อย่าไปถือโทษโกรธใคร

20171127_noblame

เพราะคนดีจะมอบความสุข
คนแย่ๆ จะมอบประสบการณ์
คนแย่สุดๆ จะมอบบทเรียน
และคนที่ดีที่สุดจะมอบความทรงจำ

Never blame anyone in your life.
Good people give you happiness.
Bad people give you experience.
Worst people give you a lesson.
And best people give you memories.

-Zig Ziglar

สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ผมกับแฟนมีเรื่องให้เครียด เพราะเราตัดสินใจจะกั้นห้องทำงานชั้นสองเพื่อให้เปิดแอร์ได้ (เผื่อจะเอาลูกมาอยู่ในห้องนี้) โดยจะทำเป็นชั้นหนังสือปิดด้วยกระจกและติดประตูกระจกบานเฟี้ยม

ตอนแรกแฟนผมถามเพื่อนที่รับเหมาไปว่าเค้ารับทำรึเปล่า ปรากฎว่าเขาไม่สามารถทำงานชั้นหนังสือให้ได้ เขาเลยรีเฟอร์ผู้รับเหมาอีกคนนึงมาชื่อ “พี่อ้อ” ซึ่งเขาเองไม่เคยเห็นผลงานหรอกแต่เห็นว่าเป็นพี่สาวของเพื่อน

แฟนผมคุยกับพี่อ้อแล้วก็ไม่ได้รู้สึกชอบเท่าไหร่ ดูเป็นผู้หญิงเยอะๆ ชิงพูดไปเสียทุกอย่าง แต่เห็นพี่อ้อทำราคามาละเอียดยิบ แล้วพร่ำบอกว่าเขาอยากจะชัดเจนตอนนี้จะได้ไม่ต้องมามีปัญหากันทีหลัง พี่ชายแฟนเลยบอกว่าให้ลองใช้คนนี้ดูแหละ เพราะน่าจะทำงานเนี้ยบ

วันแรก เรานัดให้พี่อ้อและทีมงานเข้างานตอน 10 โมงเช้า พอ 10 โมงผมเห็นพี่อ้อยังมาไม่ถึง เลยโทร.ถามเค้าว่าถึงไหนแล้ว เค้าบอกว่าใกล้ถึงแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ศรีนครินทร์แล้ว (บ้านผมอยู่อ่อนนุช)

ผ่านไปจนเกือบเที่ยงพี่อ้อก็ยังมาไม่ถึง โทร.ไปหลายครั้งก็ไม่รับสาย สุดท้ายผมต้องออกไปทำธุระก่อน แฟนบอกว่าพี่อ้อมาถึงเกือบบ่ายสอง

พี่อ้อบอกใช้เวลาทำงานนี้ไม่เกิน 3 วัน แต่ 3 วันนี้พี่อ้อ มาอยู่หน้างานแค่ครั้งละแป๊บเดียว จากนั้นก็ขับรถไปไหนต่อไหน (บอกว่าไปกินข้าวเที่ยง หายไป 3 ชั่วโมงเป็นต้น) กว่าจะมาถึงอีกทีก็เย็นๆ

ผลก็คือช่างทำงานได้ไม่เป็นมืออาชีพเลย protect พื้นที่ไม่เรียบร้อย ขนของทำวอลเปเปอร์เสียหายหลายจุด อุปกรณ์ก็เอามาไม่ครบ ต้องวิ่งออกไปซื้อหลายรอบ ช่างต้องนั่งรอเฉยๆ หลายชั่วโมง

หมด 3 วันงานไม่เสร็จ พี่อ้อบอกว่ายังไงวันที่ 4 ต้องเสร็จ พี่สัญญา

แต่วันที่ 4 ก็เหมือนเดิม ทุกคนเข้างานสาย พี่อ้อมาอยู่หน้างานไม่ถึงชั่วโมง จากนั้นก็ขับรถกลับไปเอาของที่ลืมไว้ที่บ้านแถวรามอินทรา ส่วนช่างก็ฉิ่งฉับไปเรื่อยๆ จนเย็นแล้วพี่อ้อก็ยังไม่มา ตกหัวค่ำพี่อ้อถึงโทร.มาบอกว่า ขออีกหนึ่งวัน ยังไงพรุ่งนี้เสร็จแน่นอน ทุกคนจะเข้างานกันตอน 8.30

