Pic & Pause: บิ๊กแม็คสุดท้ายในไอซ์แลนด์

วันนี้วันศุกร์ ไม่มีนิทาน แต่มีภาพถ่ายมาให้ดูนะครับ

คนไอซ์แลนด์ไม่ค่อยชอบกินฟาสต์ฟู้ด ครั้งหนึ่งเคยมีแม็คโดนัลด์มาเปิดที่ไอซ์แลนด์อยู่ 3 สาขา แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องปิดตัวไปทั้งหมด

แม็คโดนัลด์สาขาสุดท้ายในไอซ์แลนด์ปิดตัวลงไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2009 แสดงว่าชาวไอซ์แลนด์ไม่ได้กินบิ๊กแม็คหรือเฟรนช์ฟรายสุดอร่อยมาเกือบ 13 ปีแล้ว

ภาพที่เห็นคือชีสเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายที่นาย Hjörtur Smárason ซื้อไว้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม หนึ่งวันก่อนการปิดตัวสาขาสุดท้าย

“ผมได้ยินเค้าลือกันว่าเบอร์เกอร์ของแม็คโดนัลด์ไม่เคยเน่าเปื่อย ผมเลยอยากทดลองดูหน่อย”

Smárason เก็บเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายเอาไว้ถึง 3 ปีในโรงเก็บรถ พอเห็นว่าสภาพยังค่อนข้างดีอยู่ ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เก็บไว้ค้างคืน จึงนำไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของไอซ์แลนด์ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ก็รับไว้และตั้งแสดงอยู่หลายปี

แต่แล้วทางพิพิธภัณฑ์ก็ตัดสินใจว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะดูแลวัตถุทางประวัติศาสตร์จำพวกอาหารได้ จึงส่งบิ๊กแม็คคืนให้กับเจ้าของ

“ผมว่าพวกเขาเข้าใจผิดนะ เขาไม่จำเป็นต้องดูแลแฮมเบอร์เกอร์เลย เพราะแฮมเบอร์เกอร์มันดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว”

Smárason ส่งเบอร์เกอร์ไปตั้งโชว์ที่ล็อบบี้โรงแรมของเพื่อนชื่อ Snotra House

จนกระทั่งวันนี้ ทั้งแฮมเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายไม่มีเชื้อราขึ้นแม้แต่น้อย แม้เวลาจะล่วงเลยมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม


ขอบคุณข้อมูลจาก Snotra House: Last McDonalds

วิถีของเพนกวินจักรพรรดิ

พอดีเมื่อคืนนี้ผมได้อ่านหนังสือ “Life วิธีใช้ชีวิตที่มนุษย์ไม่รู้” ของสำนักพิมพ์วีเลิร์น

เป็นหนังสือกึ่งการ์ตูนที่เขียนโดย อาโซ ฮาโระ (Aso Haro) นักวาดมังงะ Alice in Borderland และ ชิโนฮาระ คาโอริ (Shinohara Kaori) ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “โอตาคุสิ่งมีชีวิต”

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องวิถีชีวิตของสัตว์ 20 สายพันธุ์ ที่มนุษย์สามารถเรียนรู้จากพวกมันได้

บางอันก็เป็นตัวอย่างที่ดี บางอันก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี

ผมชอบเรื่องวิถีของเพนกวินจักรพรรดิเป็นพิเศษ แม้ว่าอ่านจบแล้วจะถามตัวเองว่า “มันจริงเหรอว้า” และพยายามหาข้อมูลในเน็ตแล้วก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

แต่ขอหยิบยกมาเล่าให้ฟัง เผื่อคุณผู้อ่านจะช่วยผมเช็คข้อมูลด้วยเช่นกันนะครับ

เพนกวินจักรพรรดิ (Emperor Penguin) เป็นเพนกวินที่อยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาตรงขั้วโลกใต้ เมื่อโตเต็มวัยอาจสูงถึง 1.5 เมตร พวกมันจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์

เพนกวินเป็นสัตว์โลกน่ารัก ดูไม่มีพิษไม่มีภัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ล้วนหลงรัก

แต่เบื้องหลังหน้าตาที่แสนจะน่าเอ็นดูนั้น มีเพนกวินสายพันธุ์หนึ่งที่จะถีบเพื่อนตัวเอง 1 ตัวตกทะเล ก่อนที่ทั้งฝูงจะโดดลงไป!

