เรื่องไหนที่เรายอม

20170224_allow

เรื่องนั้นก็จะเกิดขึ้นเรื่อยไป

What you allow is what will continue.
-Unknown

ถ้าเรายอมให้ใครเอาเปรียบ เขาก็จะเอาเปรียบเราต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าเรายอมให้ใครโกหก เขาก็จะโกหกเราต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าเรายอมให้ใครทำร้าย เขาก็จะทำร้ายเราต่อไปเรื่อยๆ

บางทีที่เรายอม เพราะคิดว่าเราเป็นคนดี

เป็นคนดีที่ให้อภัยคนผิด และหวังว่าวันหนึ่งเขาจะหยุดล้ำเส้นเสียที

แต่จริงๆ แล้วเราเองต่างหากที่ผิด

ผิดที่ไม่เคยขีดเส้นเลย


ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

ถ้าอยากเข้มแข็งกว่านี้

20170222_tougher

ก็จงเข้มแข็งกว่านี้

If you want to be tougher, be tougher.
– Jocko Willink

ฟังเหมือนเป็นคำพูดกำปั้นทุบดิน

แต่ Jocko Willink ที่เอ่ยประโยคนี้เคยเป็นทหาร SEAL มานานถึง 20 ปี

(ใครไม่รู้ว่าการเป็น SEAL ต้อง strong แค่ไหน แนะนำให้อ่านบทความกฎ 40% ของหน่วย SEAL ครับ)

คำพูดนี้ของจ็อคโค เคยทำให้ขี้ยาคนหนึ่งเลิกยาได้มาแล้ว

เพราะเอาเข้าจริง ความเข้มแข็งนั้นไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของการตัดสินใจ

ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจากนี้ไปเราจะเข้มแข็งขึ้น

เห็นขนมหวานแล้วน้ำลายสอ? แต่คุณก็ตัดสินใจจะไม่กินมันอยู่ดี

วันนี้รู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง? แต่คุณก็ตัดสินใจจะเดินขึ้นบันไดอยู่ดี

คุณสามารถเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าเดิมได้ตั้งแต่การตัดสินใจครั้งต่อไปเลย

If you want to be tougher, be tougher.

ถ้าอยากเข้มแข็งกว่านี้ ก็จงเข้มแข็งกว่านี้

พูดง่าย ทำยาก

แต่ทำได้


ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ Tools of Titans by Tim Ferriss

ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

Burnout เป็นเรื่องหลอกเด็ก

20170221_burnout

นานๆ ผมถึงจะจั่วหัวแบบกระทู้ล่อเป้าอย่างนี้ซะที

เพราะอยากให้พวกเราได้อ่านเรื่องนี้กันเยอะๆ ครับ

ผมเคยตั้งคำถามไว้ในบทความ เหนื่อยจนแทบขาดใจ ดีกว่าเฉื่อยจนเฉาตาย ว่า burnout นี่มันมีอยู่จริงรึเปล่า

นิยามของ Burnout ที่เราเคยได้ยินกันมาคือการทำงานหนักและไม่ได้สัดส่วนกับการพักผ่อนจนเกิดอาการสมองไม่แล่น นอนไม่หลับและหมดไฟที่จะทำงาน

แต่ผมเพิ่งอ่านหนังสือ How Google Works จบ และพบทฤษฎีที่น่าสนใจจากอดีตผู้บริหารหญิงของกูเกิ้ลนาม Marissa Meyer* ว่า burnout ไม่มีอยู่จริง หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน

ผมเลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติมและเจอบทความที่เธอเคยเขียนลง Bloomberg และบทความที่มีคนเขียนถึงเธอลง Inc.com

เมเยอร์บอกว่าเธอไม่เชื่อเรื่อง burnout เพราะเธอเห็นคนมากมายที่ทำงานหนักติดต่อกันหลายสิบปีอย่างไอน์สไตน์หรือเชอร์ชิล (อดีตนายกฯอังกฤษ) ก็ไม่เห็นจะ burnout กันซักหน่อย

