แทนที่จะตามหาคนที่ใช่

20171014_rightperson

สู้ทำตัวให้เป็นคนที่ใช่น่าจะดีกว่ามั้ย

“Don’t worry about finding the right person. Focus on becoming the right person.”

-Anonymous

เมื่อวานนี้ผมไม่ได้เล่านิทาน วันนี้เผอิญนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เลยขอเล่าชดเชยนะครับ

คุณลุงคนหนึ่งไม่เคยมีแฟนเลยตลอดชั่วชีวิตของเขา

นับแต่วัยหนุ่ม เขาออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามหาผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอยู่หลายสิบปี แต่มาวันนี้ในวัย 50 กว่า เขาก็ยังคงอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย

เมื่อรับรู้เรื่องราวอันน่าเศร้านี้ เด็กน้อยคนหนึ่งเลยถามคุณลุงว่า

“คุณลุงออกเดินทางไปทั่วโลก เจอผู้คนตั้งมากมาย คุณปู่ไม่เจอผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบบ้างเลยเหรอครับ?”

“เจอสิ ลุงเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คเลยละ” คุณลุงพูดตาเป็นประกาย

“แล้วทำไมคุณลุงไม่แต่งงานกับเธอล่ะครับ?”

ตาของคุณลุงเศร้าลงทันที

“เพราะเธอก็กำลังมองหาคนที่แสนจะเพอร์เฟ็คอยู่เช่นกันไงล่ะหลาน”

นิทานจบลงตรงนี้ แต่ชีวิตจริงยังดำเนินต่อไป

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรัก แต่เป็นเรื่องการหาเลี้ยงชีพด้วย

สี่ห้าปีมานี้เราถูกสอนว่าให้ “ตามหางานที่ใช่”

แต่จะมีซักกี่คนที่จะได้เจองานที่ใช่ขนาดนั้น?

ไม่ผิดที่จะแสวงหางานที่เหมาะกับเรา งานที่จะทำให้เราอยากรีบตื่นทุกเช้าวันจันทร์

แต่ถ้าเราเพิ่มมิติแห่งการพัฒนาและปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ โอกาสที่เราจะเจองานที่ใช่นั้นจะสูงขึ้นมาก

“Don’t worry about finding the right person. Focus on becoming the right person.”

อย่ามัวตามหาคนที่ใช่หรืองานที่ใช่จนลืมกลับมาดูตัวเองนะครับ

เพราะถึงวันหนึ่ง ถ้าคุณได้เจองานที่ใช่สำหรับคุณ แต่คุณกลับไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขา คุณอาจจะอกหักเหมือนคุณลุงโสดเสมอคนนั้นก็ได้

จำความรู้สึกที่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างได้มั้ย?

20171013_rememberthatfeeling

365 วันที่แล้ว…

13 ตุลาคม 2559 น่าจะเป็นหนึ่งในวันที่ “เสียใจที่สุดในชีวิต” ของใครหลายคน

แม้จะทำใจมามากแค่ไหน น้ำตาก็อดไหลไม่ได้

แต่ความโศกเศร้าเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว

สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง คือการ “ลุกขึ้นมาทำดี” ของคนไทยจำนวนมาก

จิตอาสานับร้อยนับพันไปรวมตัวกันที่สนามหลวง บ้างทำอาหารไปแจก บ้างขับรถรับ-ส่ง บ้างเก็บขยะ

มันคงเป็นความรู้สึกที่อยาก “ทำดี” บ้าง หลังจากที่เราได้รับรู้เรื่องราวว่าพระองค์ท่านได้ทรงทำเพื่อคนไทยเอาไว้มากมายแค่ไหน

ช่วงนั้นผมยังรู้สึกเลยว่า คนขับรถบนท้องถนนมีน้ำใจกันมากขึ้น ให้ทางกันมากขึ้น เสียงบีบแตรแทบไม่มีให้ได้ยิน