สาเหตุที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์ว่าในน้ำมีสัตว์อันตรายอย่างปลาวาฬเพชฆาตซุ่มรออยู่หรือไม่

หากเพนกวินที่ถูกถีบตกทะเลโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย เพนกวินตัวที่เหลือก็จะโดดลงทะเลได้อย่างสบายใจ

นี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณของเพนกวินที่มองว่า ต้องสละส่วนน้อยเพื่อคน (เพนกวิน) ส่วนใหญ่

เพนกวินตัวที่ถูกถีบจะเป็นเพนกวินหัวแถวตัวที่อยู่ใกล้ทะเลที่สุดเสมอ

พวกมันสอนให้เรารู้ว่า การเดินอยู่หัวแถวนั้นมาพร้อมกับความอันตราย

แต่ในขณะเดียวกัน เพนกวินที่ลงทะเลเป็นตัวแรกก็จะเป็นตัวที่ล่าเหยื่อได้มากที่สุดเช่นกัน คนที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆ จึงมักถูกเรียกว่า “First Penguin” (ในหนังสือวาดเป็นรูปสตีฟ จ๊อบส์เปิดตัวไอโฟน)

ชีวิตเราก็โหดร้ายอย่างนี้ – high risk / high return

คนเด่นจะเป็นภัย แต่คนเด่นนี่แหละที่จะเปลี่ยนโลกครับ


ป.ล. ถ้าตัวแรกที่ถูกถีบตกลงไปถูกปลาวาฬเพชฆาตกิน เพนกวินที่เหลือจะยืนรอสักพัก ก่อนจะถีบอีกตัวลงไปแล้วรอดูสถานการณ์

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ LIFE วิธีใช้ชีวิตที่มนุษย์ไม่รู้ ผู้เขียน: อาโซ ฮาโระ, ชิโนฮาระ คาโอริ สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WeLearn)

5 กับดักของคน Productive

ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่อง productivity มาเป็นสิบปี อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายสิบเล่ม ลอง to do list app มาแล้วหลายตัว และจัดเวิร์คช็อปเรื่อง Time Management มาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง จะให้นิยามตัวเองว่าเป็น productivity geek ก็ไม่ผิด

มีผู้ติดตามบล็อกคนหนึ่งถามผมว่า จะเปิดสอน Time Management อีกเมื่อไหร่ ผมตอบไปว่าผมลังเล เพราะระยะหลังผมเริ่มตั้งคำถามเรื่อง time management และ productivity มากขึ้นทุกที

วันนี้เลยอยากจะมาแชร์กับดักของคน productive ที่ผมประสบพบเจอมากับตัวเองครับ

1. ยิ่งทำงานเร็ว ยิ่งมีงานมากขึ้น

เมื่อเรา productive คนก็จะวิ่งหาเรามากขึ้น เอางานมาให้เราทำมากขึ้น

เหมือนกฎข้อที่สามของนิวตัน ที่ action = reaction

ยิ่งเราเคลียร์ to do list ของเราได้เร็วเท่าไหร่ to do list อันใหม่ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยสปีดเดียวกัน

โอเคแหละว่าทำมากก็ได้มาก ทั้งในแง่ค่าตอบแทนหรือโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน

แต่เราจะใช้ชีวิตให้เร็วขึ้นตลอดไปไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเราจะต้องถึงขีดจำกัดอยู่ดี

2. เรามักจะ overcommit

คนที่ productive มักจะมีความสนใจหลายอย่าง งานก็อยากทำให้ดี สังคมก็ต้องมี บล็อกก็อยากเขียน พอดแคสต์ก็ชอบฟัง หนังสือก็ต้องอ่าน วิ่งก็ต้องให้ได้ต่ำกว่าเพซ 6

พอเรารู้สึกว่าเราเป็นคน productive และมี time management ที่ดี เราก็มักจะไม่ค่อยปฏิเสธอะไรใหม่ๆ ที่เข้ามา เพราะเชื่อมั่นว่าเราจะจัดการได้และเอาอยู่