ผมเลยทำสัญญาเพิ่มเติมส่งไปทางไลน์ไปว่า ถ้าเข้างานสายเกิน 8.30 จะขอปรับนะ ครับ และถ้างานลากยาวเกิน 5 วันก็จะขอปรับมากกว่าอัตราเดิมที่เคยคุยกันไว้ด้วย ปรากฎว่าพี่อ้อเงียบไม่ตอบ รุ่งเช้ามาก็ไม่ตอบ แต่ประมาณสายๆ พี่ชายแฟนก็โทร.มาบอกว่า พี่อ้อโทร.มาคุยกับเขาว่าจะไม่เซ็นสัญญา เพราะให้มาปรับอย่างนี้รับไม่ได้ พี่เขาเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน…

สุดท้ายผมเลยต้องบอกยกเลิกสัญญาเดิมไปทางไลน์ ซึ่งเขาก็ไม่ตอบเช่นเคย ยังดีที่วางมัดจำไป 50% ยังเหลืออีก 50% ที่ยังพอเอาไปจ้างช่างคนอื่นมาแก้งานแทนได้

หลังจากคิดอยู่นาน แฟนผมก็นึกออกว่าเรารู้จักน้องคนหนึ่งที่ทำ interior design เขาน่าจะมีช่างที่คุ้นเคยกัน น้องคนนั้นเลยแนะนำให้เรารู้จักกับ “ช่างแหลม” ซึ่งทำได้ทั้งงานไม้และงานสี สุดท้ายก็ได้ช่างแหลมและทีมงานมาเก็บงานไม้ ทำสีใหม่ และติดประตูให้ งานออกมาเรียบร้อยและรวดเร็วตามที่รับปากเอาไว้ทุกประการ

การได้เจอกับ “พี่อ้อ” ผู้รับเหมาที่ทุกคำพูดเป็นโมฆะถือเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งสำหรับผมและแฟน แต่จากนี้ไปเราก็รู้แล้วว่าคราวหน้าจะต้องทำอย่างไรบ้าง อย่างน้อยที่สุดพี่อ้อก็ทำให้ผมได้พบกับช่างแหลม

Never blame anyone in your life.
Good people give you happiness.
Bad people give you experience.
Worst people give you a lesson.
And best people give you memories.

ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เขามาเพื่อให้เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างหรือทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้จดจำเสมอครับ

—–

ป.ล.ใครที่อยากรู้เบอร์พี่อ้อ (ที่ผมไม่แนะนำ) และเบอร์ช่างแหลม (ที่ผมค่อนข้างประทับใจ) รบกวนกรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อแชร์ข้อมูลเรื่องช่างหรือผู้รับเหมาที่คุณเคยประสบมา (จะในแง่ดีหรือไม่ดีก็ได้) แล้วผมจะเปิด permission ให้เข้าไปดูข้อมูลได้นะครับ http://bit.ly/2k1AaiY

 

ล่มจมเพราะชมเชย

20171126_praise

“The trouble with most of us is that we would rather be ruined by praise than saved by criticism.”

“ปัญหาของมนุษย์ส่วนใหญ่คือเราอยากได้ยินคำชมที่ทำให้เราเหลิงมากกว่าได้ยินคำตักเตือนที่ทำให้เรารู้ตัว”

– Norman Vincent Peale

เชื่อว่าหลายคนอาจะเคยมีประสบการณ์ได้เป็น “เบอร์หนึ่ง” ในกลุ่มที่เราอยู่

เบอร์หนึ่งในที่นี้อาจได้มาด้วยอายุหรือตำแหน่ง เช่นอาจเป็นคนที่แก่ที่สุดในกลุ่มเพื่อน เป็นพนักงานที่อยู่มานานที่สุดในแผนก หรือเป็นข้าราชการที่ซีสูงที่สุดในกระทรวง

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเป็น “พี่ใหญ่” สิ่งที่จะหายไปคือคำตักเตือนหรือคำวิจารณ์

สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นมาคือคำชม คำเยินยอ หรือคำที่จะคอยยืนยันว่าเราคิดถูกแล้ว

ดังนั้น ทักษะที่สำคัญมากสำหรับเบอร์หนึ่งคือความสามารถในการสำรวจตัวเอง ว่าเราดีอย่างที่เขาบอกแล้วจริงๆ รึเปล่า

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการรักษาคนที่กล้าวิจารณ์เราตรงๆ เอาไว้ เพราะถ้าเขาพูดสิ่งที่เป็นความจริงและมีเจตนาที่ดี นั่นคือของขวัญล้ำค่าที่น้อยคนนักจะมอบให้เราได้

เป็นการง่ายเหลือเกินที่จะตัดคนที่พูดจาไม่เข้าหูออกไป แล้วเหลือไว้แต่บริวารที่เอาแต่พูดว่า “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”

“The trouble with most of us is that we would rather be ruined by praise than saved by criticism.”