เมเยอร์บอกว่า burnout นั้นแท้จริงแล้วคือ resentment หรือความไม่พอใจ/ความขุ่นเคือง ที่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่สำคัญกับเราต่างหาก

เราต้องรู้ว่า Rhythm หรือจังหวะชีวิตของเราเป็นยังไง กิจกรรมใดบ้างที่มีความหมายและหากเราไม่ได้ทำเราจะรู้สึกโกรธเคืองงานประจำที่มาขโมยเวลาสำหรับกิจกรรมเหล่านั้นไป

เมเยอร์ยกตัวอย่างสองเรื่อง เรื่องแรกคือเด็กจบใหม่ชื่อนาธาน (แต่ไม่ได้นามสกุลโอมาน) เมเยอร์เห็นแล้วว่าเด็กคนนี้เริ่มแสดงอาการ burnout เธอเลยถามนาธานว่าริธึ่มของเขาคืออะไร แล้วเขาก็คิดได้ว่าเขาชอบการกินข้าวเย็นคืนวันอังคารกับเพื่อนๆ ที่เรียนจบมาด้วยกัน ถ้าอังคารไหนเขาไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนกลุ่มนี้ เวลาที่เหลือในสัปดาห์เขาก็จะรู้สึกว่า “ขนาดกินข้าวกับเพื่อนวันอังคารยังยุ่งจนไม่ได้ไปเลย งั้นคืนนี้ก็ทำงานดึกต่อไปแล้วกัน ” เมเยอร์ก็รู้แล้วว่าจากนี้ไปนาธานควรจะจัดเวลาใหม่เพื่อให้ตัวเองไม่พลาดนัดคืนวันอังคารอีก

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเคธี่ คุณแม่ชาวอินเดียซึ่งดูแลทีม Google Finance

เคธี่มีประชุมกับเพื่อนร่วมทีมในต่างประเทศตอนตี 1 เป็นประจำ เมเยอร์เป็นห่วงเคธี่ว่าจะไหวมั้ย แต่เคธี่บอกว่าสบายมากเพราะเธอชอบงานนี้และอยากจะช่วยทีมเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว สิ่งที่เธอไม่ค่อยโอเคคือการประชุมตอนเย็นที่มักจะลากยาวจนทำให้เธอไปดูลูกซ้อมฟุตบอลไม่ทันต่างหาก

เมื่อรู้อย่างนี้ เมเยอร์จึงขีดเส้นชัดเจนว่า ถ้าวันไหนลูกของเคธี่มีซ้อมฟุตบอล เธอจะไม่ยอมให้ใครมารั้งเคธี่ไว้ในที่ประชุม ถ้าถึงเวลาต้องไปแล้ว แม้ว่าเซอร์เก้ บริน (หนึ่งในผู้ก่อตั้งกูเกิ้ล) จะยังคุยไม่เสร็จและคาดหวังให้เคธี่ตอบคำถาม เมเยอร์จะตัดบทและบอกว่าเคธี่ต้องออกแล้วเพื่อให้เคธี่ไปทันดูลูกซ้อมฟุตบอล แล้วคืนนั้นค่อยกลับมาตอบคำถามของเซอร์เก้ทางอีเมลแทน

กล่าวโดยสรุปก็คือ burnout ไม่ได้เกิดจากการทำงานหนักจนพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เกิดจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำจนขุ่นเคืองงานที่ตัวเองทำอยู่

หรืออีกนัยหนึ่ง burnout ไม่ใช่อาการทางกายที่ขาดการพักผ่อน แต่เป็นอาการทางใจที่ขาดสิ่งหล่อเลี้ยงต่างหาก

เมเยอร์กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

So find your rhythm, understand what makes you resentful, and protect it. You can’t have everything you want, but you can have the things that really matter to you. And thinking that way empowers you to work really hard for a really long period of time.

