สวัสดีครับ
ตอนนี้ผมนั่งเขียนบล็อกอยู่ที่โรงแรมแลนด์มาร์คในลอนดอน ประเทศอังกฤษครับ
สาเหตุหลักที่มาที่นี่ เพราะผมได้รับเชิญให้มาร่วมงาน Trust Women Conference ที่จัดโดย Thomson Reuters Foundation
Thomson Reuters Foundation คือองค์กรการกุศลของทอมสันรอยเตอร์ครับ โดย the Foundation นี้จะมีงานหลักอยู่สี่อย่างคือ
1. ช่วยจับคู่ “ทนาย” กับ “NGO” (Pro Bono work) ทำให้ NGO ไม่ต้องเสียเงินจ้างทนายแพงๆ
2. ทำข่าวเรื่องที่สำคัญแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจ (underreported stories) เช่นข่าวด้านสิทธิมนุษยชน การค้าทาส ภาวะโลกร้อน ความขาดแคลนอาหาร
3. จัดเทรนนิ่งให้กับนักข่าว เพื่อสร้างบรรทัดฐานและมาตรฐานที่ดีให้กับวิชาชีพข่าว
4. จัดงาน Trust Women Conference ทุกปี เพื่อพูดคุยและหา actions ที่จะช่วยสนับสนุนสิทธิสตรีทั่วโลก
เมื่อตอนต้นปีผมได้รับเลือกเป็นหนึ่งในทูตห้าคนของ Thomson Reuters Foundation โดยหน้าที่ของทูตก็คือการสร้างความรู้ความเข้าใจงานของ Foundation ให้กับคนในองค์กร และช่วยทำกิจกรรม Fundraising เพื่อหาทุนให้ผู้นำด้านสิทธิสตรีจากประเทศที่ยากจนสามารถมาเข้าร่วมประชุมงาน Trust Women Conference ได้
และด้วยความสนับสนุนของเพื่อนๆ ที่บริษัททุกคน ผมเลยมีผลงานเข้าตากรรมการและได้รับเชิญให้มาร่วมงานนี้ด้วยครับ
—–
การมาอังกฤษคราวนี้ต้องยอมรับว่าลำบากใจพอสมควรเพราะลูกสาวเพิ่งอายุครบสามสัปดาห์ การปล่อยให้ภรรยาเลี้ยงลูกคนเดียว (แม้จะมีคุณลุงและคุณย่าช่วยเลี้ยง) ก็ทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าควรมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย
มาคราวนี้เลยออกแนวรีบไปรีบกลับ วันจันทร์ก็จะเจอกับเหล่าคนที่ได้ทุนมาร่วมงาน วันอังคารกับพุธก็เข้า Conference และว้นพฤหัสฯ ก็เดินทางกลับไทย
แต่ผมก็เชื่อว่าน่าจะเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากท่านผู้อ่าน Anontawong’s Musings ได้บ้างไม่มากก็น้อย
—–
ขอเล่าสิ่งที่สังเกตเห็นวันนี้
สุวรรณภูมิ
เดี๋ยวนี้เขามี Rhythm @ Suvannabhumi Airport ซึ่งเป็นการแสดงดนตรีสดตรงทางเดินในโซนร้าน Duty Free ตอนที่ผมเดินผ่านนักร้องยังไม่เริ่มร้องเพลงแต่แค่ฟังเสียงบรรเลงแซกโซโฟนก็รู้สึกฟินแล้วครับ นักดนตรีทุกคนใส่เชิ๊ตขาวสูทดำดูดีมีสกุลมาก และคนก็มารายล้อมเพื่อรอฟังไม่น้อย ขอชื่นชมคนคิดไอเดียนี้เพราะผมเชื่อว่าแขกจะประทับใจแน่ๆ
ตอนแรกว่าจะหาน้ำเปล่ากินซักน้อย เดินไปดูที่ Boots น้ำเปล่าช้างขวดละ 30 บาท ขณะที่โค้กกลับเป็นราคาเกือบปกติคือ 17 บาทเท่านั้น นี่ย่อมแสดงว่าน้ำเปล่าเป็นที่นิยมมากกว่าโค้กจนสามารถตั้งราคาแบบนี้ได้
เครื่องบิน
ผมบินสายการบิน British Airways เครื่อง Boeing 777 ภายในเครื่องเก่าพอสมควรเลย ขนาดที่นั่ง business class ยังดูเล็กๆ (แต่ผมนั่ง Economy นะครับ) จอทีวีก็เป็นจอ touch screen เก่าๆ เหมือนสมัยสิบกว่าปีที่แล้ว และที่แย่ก็คือไม่มี USB socket ให้ชาร์จมือถือ
แต่ข้อดีของสายการบินนี้คือบินตรงจากกรุงเทพถึงลอนดอนเลยครับ ราคาก็ไม่แพงด้วย ส่วนบริการบนเครื่องก็ตามมาตรฐาน ที่น่าสนใจคือตอนเครื่องจะออก กัปตันชาวฝรั่งก็พูดทักทายกันเป็นภาษาไทยก่อน (ทั้งๆ ที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวไทย) ตอนเครื่องลงจอดที่ลอนดอน กัปตันก็ยังพูดภาษาไทยก่อนภาษาอังกฤษอีกเช่นกัน ผมว่าน่ารักดี
สนามบิน Heathrow
ผมไปลงที่ Terminal 5 ซึ่งเจ้านายบอกว่าเป็น Terminal ใหม่ อะไรๆ ก็เลยดูดีไปหมด ตรวจคนเข้าเมืองก็รวดเร็ว ใช้เวลาเข้าคิวไม่ถึง 15 นาที
จากนั้นก็เดินมาขึ้น Heathrow Express ที่ใช้เวลาวิ่งเข้าเมืองลอนดอนเพียง 20 นาทีครับ (ถ้าซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าจะได้ลดราคา 50% ด้วย)
ที่น่าสนใจคือผมสามารถขึ้นรถไฟ Heathrow Express ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านด่านใดๆ อาจจะเพราะว่ามันจะต้องแวะจอดอีกหนึ่งสถานี (ซึ่งเป็นของ Terminal 2,3,4) ซึ่งเขาให้นั่งฟรี แต่พอรถออกจากสนามบินมาแล้วก็จะมีพนักงานขึ้นมาตรวจตั๋วผู้โดยสารครับ
(ไม่มีด่านกั้น)