ในวันที่ไม่เหลือใครคอยเตือน ดาวจากสรวงก็อาจร่วงลงสู่ดินโดยง่ายดาย

นิทานการเดินทางของสายน้ำ

20171124_waterjourney

วันนี้วันศุกร์ มาฟังนิทานกันนะครับ

มีธารน้ำเล็กๆสายหนึ่งไหลมาจากยอดเขาที่ห่างไกลออกไป ผ่านป่าเขาหมู่บ้านและผ่านในเมืองมาหลายแห่ง สุดท้ายมาถึงทะเลทรายแห่งหนึ่งสายน้ำคิดในใจว่า

“เราก็ผ่านอุปสรรคและสิ่งกีดขวางต่างๆนานามานับไม่ถ้วน ครั้งนี้คงจะผ่านทะเลทรายแห่งนี้ไปได้ด้วยดี”

ขณะเมื่อสายน้ำมุ่งมั่นจะผ่านทะเลทรายอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าน้ำของตัวเองค่อยๆ ซึมหายไปในทรายเหล่านั้น ยิ่งไหลผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกว่าน้ำก็ยิ่งหายไปเรื่อยๆ จนรู้สึกท้อแท้ “คิดในใจว่า นี่คงจะเป็นชะตาชีวิตของตนเองแล้ว และคงจะไม่มีทางที่จะได้ไหลไปสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลตามคำที่เขาเล่าลือ

เมื่อสายน้ำรำพึงรำพันด้วยความเสียใจอยู่นั้น ก็มีเสียงแว่วแผ่วกระซิบมาว่า

“ถ้าหากสายลมสามารถพัดผ่านทะเลทรายได้ สายน้ำก็จะไหลผ่านไปได้เหมือนกัน”

ที่แท้เสียงที่เหมือนกับกระซิบมานั้นเป็นเสียงของทะเลทรายเอง

สายน้ำตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจว่า

“นั่นเป็นเพราะลมสามารถบินข้ามทะเลทรายไปได้ แต่ข้าทำไม่ได้”

“เป็นเพราะเจ้ายืนกรานที่จะเป็นสภาพเดิม ลมจึงไม่สามารถพัดพาเจ้าข้ามไปได้ เพียงแต่เจ้ายอมปล่อยวางสภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ให้ตัวเองกลายเป็นไอน้ำแล้วหลอมรวมไปกับสายลม” ทะเลทรายกล่าวต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา

สายน้ำไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย คิดในใจว่า

“ปล่อยวางสภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ แล้วสลายรวมไปในสายลม? ไม่! ไม่! “

สายน้ำไม่ยอมรับคำเสนอแนะที่ให้เป็นลักษณะนั้น แล้วตัวเองก็ไม่เคยผ่านประสบการณ์ลักษณะอย่างนั้นมาก่อน จะให้ปล่อยวาง ลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่เท่ากับเป็นการทำลายล้างตัวเองหรือ?

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่เป็นความจริงหรือเปล่า?” สายน้ำถาม

“สายลมสามารถนำไอน้ำรวมเข้ากับตัวเอง แล้วพัดผ่านทะเลทราย เมื่อไปประจวบกับสภาพที่เหมาะสม ก็จะคายไอน้ำออกมา แล้วกลายเป็นฝน หลังจากนั้นน้ำฝนก็จะกลายเป็นสายน้ำ ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆอีก” ทะเลทรายตอบ

“แล้วข้าจะยังคงเป็นสายน้ำดั้งเดิมหรือเปล่า?”

“จะบอกว่าใช่ก็ได้ จะบอกว่าไม่ใช่ก็ได้ และไม่ว่าเจ้าจะเป็นสายน้ำหรือเป็นไอน้ำที่มองไม่เห็น แต่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง เจ้ายืนกรานที่จะเป็นสายน้ำ เพราะเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร”

ช่วงเวลานั้นสายน้ำคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่า ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นสายน้ำ ก็เคยถูกลมนำตนเอง พัดพาผ่านพื้นดินไปยังยอดเขา แล้วกลายเป็นฝน แล้วกลายเป็นสายน้ำอย่างทุกวันนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น สายน้ำจึงรวบรวมแรงใจครั้งสุดท้าย กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนที่อ้าออกมารับของสายลม แล้วหายไปในสายลมนั้น ให้สายลมนั้นพัดพาผ่านไป

ทุกขั้นตอนของชีวิตคนเราก็เหมือนกับสายน้ำ หากอยากจะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนาม
ก็จำจะต้องปล่อยวางตัวตนที่ยึดมั่นอยู่ พร้อมกับใช้ปัญญา และความกล้ามุ่งหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

ลองถามตัวเองดูว่า ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร? และสิ่งที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่คืออะไร? สิ่งที่ต้องการคืออะไร?