หาจังหวะชีวิตของคุณให้เจอ ทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจและอย่าให้มันมาทำร้ายจังหวะชีวิตนั้น แม้คุณไม่อาจทำทุกสิ่งที่คุณอยากทำได้ แต่คุณสามารถเลือกทำสิ่งที่สำคัญจริงๆ กับคุณได้ และเมื่อคุณคิดได้อย่างนี้ คุณจะมีแรงที่จะทำงานหนักได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

ขออวยพรให้ทุกคนรอดพ้นจาก burnout นะครับ!


*  ปัจจุบัน Marissa Meyer เป็น CEO ของ Yahoo!

ขอบคุณข้อมูลจาก
How Google Works by Eric Schmidt & Jonathan Rosenberg
Bloomberg.com: How to avoid burnout
Inc.com: Burnout is a myth

ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

(Updated: June 2018) [ขายของ] หนังสือ Thank God It’s Monday ขอบคุณโลกนี้ที่มีงานประจำ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 วางแผงแล้วนะครับ หาซื้อได้ที่ B2S ซีเอ็ด นายอินทร์ Asia Books และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือสั่งตรงกับสำนักพิมพ์ได้ที่ bit.ly/tgimorder2 ครับ

BookAdvertise

ไม่สำคัญว่าจะไปช้าแค่ไหน

20170220_slow

ขอแค่อย่าหยุดก็แล้วกัน

“It does not matter how slowly you go as long as you do not stop.”
― Confucius

เพราะทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ทางของบางคนเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ที่เหยียบคันเร่งได้เต็มที่

ในขณะที่ทางของบางคนเป็นเพียงถนนลูกรัง มีหลุมมีบ่อเต็มไปหมด ถ้าเอารถมาขับรถก็พัง แม้จะวิ่งยังหน้าคะมำเลย

ดังนั้น ทางบางทางจึงต้องลงเดิน จึงต้องใช้เวลาและใช้ความอดทนมากกว่าปกติ

จุดหมายที่เป็นที่นิยมนั้นมักมีทางหลวงพาดผ่าน

แต่จุดหมายที่สวยงามและหายากจริงๆ มักจะถูกเก็บไว้ให้เฉพาะคนที่กล้าลุยไปตามทางที่ขรุขระนะครับ


ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

Sapiens ตอนที่ 10 – จักรวรรดิ

20170220_sapiens10

เมื่อตอนที่แล้วเราพูดถึง “เงิน” ซึ่งมีบทบาทในการสร้างโลภาภิวัฒน์ในเชิงเศรษฐกิจ

วันนี้จะขอพูดถึง จักรรรดิ (Empires) ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างโลกาภิวัฒน์ในเชิงสังคมและการเมืองนะครับ

จักรวรรดิคืออะไร?

มีจักรวรรดิมากมายที่เราคุ้นหู เช่น จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิเปอร์เซีย จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิอังกฤษ จักรวรรดิมองโกล รวมไปถึงราชวงศ์ฮั่น

แต่อะไรคือตัวชี้วัดว่า อาณาเขตหรือการปกครองใดเป็นจักรวรรรดิ?

ผู้เขียนบอกว่าจักรวรรดิจะมีคุณลักษณะสองข้อด้วยกัน

1. ปกครองผู้คนหลายเชื้อชาติ (rule over a significant number of distinct peoples)

2. มีอาณาเขตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะพร้อมจะกลืนกินบ้านอื่นเมืองอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานหรืออัตลักษณ์เดิมไป

ประเทศอังกฤษในตอนนี้ไม่ถือว่าเป็นจักรวรรดิเพราะไม่สามารถเพิ่มอาณาเขตได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตัวเอง แต่เมื่อร้อยปีที่แล้วเกือบทุกที่บนโลกใบนี้มีโอกาสที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ

คำว่า “จักรวรรดิ” นั้นมีความหมายแง่ลบอยู่ในที เพราะเราจะเห็นภาพของการทำสงคราม ฆ่าฟัน และกดขี่ข่มเหงประชาชนในเมืองที่ถูกยึดครอง