ผมเลยแอบหวังเล็กๆ ว่า “มวลพลัง” ก้อนนี้มันจะมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางสังคมไทยได้

ผ่านมาแล้ว 365 วัน…

เมื่อความเศร้าจางหาย คนส่วนใหญ่กลับเข้าสู่โหมดเดิม

คนขับรถบนถนนในวันนี้ มารยาทและน้ำใจกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับก่อนที่จะเกิดเหตุ

จนผมต้องยอมรับว่า มวลพลังก้อนนั้นแม้จะมหาศาลแค่ไหนก็อาจไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างที่เคยแอบหวัง

—–

“เล็ก” คือรูมเมตผมตอนเรียนปี 1 ที่เอเชียนยู

เรียนจบออกมา เล็กเลือกรับราชการที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จนปี 2557 ก็ได้ไปประจำที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (มีภรรยาเป็นผู้ติดตามไปด้วย)

เย็นวันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว เล็กโทรศัพท์ผ่าน LINE มาถามผมว่า ตกลงสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เพราะอยู่ที่ดูไบเล็กก็ได้ยินข่าวมาตั้งแต่เช้า ไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ผมก็ได้แต่ตอบไปว่าผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ขอรอฟังประกาศอย่างเป็นทางการก่อนแล้วจะคอนเฟิร์มไปอีกที

ระหว่างขับรถกลับบ้าน ผมได้ฟังพลเอกประยุทธ์ออกมาประกาศข่าวร้ายตอนหนึ่งทุ่มตรง

น้ำตาไหล กลับถึงบ้านอย่างงงๆ กอดภรรยา แล้วพอตั้งสติได้ก็เลยไลน์ไปบอกเล็กว่าคอนเฟิร์มแล้วนะ เล็กบอกว่าทราบข่าวแล้วเหมือนกัน ขอบใจมาก

เราไม่ได้คุยกันอีกเลยจนเล็กกลับมาเยี่ยมเมืองไทยในเดือนธันวาคม

ผมนัดเจอกับเล็กที่เซ็นทรัลลาดพร้าว มีเพื่อนอีกสองคนตามไปสมทบ

เราคุยกันว่า ตอนที่ทราบข่าว แต่ละคนอยู่ที่ไหนกัน เล็กบอกว่าเล็กกำลังเดินลงบันไดไปสูบบุหรี่ พอทราบข่าวอย่างเป็นทางการ ก็ตัดสินใจทิ้งบุหรี่ นับตั้งแต่วันนั้นเล็กก็ไม่ได้สูบบุหรี่มาเดือนเศษแล้ว

ได้ยินเล็กเล่าอย่างนี้ ผมเลยบอกตัวเองว่า ถ้าครบปีแล้วเล็กยังไม่กลับไปสูบบุหรี่อีก ผมอยากจะเอาเรื่องนี้มาเขียนลงบล็อก

เมื่อคืนนี้ผมก็เลยทักเล็กไปครับ

10.12 (Thu)

เล็ก
10:34 PM

ยินดีด้วย กำลังจะครบรอบ 1 ปี เลิกบุหรี่
10:34 PM

เราว่าจะเอาเรื่องของเล็กมาเล่าลงบล็อกหน่อย
10:35 PM

อยากให้เล็กเล่าให้ฟังอีกทีว่าวันที่ตัดสินใจเลิก ตอนนั้นสถานการณ์เป็นยังไง แล้วมีความคิดอะไรที่แล่นเข้ามาในหัว
10:36 PM

 

10. 13 (Fri)