ขอบคุณนิทานจาก นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก 

ที่เขาทำกับเราอย่างนี้

20171123_treated

ก็เพราะเราสอนให้เขาทำกับเราอย่างนี้เอง

“You get treated in life the way you teach people to treat you.”
-Wayne Dyer

เราสามารถใช้ชีวิตได้สองโหมด คือโหมดของผู้กระทำ กับโหมดของผู้ถูกกระทำ

คนที่อยู่ในโหมดของผู้ถูกกระทำจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เรื่องร้ายๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุจากผู้อื่น

เมื่อเล่นบทผู้ถูกกระทำจนช่ำชอง เราก็อาจลืมไปว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก

ถ้าเราถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ก็เพราะเราทำตัวให้น่าเอาเปรียบเอง

ถ้าเราโดนหลอกเป็นประจำ ก็ไม่ใช่เพราะเราเจอคนขี้โกงบ่อยกว่าคนอื่น แต่เพราะเราชอบเปิดช่องให้เขาโกงเราได้เอง

เด็กที่โดนรังแกอยู่บ่อยๆ หากลองฮึดสู้ดูซักครั้ง อาจจะทำให้เด็กเกเรหยุดตอแยไปเลยก็ได้

“You get treated in life the way you teach people to treat you.”

ที่เขาทำกับเราอย่างนี้ ก็เพราะเราสอนให้เขาทำกับเราอย่างนี้เอง

แม้เราจะไม่ได้ “สอน” เขาตรงๆ แต่การที่เราอยู่เฉยๆ อย่างผู้ถูกกระทำ ก็ถือว่าเรามีส่วนผิดอยู่กึ่งหนึ่งนะครับ

ทำไมคนเราชอบเมาธ์มอย

20171123_mouth

มีคนเคยพูดทีเล่นทีจริงว่ามนุษย์สร้างภาษาขึ้นมาเพื่อจะเอาไว้นินทาเพื่อนบ้านได้

ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด ในหนังสือเรื่อง Sapiens ผู้เขียนก็บอกว่า การนินทา (gossip) นั้นเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการอยู่ร่วมกันของคนในเผ่ามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

เพราะสมัยที่เรายังหาอยู่หากินด้วยการล่าสัตว์ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะรู้ว่าคนไหนเชื่อถือได้ คนไหนเชื่อถือไม่ได้

การซุบซิบนินทาจึงเป็น survival mechanism ที่ฝังอยู่ในยีนส์ของเรามานับหมื่นนับแสนปี

ผมเลยเดาว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่เราชอบตามติดข่าวดาราเตียงหัก อยากรู้ไปหมดว่าใครแอบกิ๊กกั๊กกับใคร และใครที่โดนจับได้ว่าทำไม่ดี เราก็พร้อมที่จะตัดสินและรุมประณาม แต่พอมีดาราทำดี กลับไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่นัก (ยกเว้นเคสพี่ตูนนะครับ)

แต่ก่อนผมนึกว่าการทำคนเราชอบฟังเรื่องแย่ๆ ของคนอื่น เพราะมันทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราเหนือกว่าเขา

แต่ถ้ามองในแง่ “ยีนส์การเอาตัวรอด” ที่เราได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ก็อาจจะมองได้ว่า เหตุผลที่เราสนใจเรื่องแย่ๆ ของคนอื่นนั้น เพราะการรู้ว่า “ใครดี” ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ว่า “ใครไม่ดี”

การออกล่าสัตว์กับคนเก่งคนดี อาจทำให้เราได้อาหารมือใหญ่ขึ้นกว่าปกติ

แต่การออกล่าสัตว์กับคนไม่ดี แถมยังขี้ขลาดและและชอบหักหลัง อาจหมายถึงจุดจบของชีวิตเราเลยก็ได้

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ที่คนเราชอบฟังเรื่องนินทา เพราะร่างกายและจิตใต้สำนึกเราถูกสั่งสมมาอย่างนั้น

แต่ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราควรทำนะครับ

เพราะสมัยนี้เราไม่ต้องเสี่ยงตายออกล่าสัตว์กันแล้วแล้ว การรู้ว่าดาราคนไหนดีไม่ดีจึงไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเราเลย

ผลอย่างเดียวที่ได้จากการเสพข่าวเหล่านี้ คือมันทำให้เรามีเวลาน้อยลง ซึ่งธรรมดาเวลาของเราก็เหลือน้อยจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว

การชอบฟังเรื่องนินทาจึงไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนไม่ดี แต่หมายความว่าเราอาจเสียโอกาสที่จะได้ทำเรื่องที่มีประโยชน์กว่าเท่านั้นเอง