอะอาจบ่งบอกว่าเรายังกำหนดคุณค่าหลักของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นคนที่มีทิศทางชีวิตที่ชัดเจนจะผ่อนคลายมากที่สุดและเคลื่อนตัวไปตามทางที่เรียบง่ายที่สุด เคล็ดลับในการทำงานให้สำเร็จจำนวนมากโดยไม่ยุ่งก็อยู่ตรงนี้ คำว่า ‘ฉันไม่มีเวลาเพราะยุ่งมาก’ พวกเขาจะได้ยินเป็น ‘ฉันยังกำหนดทิศทางของตัวเองที่แน่ชัดไม่ได้'”

– คิมจงวอน หนังสือ ‘อะไรทำให้ชีวิตเราดีกว่าเมื่อวาน’


อ่านคำของคิมจงวอนแล้วทำให้ผมนึกถึงคำนำที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือช้างกูอยู่ไหน:

“ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม เคยเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง

ว่ากันว่ามีช่างไม้ที่แกะสลักไม้เป็นรูปช้างได้เหมือนจริงมาก ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงดั้นด้นไปหาช่างไม้คนนั้นที่รังสรรค์งานอยู่ในกระท่อมกลางป่า

เมื่อได้เจอช่างไม้ ชายหนุ่มจึงถามถึงเคล็ดลับในการแกะสลักช้าง

ช่างไม้ตอบว่า

“ก่อนอื่นเราต้องมีไม้ที่ดีก่อน เมื่อได้ไม้ที่ดีแล้ว เราก็แกะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป”

ก็เท่านั้นเอง

ไม้คือคอนเซ็ปต์ที่ดี มันจะมาพร้อมกับข้อจำกัดของมันอยู่แล้ว เช่นถ้าไม้ขนาดเท่าท่อนแขน เราก็ไม่สามารถแกะให้ช้างใหญ่กว่าท่อนแขนได้อยู่แล้ว

เมื่อได้คอนเซ็ปต์ที่ดีแล้ว เราก็ต้องหาช้างของเราให้เจอ ด้วยการกระเทาะส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่อคนวัยสามสิบต้นๆ ถึงสี่สิบกลางๆ

วัยที่กำลังสร้างครอบครัว มีการงานที่มั่นคง หลายคนเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหาร มีลูกน้องต้องดูแล หลายคนมีเงินเก็บหลายแสนหรือแม้กระทั่งหลายล้านบาท อะไรๆ กำลังไปได้สวย

แต่ถึงกระนั้นกลับรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข

อาจเพราะมีเงิน แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน มีงานที่ดี แต่งานก็ดึงพลังชีวิตไปมากมายเสียจนกระทบความสัมพันธ์

ถ้าวัยยี่สิบกว่าๆ คือวัยแห่งการเรียนรู้และเติมเต็ม ผมคิดว่าวัยสามสิบกว่าๆ คือวัยแห่งการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต

เพราะถ้าเราพยายามจะทำทุกอย่าง จะเอาทุกอย่าง สุดท้ายเราอาจไม่เหลืออะไรเลยซักอย่าง

เราวกวนว้าวุ่นโดยไม่มีเวลาหยุดพัก รู้ตัวอีกทีก็พบว่าช้างของเราหายไปไหนก็ไม่รู้

แต่ถ้าเราหยุดวิ่ง และหันมาสำรวจตัวเอง ว่าอะไรบ้างที่มีความสำคัญกับเราอย่างแท้จริง เราก็จะพบว่าช้างนั้นอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว

ขอให้คุณผู้อ่านโชคดีกับการหาช้างของตัวเองให้เจอครับ

อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์
กุมภาพันธ์ 2562


สำหรับคนที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้วยังรู้สึกว่ายังรุ่มร้อนลุกลน อาจเป็นไปได้ว่าเรายังไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดให้เพียงพอว่า “ช้างของเรา” หน้าตาเป็นอย่างไร

สำหรับคนที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้วยังรู้สึกว่ายังรุ่มร้อนลุกลน อาจเป็นไปได้ว่าเรายังไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดให้เพียงพอว่า “ช้างของเรา” หน้าตาเป็นอย่างไร

หากเข้าใจตนเองแน่ชัดว่าสิ่งที่เราให้ความสำคัญคือเรื่องอะไร เรื่องที่ต้องทำและต้องตัดสินใจก็จะเหลือเท่าที่จำเป็น และความซับซ้อนวุ่นวายในชีวิตจะน้อยลงครับ

นิทานกระเป๋าสตางค์

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

ระหว่างที่กำลังเดินไปโบสถ์ ยาจกคนหนึ่งเจอกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินสด $700 เหรียญตกอยู่บนทางเท้า

เมื่อเขาไปถึงโบสถ์ ก็เห็นป้ายประกาศว่าสมาชิกโบสถ์คนหนึ่งซึ่งเป็นคนดังและร่ำรวยระดับเศรษฐีทำกระเป๋าสตางค์หาย ในประกาศแจ้งว่า หากใครเอากระเป๋าสตางค์มาคืน จะได้ค่าตอบแทนน้ำใจ $100

ยาจกจึงนำกระเป๋าไปคืนให้เศรษฐีกับมือ

เศรษฐีเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วนับเงิน ก่อนจะพูดเปรยๆ ว่า

“คุณเอาเงินรางวัลไปแล้วสินะ”

“ว่าไงนะครับ?” ยาจกไม่เข้าใจ

“กระเป๋าตังค์ผมมีเงิน $800 ตอนที่ผมทำมันหาย”

แล้วทั้งสองก็ถกเถียงกัน เมื่อไม่ได้ข้อยุติ จึงไปหาบาทหลวงให้ช่วยตัดสิน

ทั้งสองต่างเล่าเรื่องในมุมของตัวเองให้บาทหลวงฟัง แล้วเศรษฐีก็รวบรัดตัดความว่า

“ผมหวังว่าคุณพ่อจะเชื่อผมนะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว” บาทหลวงตอบ เศรษฐีแสยะยิ้ม ยาจกคอตก

แล้วบาทหลวงก็ยื่นกระเป๋าตังค์ให้ยาจก

“คุณพ่อทำอะไรครับเนี่ย?!” เศรษฐีถามเสียงดัง

บาทหลวงจึงตอบว่า

“ลูกเป็นคนซื่อตรง ในเมื่อลูกบอกเองว่ากระเป๋าตังค์ใบนี้มีเงิน $800 พ่อก็เชื่อลูก แต่ถ้าชายคนนี้เป็นคนขี้โกหกและขี้ขโมยอย่างที่ลูกกล่าวหา เขาก็คงไม่เอากระเป๋าสตางค์มาคืนลูกตั้งแต่แรก นั่นแสดงว่ากระเป๋าใบนี้น่าจะเป็นของคนอื่น ถ้าเจ้าของกระเป๋าใบนี้แสดงตัว เขาก็จะได้กระเป๋าคืน แต่ถ้าไม่มีใครแสดงตัว กระเป๋าใบนี้ก็ย่อมตกเป็นของคนที่พบมัน”

“แล้วเงินของผมล่ะครับ?!” เศรษฐีถาม

“ก็คงต้องรอจนกว่าจะมีคนเจอกระเป๋าสตางค์ที่มีเงิน $800 กระมัง”


ขอบคุณนิทานจากเพจ Accidental Talmudist