ขอเป็นพรุ่งนี้เย็นไหวไหม
1:12 AM

เพิ่งเห็น​ กำลังจะนอน
1:12 AM

พรุ่งนี้มีภารกิจ​ที่สถานทูต​แต่เช้ากว่าจะถึงบ้านก็เย็นพอดี​
1:12 AM

นั่งรถไปจะเล่าให้ฟังระหว่างทางนะ
1:13 AM

นอนไม่หลับ​
1:21 AM

เล่าเลยละกัน
1:22 AM

วันนั้นจำได้ว่าทำงานไปดูมือถือไปตั้งแต่เช้า​
1:22 AM

เมืองไทยอยู่ตะวันออกจึงเวลาเร็วกว่าดูไบ​สามชั่วโมง
1:24 AM

และวันนั้นข่าวมาหลายทางมากๆ​ ที่ทำงานก็ใจไม่ค่อยดีกันเท่าไหร่​
1:25 AM

ได้ข่าวว่า​ ร.9​ ท่านสิ้นแล้วแต่เช้า​ แต่เป็นข่าวที่ส่งต่อๆกัน​มา​ เลยยังไม่ปักใจเชื่อ
1:26 AM

เวลาประมาณ​เกือบๆ​ 11​โมงได้ ก็ตัดสินใจเดินไปสูบบุหรี่ชั้นล่างแก้เครียด​
1:26 AM

เล็กทำงานชั้นสี่​ เดินลงมาบุหรี่​กับไฟแช็คอยู่ในมือ​ เดินมาถึงชั้นสองก็เห็นประกาศจากทางสำนักพระราชวัง​ว่าท่านสิ้นแล้ว…
1:28 AM

อาการแรก​เล็กตกใจมาก​ นึกว่าทำใจไว้แล้วไม่น่าจะตกใจอย่างนี้
1:28 AM

อาการที่สองคือจุดไฟแช็ค​ ทั้งๆที่ยังเดินลงมาไม่ถึงชั้นล่าง​
1:30 AM

สูบเข้าไปหนึ่งคำ​ จำได้ว่าขม​จริง​ ทำไมถึงขม? ทั้งๆที่สูบมานาน​ไม่เคยขม​
1:32 AM

ความคิดที่สองคือ​ เรากำลังทำ​อะไรอยู่วะเนี่ย? สูบไปแล้วได้อะไรขึ้น​มาวะ​
1:34 AM

คิดได้ก็เดินถึงข้างล่างพอดี​ ขยี้ก้นบุหรี่แล้วตัดสินใจตรงนั้นเลยว่าเลิก​
1:36 AM

ขึ้นมาถึงที่ทำงานก็ทิ้งบุหรี่ทั้งหมด​ บอกแฟนว่าพี่เลิกสูบบุหรี่แล้ว​
1:37 AM

ไม่สูบอีกเลยหลังจากวันนั้น
1:39 AM

แต่จำได้แม่นนะ​ จำภาพนั้นได้ติดตามาก​ ภาพชั้นบันได​ กับบุหรี่ในมือ
1:42 AM

แต๊งกิ้วมากเล็ก แต่งงเรื่องเวลานิดนึง
8:08 AM

เพราะประกาศออกที่เมืองไทยตอน 1 ทุ่มตรง
8:09 AM

น่าจะเป็น 4 โมงเย็นที่ดูไบมากกว่า 11 โมงเช้ารึเปล่า
8:09 AM

รุตน่าจะถูก​ แต่ที่แน่ๆคืออยู่ที่ทำงานและยังไม่มืดแน่นอน
9:57 AM

เครๆ
11:25 AM

เริ่มสูบบุหรี่เป็นประจำมาตั้งแต่ปีไหนนะ
11:26 AM

1998
11:31 AM

—–

จำความรู้สึกที่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างได้มั้ยครับ?

เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เราอาจอยากลุกขึ้นมาช่วยเหลือคนอื่น ทำดีเพื่อคนอื่น เพื่อเป็นการตอบแทนพระองค์ท่าน

ถ้า 365 วันที่แล้วความรู้สึกนี้มีขนาดเท่าดวงอาทิตย์ ในวันนี้ความรู้สึกนั้นอาจเหลือขนาดเพียงดวงจันทร์

แต่นั่นก็ยังมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี

ผมได้เรียนรู้ว่า เราไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่ ไม่ต้องฝันไกลถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมก็ได้ มาเปลี่ยนหน่วยที่เล็กที่สุดอย่างตัวเราดีกว่า

13 ตุลาคม 2560 รำลึกครบรอบ 1 ปีการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักที่สุด

เรามาให้สัญญากับตัวเองกันดีมั้ยครับว่า วันนี้คือวันที่เราจะ “เริ่มทำ” อะไรบางอย่าง หรือแม้กระทั่ง “หยุดทำ” อะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น

เหมือนที่เล็กตัดสินใจเลิกบุหรี่หลังสูบมาแล้ว 18 ปี

เริ่มทำ หรือ หยุดทำ เพื่อจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมแม้เพียงเสี้ยวนึงก็ยังดี

ถ้าลูก 70 ล้านคนดีขึ้นคนละนิด มีหรือที่พ่อจะไม่ดีใจ

อดีตมันไม่อาจดีกว่านี้ได้แล้ว

20171012_past

ดังนั้นจงให้อภัยเขาเถอะ

“Forgiveness means giving up all hope for a better past.”
– Jerry Jampolsky

เรายังแบกความขุ่นข้องหมองใจอะไรอยู่บ้าง?

เคยมีคนทำร้ายเรา ทำให้เราผิดหวัง ทำให้เราสูญเสียความเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองใช่มั้ย?

แต่การที่เรายังโกรธเขาอยู่มันทำให้อะไรดีขึ้นบ้างรึเปล่า?

อดีตคือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อให้เราโกรธเขาแค่ไหน เขาก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้

แน่นอนว่าคนเราเจ็บแล้วต้องจำ แต่การเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้รังแต่จะทำร้ายเราเปล่าๆ

การให้อภัยจึงไม่ใช่การทำเพื่อคนอื่น แต่มันคือการทำเพื่อตัวเอง

ให้อภัย เพื่อปลดปล่อยเราจากอดีตที่ไม่อาจดีไปกว่านี้ได้แล้ว

เหตุผลที่ชีวิตไม่เคยดีพอ

20171011_notgoodenough

เพราะเราเปรียบเทียบเบื้องหลังการถ่ายทำของเรากับฉากไคลแมกซ์ของคนอื่นๆ

“The reason we struggle with insecurity is because we compare our behind-the-scenes with everyone else’s highlight reel.” –
– Steven Furtick

สมัยก่อน ใครที่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองรวยมักจะทำอยู่สามอย่าง คือห้อยทองเส้นใหญ่ ใส่นาฬิกาหรู และขับรถแพงๆ

เพราะการประกาศตนผ่านเครื่องประดับดูจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนอื่นรู้ว่าฉันรวยนะจ๊ะ

แต่ความอวดรวยในสมัยนั้นก็ยังมีขีดจำกัด เพราะวันๆ หนึ่งเขาจะได้อวดรวยกับคนไม่กี่คนเท่านั้น

มาสมัยนี้ เราอวดรวยกันได้เต็มที่โดยไม่ต้องห้อยทองหรือใส่นาฬิกาหรูแล้ว

เช่นอาจจะถ่ายรูปอาหารญี่ปุ่นอลังการลง Instagram หรือถ่าย live จากเมืองในฝันของใครหลายๆ คนลง Facebook

และบางทีการอวดรวยก็ไม่ใช่ในเชิงตัวเงินด้วย แต่ “อวดรวยประสบการณ์” เช่นไปดำน้ำมา ไปคอนเสิร์ตนักร้องฝรั่งที่หาตั๋วโคตรยากมา หรือมีแฟนหล่อ แฟนสวย หลานน่ารัก ก็เป็นการอวดรวยประสบการณ์เช่นกัน

รูปแบบในการอวดรวยมีมากขึ้น แถมยังมีคนเห็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า

แล้วใครเลยจะอดใจไหวไม่อวดรวยกับเขาบ้าง

แล้วใครเลยจะไม่รู้สึกว่าชีวิตคนอื่นดีกว่าเราบ้าง

เราคงไม่อาจต้านกระแสนี้ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเตือนตัวเองว่าสิ่งที่เราเห็นในมือถือนั้นคือฉากไคลแมกซ์ของเขาแล้ว

แถมบางทีก็มีจัดฉากด้วย!