แต่ความจริงก็คือในช่วง 2500 ปีที่ผ่านมาการปกครองแบบจักรวรรดิคือการปกครองที่มีเสถียรภาพที่สุดของมนุษยชาติ

การที่จักรวรรดิใดจักรวรรดิหนึ่งจะล่มสลายนั้นมักไม่ได้เกิดจากการลุกฮือขึ้นของประชาชนที่ทนต่อการกดขี่ไม่ได้ เพราะกลุ่มกบฎเหล่านี้ปราบปรามได้ง่ายมาก แต่มักจะเกิดจากการทะเลาะกันเองในหมู่ผู้ปกครอง หรือการรุกรานจากจักรวรรดิอื่น

จักรวรรดิแรก
จักรวรรดิแรกของมนุษย์มีชื่อว่าจักรวรรดิอัคคาเดียนของซาร์กอนมหาราช (Akkadian Empire of Sargon the Great) ในปี 2250 ก่อนคริสตกาล โดยซาร์กอนนั้นเริ่มต้นจากการเป็นพระราชาของ Kish เมืองเล็กๆ ในเมโสโปเตเมีย (ปัจจุบันอยู่ทางใต้ของเมืองแบกแดดไป 80 กิโลเมตร) ก่อนจะค่อยๆ ยึดครองเมืองในเมโสโปเตเมียทั้งหมดและเมืองรอบนอกต่างๆ ด้วย โดยซาร์กอนมหาราชได้ประกาศว่าท่านได้ผู้ชิตโลกทั้งใบแล้ว (ทั้งที่จริงๆ อาณาเขตของจักรวรรดิอัคคาเดียนนั้นกินพื้นที่ของประเทศอิรักและซีเรียเท่านั้น)

หลังซาร์กอนมหาราชสวรรคตตได้ไม่นาน จักรวรรดิอัคคาเดียนก็ล่มสลาย พระราชาในแคว้นบาบิโลนหรือแคว้นอัสซีเรียต่างก็พยายามเดินตามรอยซาร์กอนและประกาศตนว่าเขาคือผู้พิชิตโลกทั้งใบ

เมื่อ 550 ปีก่อนคริสตกาลก็เกิดมหาราชอีกองค์หนึ่งคือไซรัสมหาราชซึ่งเป็นผู้สร้างจักรวรรดิเปอร์เซีย (ซึ่งกินพื้นที่ใหญ่กว่าจักรวรรดิอาคาเรียนหลายสิบเท่า) สิ่งที่ทำให้ไซรัสมหาราชแตกต่างจากพระราชาองค์ก่อนๆ ก็คือท่านไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นพระราชาของชาวเปอร์เซียเท่านั้น แต่มองว่าตัวเองเป็นพระราชาของพสกนิกรทุกคนที่ตกอยู่ใต้การปกครองของท่าน

ดังนั้นไซรัสมหาราชจึงมองว่าการขยายอาณาเขตของจักรวรรดิเปอร์เซียนั้น เป็นการทำไปเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์ทุกหมู่เหล่า และประชาชนในเมืองที่ถูกจักรวรรดิเปอร์เซียยึดครองควรจะดีใจที่ได้ท่านมาเป็นพระราชา

แนวคิดว่าการเข้ายึดครองคือการเข้าไปโปรด ถูกส่งต่อมายังอเล็กซานเดอร์มหาราช, จักรพรรดิแห่งโรมัน, เคาลีฟะห์ (ประมุขของอาณาจักรอิสลามต่าง ๆ ) ราชวงศ์ในอินเดีย และรวมถึงประธานาธิบดีของรัสเซียและสหรัฐอเมริกาด้วย วิธีคิดแบบนี้จึงถูกใช้เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปปกครองดินแดนต่างๆ มาโดยตลอด

จักรวรรดิเป็นเหตุผลหลักในการผสมผสาน กฎหมาย ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนเชื้อชาติและเชื้อสายต่างๆ ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้สินค้า ความรู้ เทคโนโลยีส่งต่อกันถึงกันได้ง่ายขึ้น