แต่เมื่อสิ่งที่เราอยากทำมันมีไม่จำกัด แต่แรงและเวลาของเรามีจำกัด เราก็มักจะมารู้ตัวเมื่อสายว่าเรา overcommit ไปเสียแล้ว และต้องมานั่งทนทำงานหรือกิจกรรมที่เราไม่ได้อยากทำและไม่ได้มีความสุขไปกับมัน

3. เริ่ม 10 เสร็จ 3

อีก side effect หนึ่งของคนที่ productive ก็คือ เราจะริเริ่มและลองทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน

แน่นอนว่าช่วงแรกก็ทำได้ดีเพราะเราขยันและมี time management ที่ดีอยู่แล้ว แต่ด้วยธรรมชาติของเราที่มักจะ overcommit เป็นทุนเดิม ก็จะนำไปสู่สถานการณ์ที่เราทำหลายอย่างพร้อมกันจนเกินไป ทำ 10 โปรเจ็ค อาจจะแท้งซัก 7 โปรเจ็คแล้วเสร็จแค่ 3 อย่าง

ถ้าเรา productive น้อยกว่านี้ ประเมินตนเองต่ำกว่านี้ เราอาจจะเริ่มทำแค่ 5 โปรเจ็คแล้วทำเสร็จ 4 อย่างก็ได้

4. กิจกรรมที่มากมายจะกลบฝังเรื่องที่สำคัญจริงๆ

เมื่อเราได้สร้างชื่อเสียงในความ productive ที่คนพร้อมจะเอางานมาให้ แถมเราก็มั่นใจจนมักจะรับงานมามากกว่าที่เราจะทำไหว งานและกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ย่อมเบียดบังสิ่งสำคัญในมิติอื่นๆ

สิ่งสำคัญที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องสุขภาพหรือความสัมพันธ์ แม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าเราสามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ผ่านการตั้ง OKR หรือการสร้าง habits มารองรับ แต่ผลรวมสุดท้ายเราก็จะเจอโมเมนต์ที่ถามตัวเองว่า “ทำไมเราต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ด้วย” อยู่ดี

5. วันนี้จะถูกใช้เพื่อวันข้างหน้าเรื่อยไป

เมื่อเราอยาก “ใช้เวลาให้คุ้มค่า” เราจะมองทุกอย่างด้วยสายตาของนักลงทุน เราจะทำอะไรบางอย่างในตอนนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่างในอนาคตเสมอ

เราออกไปวิ่ง เพื่อจะทำเวลาได้ดีในการแข่งขัน

เราอ่านหนังสือ เพื่อจะได้เอาไปเขียนบล็อกหรือเล่าในพอดแคสต์

เราพักผ่อน เพื่อที่เราจะได้มีแรงกลับไปทำงานอย่างเต็มที่

เราแทบไม่เคยจะวิ่งเพื่อวิ่ง อ่านหนังสือเพื่ออ่านหนังสือ หรือพักผ่อนเพื่อพักผ่อนเลย

เพราะมันคือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มันคือการยอมแลก “วันนี้” เพื่อ “วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า”

ซึ่งเราทำแบบนี้มานานหลายสิบปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าเราจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบจนสิ้นอายุขัย

แต่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า วันที่เราจะมีเงินเก็บมากพอ วันที่ to-do list เราจะเป็นศูนย์ วันที่เราจะรู้สึกว่า “เอาอยู่” แล้วและพร้อมที่จะเริ่มใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากให้เป็นจริงๆ นั้นมันไม่เคยมาถึง และอาจจะไม่มีวันมาถึง

ดังนั้นให้ระวังตรงนี้ให้มาก ถอดแว่นตาของนักลงทุนออกเสียบ้าง ไม่ต้องทำอะไรเพื่อวันพรุ่งนี้ไปเสียทุกอย่าง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราเหลือวันพรุ่งนี้อีกกี่วัน