ฉากชีวิตจริงของเขาก็ไม่ได้ต่างจากเราเท่าไหร่หรอกครับ เผลอๆ เขามีเรื่ืองทุกข์กว่าเราด้วยซ้ำไป

เมื่อบอกตัวเองได้อย่างนี้ เราจะได้ดำเนินชีวิตของเราโดยไม่รู้สึกว่าต้องสวมบทนักแสดงอยู่บ่อยๆ ครับ

—–

ฉลอง Anontawong’s Musings ครบ 1,000 ตอน – สั่งซื้อหนังสือ Thank God It’s Monday ราคาเพียง 180 บาทเท่านั้น (รวมค่าส่งแล้ว) – bit.ly/tgimorder

ผู้ชนะคือผู้แพ้ที่พยายามอีกครั้ง

20171010_loser

“A winner is just a loser who tried one more time.”
– George Moore

จะว่าไปผมเองก็เจอเรื่องขายหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน

1994 ตอนไปเรียนนิวซีแลนด์เทอมแรก ผมสอบตกทุกวิชายกเว้นวิชาเลข

1995 แข่งบอลลีกสำหรับทีมเยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปี แล้วแพ้เกือบทุกนัด นัดที่แพ้เละเทะที่สุดคือ 17-0 (ผมเล่าประสบการณ์นี้ไว้อย่างละเอียดในตอน บทเรียนจากการแพ้ 17-0)

1997 ทำวงดนตรีเด็กไทยขึ้นไปเล่นเพลง Creep ของ Radiohead ในหอประชุมให้คนทั้งโรงเรียนฟัง (ในกลุ่มคนดูมีคนที่ผมแอบชอบนั่งอยู่ด้วย) ปรากฎว่าผมร้องเสียงเพี้ยนและตอนที่ขึ้นเสียงสูงที่สุดเสียงดันไปไม่ถึง ผลลัพธ์คือ “เสียงหลุด” ไปเลยจนคนทั้งหอประชุมหัวเราะกันยกใหญ่

แต่ถึงจะเจอเรื่องน่าอายขนาดนั้น ก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อมาได้

1995 ผมได้รางวัลเรียนดี 1996 ทีมฟุตบอลของเราได้รองแชมป์ลีก และปลายปี 1997 ผมขึ้นไปโซโล่กีตาร์เพลง Don’t Look Back in Anger ของ Oasis ในวันจบการศึกษาซึ่งคราวนี้ได้รับเสียงปรบมือแทนเสียงหัวเราะ

จะแพ้กี่ครั้งหรือแพ้หนักแค่ไหนจึงไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเราทำอะไรต่อหลังจากที่แพ้ไปแล้ว

“A winner is just a loser who tried one more time.”

ถ้าแพ้ก็แค่ลองอีกครั้ง และอีกครั้งจนกว่าจะชนะ

แล้วจากนั้นก็แพ้ใหม่

แล้วก็พยายามอีกจนกว่าจะชนะ

แพ้-ชนะ-แพ้-ชนะสลับกันไป

ยังไงก็สนุกกว่าเป็น “ผู้แพ้” และ “ผู้ยอมแพ้” ไปตลอดครับ

—–

ฉลอง Anontawong’s Musings ครบ 1,000 ตอน – สั่งซื้อหนังสือ Thank God It’s Mondayราคาเพียง 180 บาทเท่านั้น (รวมค่าส่ง) – ผมเหลือหนังสือแค่ 17 เล่มแล้วครับ – bit.ly/tgimorder