แต่การหลอมรวมนั้นก็ใช่ว่าจะโปรยไปด้วยดอกกุหลาบ เพราะผู้คนที่ถูกยึดครองต้องใช้เวลาหลายทศวรรษหรือแม้กระทั่งนานนับศตวรรษกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับวิถีของผู้ปกครองคนใหม่ (ลองคิดภาพว่าถ้าวันนี้เราโดนประเทศเพื่อนบ้านยึดครองจนเราจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ เราต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าจะปรับตัวได้) และประวัติศาสตร์ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของผู้ถูกรุกรานเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ที่เขาควรจะได้

แม้จักรวรรดิจะถูกมองว่าเป็น “ผู้ร้าย” ในประวัติศาสตร์ แต่จักรวรรดิก็ได้สร้างคุณูปการให้กับดินแดนที่จักรวรรดิเหล่านั้นเคยแผ่อาณาเขตไม่ถึง

ยกตัวอย่างเช่นประเทศอินเดีย ที่ถูกจักรวรรดิอังกฤษยึดครอง แม้อังกฤษจะเข่นฆ่าชาวอินเดียไปไม่น้อย แต่อังกฤษก็ได้รวมแคว้นต่างๆ ในอินเดีย (ซึ่งก่อสงครามกันประจำ) เข้าไว้ด้วยกัน วางรากฐานกระบวนการยุติธรรมและระบบราชการให้ และสร้างทางรถไฟซึ่งจำเป็นอย่างมากในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทั้งประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่ออินเดียได้เอกราชแล้ว ก็ยังนำระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมาใช้ตามรอยอังกฤษ ภาษาอังกฤษถูกใช้เป็นภาษาราชการที่ทำให้คนท้องถิ่นซึ่งพูดภาษาฮินดี ทมิฬ และมาลายาลัมคุยกันรู้เรื่อง

จักรวรรดิโลก
ในศตวรรษที่ 21 เกือบทุกประเทศในโลกต่างก็ต้องพึ่งพากันในเชิงเศรษฐกิจ ไม่มีใครจะสามารถรุกรานใครได้ตามอำเภอใจ แต่ละรัฐต่างก็ต้องปฏิบัติตามกติการและมารยาทของนานาชาติ พลังของทุนนิยมและข้อมูลข่าวสารเป็นกระแสอันเชี่ยวกรากที่กำหนดพฤติกรรมของทุกประเทศบนโลกนี้

จักรวรรดิโลกที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ถูกปกครองด้วยจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ด้วยกลุ่มคนผู้มีอิทธิพลจากหลายเชื้อชาติ

ผู้ประกอบการ วิศวกร นักวิชาการ และผู้คนต่างสาขาอาชีพกำลังถูกชักชวนให้เข้าร่วมจักรวรรดิใหม่นี้ พวกเขามีทางเลือกสองทาง คือจะจงรักภักดีกับประเทศของเขา หรือจะเข้าร่วมกับจักรวรรดิที่ได้แผ่อาณาเขตไปกว้างไกลกว่าจักรวรรดิใดที่เคยมีมา


ขอบคุณข้อมูลจาก Sapiens: A Brief History of Humankind by Yuval Noah Harrari

ตอนใหม่ facebook.com/anontawongblog
ตอนเก่า anontawong.com/archives
ดาวน์โหลด eBook – เกิดใหม่

ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com

Sapiens ตอนที่ 1 – กำเนิด Homo Sapiens
Sapiens ตอนที่ 2 – สิ่งที่ทำให้เราครองโลก
Sapiens ตอนที่ 3 – สมัยของการล่าสัตว์เก็บพืชผล
Sapiens ตอนที่ 4 – การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่
Sapiens ตอนที่ 5 – คุกที่มองไม่เห็น
Sapiens ตอนที่ 6 – กำเนิดภาษาเขียน
Sapiens ตอนที่ 7 – ความเหลื่อมล้ำ
Sapiens ตอนที่ 8 – โลกที่ถูกหลอมรวม
Sapiens ตอนที่ 9 – มนตราของเงินตรา