ขอให้ทุกท่าน productive กันอย่างมีสตินะครับ

สิ่งที่อยู่ในหัวของเราจะเพอร์เฟกต์กว่าเสมอ

นี่อาจเป็นเหตุผลที่เราไม่กล้าลงมือทำในสิ่งที่อยากทำมาเนิ่นนาน

เราจะบอกตัวเองว่าขอรอให้พร้อมก่อน รอให้มีเวลามากกว่านี้ก่อน รอให้เก่งกว่านี้ก่อน

แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้รอ เราแค่กำลังเดินหนีความจริง

ความจริงที่ว่า ถ้าทำออกมาแล้วมันอาจจะไม่ดีพอ ทำออกมาแล้วอาจจะมีคนไม่ชอบ

และที่น่ากลัวที่สุดคือทำออกมาแล้วจะไม่มีใครสนใจ

ถ้าเรายังไม่ได้ลงมือทำ เราก็จะยังเก็บภาพที่เพอร์เฟกต์เอาไว้ในจินตนาการต่อไปได้เรื่อยๆ เป็นการต่ออายุความฝันที่แม้จะไม่ค่อยมีประโยชน์แต่ก็ยังรู้สึกดี

แต่ถ้าเราลงมือทำ เราก็ต้องเผชิญกับ moment of truth และเพราะเรากลัวจะผิดหวังจากห้วงขณะแห่งความจริงนี่เอง เราจึงหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา

เรื่องนี้ไม่มีทางออก ผมทำได้แค่ชี้ทางเข้า

คงต้องรอถึงวันที่ความอยากมันล้ำหน้าความกลัว หรือถึงวันที่เราตัดสินใจได้ว่า การเผชิญความจริงน่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าการประวิงเวลา ลงมือทำเพื่อวัดกันไปเลยว่าจะหมู่หรือจ่า ถ้าไม่เวิร์คก็จะได้ไม่คาใจ แล้วจะได้ move on ครับ

ชื่อเสียงนั้นสะสมกันทีละหยด แต่หมดทีละถัง

สัปดาห์ที่ผ่านมามีสองคนที่ขึ้นมาครองพื้นที่ฟีดในโลกโซเชียล

คนหนึ่งเป็นนักการเมืองชายที่โดนแจ้งความ อีกคนเป็นศิลปินหญิงที่ได้ขึ้นเวทีใหญ่

เรื่องราวของนักการเมืองย้ำเตือนความจริงที่ว่า

“You cannot get away with anything. Ever.”
-Jordan Peterson

ส่วนเรื่องราวของศิลปินหญิงก็ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของเมสซี่

“I start early and I stay late, day after day, year after year. It took me 17 years and 114 days to become an overnight success.”

ผมเริ่มซ้อมแต่เช้าจนดึกดื่นวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มันต้องใช้เวลาถึง 17 ปีกับอีก 114 วันกว่าที่ผมจะประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืน

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมหายไปเพราะมีอาการบาดเจ็บที่หลังจนต้องไปทำกายภาพ จะเดิน จะลุก จะนั่งก็ลำบาก เลยถือโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่ กิจกรรมที่ได้ทำมากที่สุดคืออ่านหนังสือและดูซีรี่ส์

เล่มหนึ่งที่ผมได้อ่านและสนุกมากคือ Moonshot ที่เขียนโดย Albert Bourla ซึ่งเป็น CEO ของไฟเซอร์ ว่าด้วยเรื่องราวเบื้องหลังที่ทำให้เรามีวัคซีน mRNA ซึ่งผมว่ามันเป็นนวัตกรรมพลิกชะตา ไม่อย่างนั้นโลกเราจะแย่กว่าตอนนี้หลายเท่า

ประโยคหนึ่งที่ประทับใจผมมากก็คือ

“Reputation is earned in drops and lost in buckets.”

ชื่อเสียงนั้นสะสมกันทีละหยด แต่หมดทีละถัง

ถ้าเราได้เรียนรู้อะไรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือสิ่งดีๆ นั้นต้องใช้เวลา ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำก็จงสะสมหยดน้ำของเราไปเรื่อยๆ เมื่อปัจจัยถึงพร้อม วันของเราก็จะมาถึง

และถ้าเรากำลังทำอะไรที่ไม่ถูกต้องก็หยุดเสีย ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงที่เราเพียรพยายามสะสมมาก็อาจจะพังได้ในพริบตาครับ