อ้อ เวลารถจอด ก็จะมีเสียงพูดคล้ายๆ กับรถใต้ดินเมืองไทยเลยนะครับ มีเพิ่มขึ้นมาคำเดียวคือ edge – “Please mind the gap between the train and the platform edge”
รถใต้ดินในลอนดอน
รถ Heathrow Express มาจอดที่สถานี London Paddington ซึ่งเป็นชุมทางที่มีรถไฟปู๊นๆ อยู่ไม่น้อย ผมเดินผ่านจึงสังเกตได้ว่าเสียงเครื่องยนต์รถไฟในลอนดอนดังกว่ารถไฟที่สวิสมาก เดินต่อไปอีกนิดก็เจอทางลงรถใต้ดิน หน้าตาป้ายก็ละม้ายคล้ายคลึงกับรถไฟใต้ดินในปารีสทีเดียว

ป้ายแบบนี้ก็สะดวกดี บอกว่าฝั่งที่เราจะขึ้นนั้น รถจะวิ่งไปทิศไหน ไม่ต้องมาจำชื่อสถานีปลายทาง

รถใต้ดินเขาไม่ได้มีกระจกกั้นเหมือนที่บ้านเรานะครับ ป้ายที่บอกว่าจะจอดสถานีไหนบ้างนี่แปะอยู่บนกำแพงของทางรถไฟเลย


หัวหน้าผมให้ยืมบัตร Oyster มา (อารมณ์เดียวกับบัตรแรบบิทของไทยเรา) ตอนที่ผมแปะบัตรเข้า เงินเหลือ 4.20 ปอนด์ ผมนั่งรถไฟใต้ดินสาย Bakerloo มาแค่สองสถานี พอแปะบัตรขาออก เหลือเงินแค่ 1.90 เท่านั้น เท่ากับว่าจ่ายเงินไป 2.30 ปอนด์หรือ 125 บาทเลยทีเดียว
ตอนขึ้นบันไดเลื่อนมาจากรถไฟใตดิน ก็ได้เห็นป้ายโฆษณาละลานตามาก น่าจะถี่กว่าทุกเมืองที่ผมเคยไปมา

เดินออกจากสถานีมา พยายามจะหาโรงแรมแลนด์มาร์คก็ไม่เห็นมีป้ายอะไรเลย โชคดีที่เหลือบไปเห็นอาคารหนึ่งที่แปะเลขที่ 222 จึงรู้ว่าใช่อันนี้แหละ เดินมาตรงประตูทางเข้าจึงเพิ่งจะเห็นป้ายเล็กๆ ว่านี่คือโรงแรมแลนด์มาร์คจริงๆ อันนี้อาจจะเป็นความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างไทยกับอังกฤษตรงที่ป้ายโรงแรมเขาไม่ได้ใหญ่โตซึ่งจะว่าไปก็ไม่ค่อยสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือในเมืองไม่มีปัายใหญ่เทอะทะจนรกสายตา
(ป้ายเลขที่ตึกช่วยชีวิตเอาไว้)
ป้ายชื่อโรงแรมเท่ากระดาษ A4
วันนี้ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน เอารูปห้องในโรงแรมมาฝากกันด้วย ไว้พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะครับ
—–
ภาพถ่ายจากกล้องผู้เขียน 15 พ.ย. 2558
อ่านตอนเก่าๆ ได้ที่ https://anontawong.com/archives/
อ่านตอนใหม่ๆ ได้ทุกวันที่ Facebook Page Anontawong’s Musings
ดาวน์โหลดอีบุ๊ค “เกิดใหม่”

